

บทความพิเศษ | พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์
33 ปี ชีวิตสีกากี
พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (126)
อารมณ์โกรธของ ‘ผู้ใหญ่’
ปี พ.ศ.2537
เมื่อปีใหม่ผ่านเข้ามา ผมก็หวังอยากจะได้รับสิ่งที่ดีและมีความสบายใจ เหมือนเช่นคนทั่วๆ ไป
แต่ปีใหม่ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ส่วนผมยังคงทำหน้าที่สอบสวนเหมือนเดิม ในปีนี้มีคดีลดลงจนผมมีเวลาพอที่จะทำอย่างอื่นได้บ้าง
พ.ต.ท.สติ มาลกานนท์ สารวัตรใหญ่ สภ.อ.เมืองสตูล เป็นบุคคลที่ผมทำงานร่วมกันมาหลายปีทั้งที่อำเภอหาดใหญ่ และสตูล เป็นนายตำรวจที่ผมเคารพและนับถือเสมือนหนึ่งเป็นพี่ชาย มีความนิ่ง สงบ เยือกเย็น มั่นคง เป็นผู้ที่มีความรอบรู้และเป็นที่ปรึกษาพร้อมให้คำแนะนำที่ดีเสมอ โดยเฉพาะในการสอบสวนข้อแนะนำเพียงนิดเดียว ทำให้ข้อติดขัดของผมหายไปทันที ทั้งยังเป็นพี่ที่ดี หวังดีต่อผมทุกเวลา
แต่เมื่อกรมตำรวจมีการปรับตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจจากสารวัตรใหญ่ ให้เป็นผู้กำกับการ และมีตำแหน่งรองผู้กำกับอีกหลายงาน พ.ต.ท.สติ มาลกานนท์ จึงต้องทำหน้าที่ รอง ผกก.(ส) สภ.อ.เมืองสตูล ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ย้ายไปอยู่ที่ภูเก็ต จึงถึงเวลาที่ต้องจากกันไป
และในปีนี้เมื่อ พ.ต.ท.สติย้ายไปแล้ว ยังมาถูกฟ้องเป็นจำเลยพร้อมกับผม เพราะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ แต่ก็แก้ไขสถานการณ์จนมีการถอนฟ้องไปในที่สุด
ผมประทับใจ พ.ต.ท.สติเป็นอย่างยิ่งที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาด้วยกัน เหน็ดเหนื่อยมาด้วยกัน และมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกันเสมอๆ ไม่เคยมีคำพูดที่ทำลายกำลังใจผมเลย
เมื่อนึกถึง จึงเป็นความรู้สึกที่มาจากใจที่ผมยังเคารพรักเสมอ
สรุปเหตุการณ์ในปีนี้ได้ตามนี้
วันที่ 19 มกราคม 2537
มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งตำรวจครั้งใหญ่ของกรมตำรวจ ยกเลิกตำแหน่งสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจทั่วประเทศ ทั้งในนครบาลและภูธร ยกระดับตำแหน่งหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัด จากผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผกก.ภ.จว.) เป็นรองผู้บังคับการหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัด (รอง ผบก.หน.ภ.จว.) ทำให้เกิดความงงงวยกันไปทั้งประเทศ เมื่อคนที่มีตำแหน่งรองผู้บังคับการแต่กลับมาเป็นหัวหน้า ปกติทั่วๆ ไป คนที่เป็นหัวหน้าต้องไม่ใช่ตำแหน่งรอง
นี่แหละกรมตำรวจมันเป็นเช่นนี้มานาน แล้วจะมาเอาอะไรกับกรมตำรวจ ที่กลิ้งไปกลิ้งมา เอาหลักการแน่นอนไม่ได้ กูจะเอาของกูอย่างนี้
พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมตำรวจ ลงนามในคำสั่งกรมตำรวจ ที่ 67/2537 ลงวันที่ 19 มกราคม 2537 เรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ
