
เศรษฐกิจซอมบี้จีน : มองมุมอาจารย์โฮเฟิง หง (ตอนต้น) | เกษียร เตชะพีระ

ช่วงทศวรรษ 2010 เมื่อสิบปีก่อน จีนกำลังเนื้อหอม จัสติน ลิน ยีฟู อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และรองประธานอาวุโสแห่งธนาคารโลก (2008-2012) ทำนายไว้ตอนต้นทศวรรษนั้นว่าเศรษฐกิจจีนยังจะโตเกินปีละ 8% ไปอีกอย่างน้อยสองทศวรรษ และเนื่องจากรายได้เฉลี่ยต่อหัวของจีนตอนนั้นอยู่ระดับเดียวกับญี่ปุ่นเมื่อทศวรรษ 1950s และเกาหลีใต้กับไต้หวันเมื่อทศวรรษ 1970 จึงไม่มีเหตุผลใดให้คิดว่าจีนจะไม่สามารถบรรลุซ้ำซึ่งความสำเร็จแต่ก่อนของบรรดารัฐเอเชียตะวันออกเหล่านี้
ในทำนองเดียวกัน The Economist นิตยสารเศรษฐกิจระดับโลกก็ทำนายว่าจีนจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาและกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2018
ในแง่การเมือง Nicholas Kristof คอลัมนิสต์ชื่อดังของหนังสือพิมพ์ The New York Times ก็เขียนไว้เมื่อปี 2013 ว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนใหม่จะเป็นหัวหอกกระตุ้นการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เฟื่องฟูขึ้นอีกและอาจจะผ่อนคลายบรรยากาศการเมืองให้เสรีขึ้นบ้าง เขากระทั่งทายทักว่าเป็นไปได้ในยุคของสีนี่แหละที่ร่างดองของประธานเหมาเจ๋อตุงจะถูกหาบหามออกจากจัตุรัสเทียนอันเหมิน
และนักรัฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญจีนชาวอเมริกัน Edward Steinfield ก็เถียงไว้ในหนังสือ Playing Our Game : Why China’s Rise Doesn’t Threaten the West (2010, เล่นเกมของเรา : ทำไมการผงาดขึ้นของจีนจะไม่คุกคามโลกตะวันตก) ว่า การที่จีนโอบรับโลกาภิวัตน์แบบตะวันตกจะยิ่งส่งกระบวนการอำนาจนิยมตกยุคไปด้วยตัวเอง (self-obsolescing authoritarianism) ให้เกิดขึ้นในจีนคล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในไต้หวันเมื่อทศวรรษที่ 1980 และ 1990…
สิบปีให้หลังมาถึงปัจจุบัน คำทำนายพากันพลิกกลับตาลปัตร ตอนนี้ The Economist อ้างว่าจีนอาจไม่มีวันไล่ทันสหรัฐทางเศรษฐกิจเสียแล้ว
สำนักข่าวธุรกิจ Bloomberg ออกสารคดีสั้นวิเคราะห์เศรษฐกิจจีนด้วยชื่อเรื่อง China’s Great Slowdown (31 กรกฎาคม 2023, ) และ KKP Research แห่งกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรก็ฟันธงว่า “ไทยเตรียมรับมือ จีนไม่โตเหมือนเดิม” (22 มิถุนายน 2023, )
ขณะที่องค์การเอ็นจีโอ Freedom House ของอเมริกาซึ่งทำรายงานประเมินวัดเสรีภาพรายปีทั่วโลกก็ระบุว่าระบอบอำนาจนิยมจีนยิ่งกดขี่ปราบปรามหนักข้อขึ้นในปีหลังๆ นี้ และสี จิ้นผิง ก็ตั้งมั่นอำนาจส่วนบุคคลของตนในระดับที่ไม่เคยพบเห็นกันในจีนมาหลายทศวรรษ (https://freedomhouse.org/country/china)
ทว่า ตั้งแต่สิบปีก่อน โฮเฟิง หง ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองแห่งมหาวิทยาลัย Johns Hopkins สหรัฐอเมริกาก็ส่งเสียงแปร่งทวนกระแสเกี่ยวกับจีนออกมาแล้ว
เขาชี้ว่าหากวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจอย่างละเอียดใกล้ชิดก็จะพบว่าจีนค่อยๆ ทรุดถอยลงนับแต่ปี 2008 แล้ว โดยแสดงอาการแบบฉบับที่เรียกกันในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองมาร์กซิสต์ว่า “วิกฤตสะสมทุนล้นเกิน” (overaccumulation crisis) อาจารย์หงแจกแจงว่า :
หลังจีนเริ่มดำเนินนโยบายเปิดประเทศเมื่อปี 1978 และโดยเฉพาะหลังจีนเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกองค์การการค้าโลกเมื่อปี 2001 ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกของจีนก็บูมระเบิดเถิดเทิง ทำรายได้เงินตราต่างประเทศมหาศาลให้แก่จีนตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 เรื่อยมา (ดูบทความชุดของผมในมติชนสุดสัปดาห์ เรื่อง “อ่านสี่ทศวรรษสัมพันธ์ไทย-จีน” เมื่อกลางปี 2561 )
