เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

สถาปัตย์ไทยศิลปากร : 70 ปีของการหาความเป็นไทย ในโลกสมัยใหม่ (จบ)

03.10.2024

ปลายทศวรรษ 2530 ภายใต้บรรยากาศของวงการสถาปัตยกรรมในประเทศไทยที่ให้ความสำคัญกับความเป็นสากลและการผลิตบัณฑิตเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด ควบคู่ไปกับตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่พุ่งทะยานต่อเนื่องทุกปี (ก่อนที่ทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงฟองสบู่ทางเศรษฐกิจที่จะมาแตกในปี พ.ศ.2540 กลายเป็นวิกฤตต้มยำกุ้งในเวลาต่อมา)

ได้เกิดแนวคิดในกลุ่มคณาจารย์ที่รับผิดชอบการเรียนการสอนในรายวิชาทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยของศิลปากร (รวมถึงคณาจารย์ในสถาปัตย์จุฬาฯ ด้วยเช่นกัน) ในการก่อตั้งหลักสูตรปริญญาตรีสาขาสถาปัตยกรรมไทย ขึ้นมาอีกครั้ง

แนวคิดได้รับการสานต่อจนสำเร็จและสามารถเปิดรับนักศึกษาปีแรกได้ในปี พ.ศ.2538 โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากรัฐบาลในช่วงเวลานั้น

มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ภาครัฐเล็งเห็นความสำคัญของสาขาวิชาสถาปัตยกรรมไทยอย่างมาก ณ ช่วงนั้นจนเข้ามาช่วยสนับสนุนให้การก่อตั้งสาขาสถาปัตยกรรมไทยทั้งที่ศิลปากรและจุฬาสำเร็จได้ เกิดขึ้นจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในปี พ.ศ.2538 ซึ่งรัฐบาลที่มี นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างพระเมรุมาศขึ้นตามแบบแผนประเพณีเดิม โดยมี อาวุธ เงินชูกลิ่น เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ

โดยในระหว่างการก่อสร้าง นายกรัฐมนตรีได้สอบถามสถาปนิกผู้ออกแบบถึงปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในการทำงาน

ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงคือการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถทางด้านสถาปัตยกรรมไทยที่ขาดช่วงขาดตอน หากไม่มีการเร่งผลิตผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ในอนาคตจะไม่สามารถหาสถาปนิกที่ออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทยประเพณีได้อีกต่อไป

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ที่มา : เว็บไซต์ art4d ถ่ายภายโดย Ketsiree Wongwan

รัฐบาลเห็นพ้องกับความกังวลนี้ และไม่นานหลังจากนั้น ได้ออกมาตรการสนับสนุนการเรียนการสอนด้านสถาปัตยกรรมไทยขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้ศิลปากร และจุฬาฯ เป็นสถาบันการศึกษาที่เข้ามารับผิดชอบในการผลิตสถาปนิกสืบสานสถาปัตยกรรมไทยต่อไปในอนาคต โดยศิลปากรเปิดรับนักศึกษาเป็นจำนวน 15 คนต่อปี (ต่อมาจะขยายการรับเป็น 25 คน และกลายมาเป็น 40 คนในปัจจุบัน)

ยิ่งเมื่อฟองสบู่เศรษฐกิจไทยแตกในปี พ.ศ.2540 ที่นำมาซึ่งบทเรียนมหาศาลในการไล่ตามระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสากลอย่างไม่ระวัง วงการอสังหาริมทรัพย์ล้มสลายลงในชั่วพริบตา บริษัทสถาปนิกและบริษัทก่อสร้างทยอยปิดตัวจนเกือบหมด

แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงกลายมาเป็นแนวทางที่ทุกคนพูดถึง ทั้งหมดได้ทำให้วงการสถาปนิกไทยหลายส่วนเกิดความรู้สึกโหยหาความเป็นไทยหรือภูมิปัญญาแบบไทยๆ กันมากขึ้น ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อหลักสูตรสถาปัตยกรรมไทยที่เพิ่งถูกตั้งขึ้นไม่นาน

ในช่วงเวลาดังกล่าว ศิลปากรได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐจัดทำ “โครงการสถาปัตยกรรมไทยปริวรรต” ที่มิใช่เพียงผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่การเปิดหลักสูตรระดับปริญญาโทสถาปัตยกรรมไทยด้วย ซึ่งโครงการนี้ได้สร้างสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยออกมาเป็นจำนวนมาก

หลายคนกลับมาเป็นอาจารย์สอนทางด้านสถาปัตยกรรมไทย (ไม่เฉพาะแค่ศิลปากร แต่ยังไปสอนตามมหาวิทยาลัยอื่นๆ ด้วย)