เป็นคำสั่งที่เป็นประวัติศาสตร์ เพราะคือการยกเลิกตำแหน่งสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจทั่วประเทศ และสั่งให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่อยู่เดิมเปลี่ยนไปดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการ ถ้าใครดำรงตำแหน่งสารวัตรใหญ่ที่ไม่ใช่โรงพักอำเภอเมืองหรือโรงพักขนาดใหญ่ ก็เพียงเปลี่ยนตำแหน่งจากสารวัตรใหญ่ เป็นรองผู้กำกับการ และยังเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจเหมือนเดิม เหมือนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร
แต่คนที่น่าจะเจ็บช้ำน้ำใจมากกว่าใครเพื่อน คงจะเป็นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองของแต่ละจังหวัด กับสถานีตำรวจขนาดใหญ่ ที่เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจอยู่แต่เดิมแท้ๆ ต้องมาเป็นรองหัวหน้าสถานีตำรวจอยู่ที่เดิม และมีคนมาเป็นหัวหน้าแทน คือ ตำแหน่งผู้กำกับการหัวหน้าสถานีตำรวจ ยศพันตำรวจเอก
จึงเป็นคำสั่งที่ไม่เข้าท่า และกรมตำรวจก็ทำงานแบบสุกเอาเผากิน ไม่คิดให้ครบ ให้ละเอียดรอบคอบ รอบด้าน
คำสั่งบ้าๆ แบบนี้ คือการทำลายขวัญและกำลังใจลูกน้องที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่อยู่ในหัวจิตหัวใจของผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดในขณะนั้นอยู่แล้ว เพราะกำลังทะยานโลดไปด้วยความคะนอง แม้จะวัยมากแล้ว
คำสั่งนี้อ้างว่า อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2521 แก้ไขเพิ่มเติมตามความในข้อ 6 แห่งประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 38 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2534 คำสั่งนี้ออกมาแล้ว ยังระบุไว้ด้วยว่า ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม 2537 เป็นต้นไป
ช็อกไปตามๆ กัน ไม่ทันตั้งตัวเลย
วันที่ 9 มีนาคม 2537
พ.ต.อ.วีรพร ภัยลี้ รอง ผบก.หน.ภ.จว.สตูล ได้ประดับเครื่องหมายยศ ว่าที่พันตำรวจโท ให้กับผม ที่ห้องทำงาน โดยมี พ.ต.ท.สมนึก อินทร์ชุมนุม สว.กบ., พ.ต.ต.เจริญ พร้อมมูล สว.กง., ร.ต.ท.เยื้อน เพชรชนะ รอง สว.กพ., จ.ส.ต.พิทักษ์ และ จ.ส.ต.นรินทร์ เป็นสักขีพยาน เมื่อขั้นเงินเดือนถึงก็จะได้รับการเลื่อนยศ ดังนั้น ขั้นเงินเดือนจึงมีความหมายมากต่อความเจริญก้าวหน้าของการรับราชการ
วันที่ 16 มีนาคม 2537
ผมได้รับคำสั่งจากตำรวจภูธรจังหวัดสตูล ให้รวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งลงนามโดย พ.ต.ท.ปองเดช เหมรา รอง ผกก.อก.ฯ ปรท.รอง ผบก.หน.ภ.จว.สตูล ลงวันที่ 15 มีนาคม 2539 กรณีที่กรมตำรวจถูกฟ้องทางแพ่ง ที่ตำรวจภูธรจังหวัดสตูล ได้ไปก่อสร้างอาคารศูนย์รักษาความปลอดภัย เป็นที่พักสายตรวจ ที่เกาะหลีเป๊ะ โดยได้รับการอนุญาตจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2535
แต่ปรากฏว่า พื้นที่ที่ปลูกสร้างที่พักสายตรวจนั้น มีบุคคลอ้างว่าเป็นเจ้าของและครอบครองอยู่ก่อนแล้ว จึงเกิดเป็นกรณีพิพาทอ้างสิทธิกัน และฟ้องทางแพ่ง