ทว่า เนื่องจากจีนยังคงปิดระบบการเงินอยู่ บริษัทส่งออกทั้งหลายในจีนจึงต้องเอารายได้เงินตราต่างประเทศจากการส่งออกไปมอบให้ธนาคารกลางจีน ซึ่งทางธนาคารกลางจีนก็จะสร้างเงินตราเหรินหมินปี้ มูลค่าแลกเปลี่ยนเท่ากันกลับคืนมาให้บริษัทเหล่านั้นเพื่อนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนในเศรษฐกิจจีนต่อ
เหล่านี้ส่งผลให้สภาพคล่องของเงินเหรินหมินปี้ขยายตัวในเศรษฐกิจจีนอย่างรวดเร็วโดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปสินเชื่อธนาคาร ความที่รัฐ-พรรคจีนควบคุมระบบธนาคารในประเทศอย่างหนาแน่น – โดยรัฐวิสาหกิจหรือวิสาหกิจที่เชื่อมโยงกับรัฐทั้งหลายกลายเป็นเขตกินเมืองและแหล่งหาค่าเช่าเศรษฐกิจของครอบครัวชนชั้นนำของรัฐ-พรรค – ภาครัฐจึงมีอภิสิทธิ์เข้าถึงสินเชื่อธนาคารรัฐได้สะดวกแล้วกู้ยืมมันมาทุ่มเทลงทุนเป็นการใหญ่ นี่เป็นยุคเศรษฐกิจบูมชั่วคราวในระดับท้องถิ่นของจีน อัตราการจ้างงานพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และชนชั้นนำของรัฐ-พรรคก็พากันร่ำรวยอู้ฟู่
ทว่า ในทางกลับกัน มันก็ทิ้งมรดกตกค้างเป็นปัญหาเรื้อรังไว้ ได้แก่ โครงการก่อสร้างล้นเกินความจำเป็นและไม่ทำกำไรมากมาย ในรูปอพาร์ตเมนต์ทิ้งร้างว่างเปล่าไม่มีคนซื้อ/เช่าอยู่อาศัย สนามบินที่ใช้งานต่ำกว่าสมรรถภาพจริง โรงงานไฟฟ้าพลังงานถ่านหินและโรงหลอมเหล็กกล้าที่มากเกินไป เป็นต้น นำไปสู่สภาพกำไรตกต่ำลง การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวและหนี้สินพอกพูนหนักหน่วงขึ้นทั่วทุกภาคส่วนหลักของระบบเศรษฐกิจ
อาจารย์หงชี้ต่อว่าตลอดทศวรรษที่ 2010 ทางการรัฐ-พรรคจีนปล่อยเงินกู้ระลอกใหม่ออกมาเป็นระยะๆ เพื่อพยายามระงับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ ทว่า รัฐวิสาหกิจมากมายหลายแห่งกลับใช้ประโยชน์จากสินเชื่อมักง่ายรายสะดวกนี้มาก่อหนี้ใหม่ชดใช้หนี้เก่า (refinance) โดยมิได้ใช้จ่ายหรือลงทุนก้อนใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในทางเป็นจริง
หนักเข้าและนานเข้าบริษัทเหล่านี้ก็กลายสภาพเป็นเหมือนพวกติดหนี้เหมือนติดฝิ่น (load addicts) โดยยิ่งติดมากเข้าก็ยิ่งต้องเสพยาฝิ่น/หนี้เพิ่มขนาดมากขึ้นทุกทีเพื่อก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่กลับน้อยลง (แค่พอหายเงี่ยนฝิ่น/หนี้ไปเป็นคราวๆ ไม่ถึงกับลงแดงชักดิ้นชักงอ)
ตั้งแต่ปี 2014 เสียงร้องเตือนของนักเศรษฐศาสตร์และผู้สังเกตการณ์ว่ากำลังเกิดวิสาหกิจซอมบี้และธนาคารซอมบี้ในจีนซึ่งหนี้สินล้นพ้นตัวแต่ไม่ก่อผลิตภาพ เสพติดหนี้พอกันตายไปวันๆ จนกลายเป็นตัวถ่วงเศรษฐกิจก็ระงมขึ้น 1
ก็แลอาการที่ Richard C. Koo หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งสถาบันวิจัยโนมูระของญี่ปุ่นเรียกว่า “ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเนื่องจากงบดุล” (balance-sheet recession 2) นี้ไม่ต่างจากกรณีคลาสสิคที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นป่วยหลังฟองสบู่แตกเมื่อต้นทศวรรษ 1990 จนกลายเป็นหลายทศวรรษที่สูญหาย (Lost Decades 3) ในเวลาต่อมานั่นเอง
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
1 https://money.cnn.com/2014/10/19/news/economy/china-corporate-debt/index.html
2 https://en.wikipedia.org/wiki/Balance_sheet_recession
3 https://en.wikipedia.org/wiki/Lost_Decades
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022