หลายคนไปทำงานเป็นสถาปนิกกรมศิลปากร สำนักพระราชวัง ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมของชาติมากมาย

 

และภายในเวลาราว 10 ปีหลังการก่อตั้งสถาปัตยกรรมไทยอีกครั้ง สถานการณ์ความขาดแคลนสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยก็คลี่คลายลง จริงๆ ควรเรียกว่าหมดลงแล้วก็ว่าได้ อย่างน้อยก็ในเชิงปริมาณ ส่วนในเชิงคุณภาพเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สามารถถกเถียงกันได้ว่า สถาปนิกรุ่นใหม่เหล่านี้สามารถเข้าแทนที่รุ่นใหญ่ได้แล้วหรือยัง

สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐหมดลง หลักสูตรสถาปัตยกรรมไทยมีสถานะไม่ต่างจากหลักสูตรทั่วไปที่ต้องแสวงหาผู้เรียนตามระบบปกติ

ภายใต้สภาวการณ์ใหม่ สถาปัตย์ไทยศิลปากรต้องเผชิญความท้าทายใหม่อีกครั้งในการกำหนดทิศทางของตนเองในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

จุดเริ่มต้นของการกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง (ตามที่กล่าวไป) คือการสร้างสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยที่สามารถสืบสานสถาปัตยกรรมไทยตามแบบแผนประเพณีเดิมให้คงอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในแง่ของตลาดที่รองรับ ซึ่งส่วนใหญ่คือหน่วยราชการทั้งหลาย กลับหดแคบลง เพราะสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยรุ่นแรกๆ ได้เข้าไปจับจองพื้นที่กันจนเต็มหมดแล้ว และกว่าจะเกษียณก็อีกยาวนาน

ในแง่ของตลาดเอกชน งานออกแบบศาสนสถานส่วนมากถูกจับจองโดยสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยอาวุโสหรือไม่ก็ผู้รับเหมาที่มีความใกล้ชิดกับเจ้าอาวาส จนตลาดไม่เหลือพื้นที่ให้สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยรุ่นใหม่

ประกอบกับกระแสธารแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่เริ่มมองว่างานสถาปัตยกรรมไทยในแบบที่เน้นการสืบสานแนวทางประเพณีอย่างมาก เป็นสิ่งที่จำกัดความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ รวมถึงปัญหาของผู้มีอำนาจในสังคมไทยที่มักหวาดกลัวการตีความ “ความเป็นไทย” ในแนวทางใหม่ๆ และมักใช้วิธีเซ็นเซอร์ คุกคาม และขีดเส้นความเป็นไทยให้อยู่ในกรอบและแนวทางแบบประเพณีเดิมอย่างล้นเกิน

ทั้งหมดนี้ทำให้บัณฑิตสถาปัตยกรรมไทยหลังทศวรรษ 2550 เป็นต้นมา (ไม่ทั้งหมดแต่มีเป็นจำนวนไม่น้อยแน่ๆ) โดยเฉพาะในกลุ่มที่มิได้สนใจแนวทางสืบสานสถาปัตยกรรมไทยประเพณี เกิดลักษณะที่ผมขอเรียกอย่างกว้างๆ ว่าเป็นการประสบวิกฤตอัตลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมไทย

 

อย่างไรก็ตาม หลักสูตรได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้และมีการปรับหลักสูตรเรื่อยมา โดยในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา สถาปัตย์ไทยศิลปากร ปรับแนวทางการเรียนการสอนที่เปิดกว้างมากขึ้นในหลายแนวทางที่มิใช่มุ่งเน้นแต่การสร้างสถาปนิกทางสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณีเพียงอย่างเดียว

โดยขยายเนื้อหาไปสู่สถาปนิกที่สนใจสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น สถาปนิกที่สนใจงานด้านอนุรักษ์สถาปัตยกรรม งานออกแบบประเภท adaptive reuse ที่กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลิตสถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยที่ต้องการตีความความเป็นไทยในแนวทางใหม่สำหรับอนาคต

แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ บริบทสังคมไทยในปัจจุบันอันเป็นผลพวงของการรัฐประหาร 2549 และ 2557 ซึ่งได้สร้างบรรยากาศอนุรักษนิยมที่สุดโต่งมากขึ้นเรื่อยๆ และโหยหาความเป็นไทยเชิงรูปแบบที่ยึดโยงกับความเป็นไทยในอดีตอย่างแข็งตัวมากจนเกินไป ได้กลายมาเป็นตัวฉุดรั้งโดยอ้อมต่อการพัฒนาการเรียนการสอนด้านสถาปัตยกรรมไทยโดยไม่รู้ตัว และทำให้การค้นหาความเป็นไทยสมัยใหม่เป็นไปได้ยาก

โครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่ควรเป็นตัวอย่างของการสร้างความเป็นไทยในทิศทางใหม่ หลายครั้งกลับแสดงออกผ่านการออกแบบที่หมกหมุ่นกับความเป็นไทยเชิงรูปแบบประเพณีมากจนเกินไป หมกหมุ่นมากจนบางกรณีถึงกับยอมทำลายกติการ่วมกันทางสังคมทิ้งไป

เช่นกรณีก่อสร้างกลุ่มอาคารศาลฎีกาใหม่ที่ยึดติดกับความเป็นไทยเชิงรูปแบบจนต้องทำลายกติการเรื่องความสูงอาคารที่ห้ามเกิน 16 เมตรภายในพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ลงอย่างไม่มีชิ้นดี

หรือกรณีอาคารรัฐสภาใหม่ ที่ดึงดันจะยัดใส่การใช้งานแบบสมัยใหม่ลงไปในแผนผังและรูปทรงของเขาพระสุเมรุที่เป็นแนวคิดของการก่อสร้างศาสนสถานของไทยแบบจารีตอย่างมากล้นเกินพอดี จนทำให้การใช้งานพื้นที่หลายส่วนล้มเหลว อีกทั้งยังเป็นการใช้แนวคิดที่ขัดแย้งกับประชาธิปไตยอย่างเกือบจะสิ้นเชิงอีกด้วย (ดูประเด็นนี้เพิ่มในหนังสือ สถาปัตยกรรมไทยหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549)

ไม่จำเป็นต้องนับรวมการออกแบบ “ศาลาไทย” ในงาน expo หลายต่อหลายครั้ง ที่สร้างความผิดหวังไม่น้อยในกลุ่มสถาปนิกที่สนใจสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยในแนวทางใหม่ที่อยากจะสร้างความเป็นไทยไปพร้อมๆ กับการคำนึงถึงโจทย์สากลร่วมกันในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม โลกร้อน ฯลฯ

แต่ศาลาไทยแทบทุกครั้งกลับหมกหมุ่นแต่การสร้างรูปแบบไทยที่เปลือกนอกมากจนเกินไป

 

ตัวอย่างที่น่าผิดหวังทั้งหมดนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโครงการก่อสร้างที่ควรเป็นตัวอย่างการสร้างสรรค์ความเป็นไทยที่ก้าวหน้างอกงาม แต่กลับกลายมาซ้ำเติมปัญหาของการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยให้ย่ำแย่ขึ้นอย่างน่าเสียดาย

ทั้งหมดนี้คือความท้าทายมหาศาลของสถาปัตย์ไทยศิลปากรในปัจจุบัน

ในฐานะที่เป็นคณะวิชาที่เกิดขึ้นโดยมีภารกิจหลักในการอนุรักษ์ สืบสาน สร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทยมาโดยตลอด และในวาระครบ 70 ปีการก่อตั้งคณะ ที่กำลังจะมาถึงในปี พ.ศ.2568 นี้ อาจจะถึงเวลาแล้วที่สถาปัตย์ไทยศิลปากร ต้องมีการทบทวนตนเองครั้งใหญ่ และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางใหม่ของการสร้างงานสถาปัตยกรรมไทยในอนาคตที่สามารถสร้างสรรค์ความเป็นไทยโดยคำนึงถึงบริบทสังคมวัฒนธรรมไทยได้อย่างลึกซึ้ง

ในขณะเดียวกันก็สามารถตอบสนองโจทย์ใหม่ๆ ของโลกสากลไปได้ในเวลาเดียวกัน

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ไม่เกี่ยวกับ ‘ฮุน เซน’
ในระบอบป่วยติดเตียง รัฐบาลเป็ดง่อย
ใช่-ไม่ใช่
จับตา อุดมศึกษาไทย ในสภาวะ ‘กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’ เมื่อการเมืองรุกล้ำพื้นที่พัฒนาประเทศ
Ryan Gander นักท้าทายผู้ชมให้คลี่คลายปริศนาซับซ้อนทางศิลปะ
ผู้ว่าแบงก์ชาติ (คนใน)
คุยกับทูต | โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ครบรอบ 249 ปี วันประกาศอิสรภาพสหรัฐ (จบ)
จีนหนุนสยาม ยึดอยุธยาเพื่อจีน
อาณาเขตของความอร่อย
ข้าชื่อซารุโทบิ : โลกสองใบที่ไม่มีวันบรรจบ
บวชนาค พิธีกรรมสัญลักษณ์ เปลี่ยนผ่าน คนพื้นเมือง ให้เป็นอารยชน
ลืมจำ…ลืมจริง?