คำสั่งดังกล่าว ให้ผมร่วมกับ พ.ต.ท.อนุรุต กฤษณะการะเกตุ รอง ผกก.สภ.อ.ละงู รับผิดชอบรวบรวมพยานหลักฐาน ส่งสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับหลักฐานเอกสารการได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างจากกรมป่าไม้ เอกสารที่ดิน น.ส.3 แปลงที่ปลูกสร้างที่พักสายตรวจ ไปสอบปากคำอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ และเอกสารอื่นๆ
สำหรับเรื่องนี้นั้น พ.ต.ท.อนุรุตเป็นผู้ดำเนินการมาแต่แรกเริ่มของการก่อสร้าง จึงทราบความเป็นมามากกว่าผม ผมเพียงทำหน้าที่ทางด้านเอกสารแล้วส่งไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด
เวลานั้นการท่องเที่ยวทางทะเลของสตูลนิยมกันมาก มีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวเพิ่มขึ้น ทำให้มีมูลค่าเกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยว การหาพื้นที่ครอบครองที่เกาะมีการแย่งชิงผลประโยชน์และสู้กันอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช ไม่มีการยอมกัน ไม่ว่าที่ดินจะเป็นของรัฐก็ตาม ก็หาหนทางยึดเอามาเป็นของตัวเองให้ได้
วันที่ 22 เมษายน 2537
มีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อธิบดีกรมตำรวจ เดินทางมาตรวจราชการที่จังหวัดสตูล และฟังการบรรยายสรุปของ พ.ต.อ.วีรพร ภัยลี้ รอง ผบก.หน.ภ.จว.สตูล แล้วเกิดไม่พอใจที่นำเสนอปัญหาความขาดแคลนของตำรวจทั่วๆ ไป แต่ได้เสนอเรื่องบ้านพักของหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดสตูลควรปรับปรุงเข้ามาด้วย แค่นั้นแหละ อธิบดีกรมตำรวจเกิดมีอาการโมโหจนลมออกหู
และ พ.ต.ท.อนุรุต กฤษณะการะเกตุ รอง ผกก.สภ.อ.ละงู นำเสนอเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจซ้ำเข้าไปอีก ยิ่งทำให้สถานการณ์ในห้องประชุมแทบจะลุกเป็นไฟ
และเพียงแค่อธิบดีกรมตำรวจลุกออกจากห้องประชุมไป ไม่กี่วัน คำสั่งโยกย้ายก็ตามมาทันที และผู้ที่มาดำรงตำแหน่งแทน คือ พ.ต.อ.ธรรมนูญ ทับเคลียว เป็นรอง ผบก.หน.ภ.จว.สตูล คนใหม่ รองวีรพรจึงมาอยู่สตูลในระยะเวลาสั้นๆ
เวลานั้นมีข่าวออกมาทุกวัน ถ้าอธิบดีกรมตำรวจไปที่ไหน ก็จะมีการย้ายตำรวจตามมา
ผมเห็นอารมณ์ความโกรธของผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว น่ากลัวมาก เหมือนคนไม่เคยได้รับการฝึกฝนทางด้านสภาพจิตใจมาก่อนเลย คล้ายคลุ้มคลั่ง เอาแต่ใจตัวเอง ไม่รู้จักข่มใจ ถ้าเอาผู้ใหญ่ที่มีอารมณ์แบบนี้ไปเข้าร้อยเวรสอบสวนคดีจราจรที่หาดใหญ่ ถูกคู่กรณีฟ้องระเนระนาดแน่ และบางทีอาจจะติดคุกเสียก่อน เมื่อมาเป็นใหญ่แล้ว ก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้สักอย่าง คดีโกงบ้านโกงเมืองก็จัดการไม่ได้ แต่เมื่อมาทำกับลูกน้อง ที่ไม่มีปากมีเสียง จึงยิ่งลำพองหนัก คนเป็นหัวหน้าคนหมู่มาก ควรที่จะมีอุเบกขาให้มาก เยือกเย็น สุขุม มีความเมตตา และต้องทำเพื่อประโยชน์ให้กับคนทั้งประเทศอย่างเดียวเท่านั้น
เวลานั้นผมไปที่ไหนได้ยินแต่เสียงก่นด่าของตำรวจดังแซดไปทั่ว
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022