เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (70)

18.06.2025

บทความพิเศษ | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

ปรีดี แปลก อดุล

: คุณธรรมน้ำมิตร (70)

กบฏสันติภาพ

บรรดาบุคคลที่เข้าร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสันติภาพ และถูกจับกุมในครั้งนี้ มีหลากหลายกลุ่ม

ประกอบไปด้วยนักเขียน หนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเสียง อาทิ นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ ผู้ช่วยบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ นายอารีย์ ลีวีระ เจ้าของหนังสือพิมพ์สยามนิกร นายสุภา ศิริมานนท์ เจ้าของและบรรณาธิการนิตยสารอักษรสาส์น นายอุทธรณ์ พลกุล บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวภาพ นายแสวง ตุงคะบรรหาร บรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามนิกร นายบุศย์ สิมะเสถียร บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทย นายฉัตร บุณยศิริชัย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ข่าวภาพ นายสมุทร สุรักขกะ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์เกียรติศักดิ์ นายทองใบ ทองเปาด์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ นายสมัคร บุราวาศ นายนเรศ นโรปกรณ์ นิสิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 นายสัมผัส พึ่งประดิษฐ์ สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นายประจวบ อัมพเศวต นายเปลื้อง วรรณศรี เป็นต้น

รวมถึงนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล ได้แก่ นายมารุต บุนนาค ประธานกรรมการสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายลิ่วละล่อง บุนนาค ผู้นำนักศึกษา นายสุวัฒน์ วรดิลก นักประพันธ์ นายทวีป วรดิลก นักประพันธ์ นายฟัก ณ สงขลา ทนายความ นายสุ่น กิจจำนงค์ เลขาธิการสมาคมสหอาชีวกรรมกร และนายสุพจน์ ด่านตระกูล

ต่อมาได้มีการจับกุมเพิ่มเติ่ม ได้แก่ นายปาล พนมยงค์ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยา และรัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์ นายสุภัทร สุคนธาภิรมย์ และ พล.ต.เนตร เขมะโยธิน อดีตผู้นำ “กบฏเสนาธิการ” เป็นต้น

บรรดาผู้ที่ถูกจับกุมนั้น เป็นผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล บางรายเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยด้วย อัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 54 ราย ศาลได้พิพากษาจำคุก 13-20 ปี และได้พ้นโทษตามพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ พ.ศ.2499 ใน พ.ศ.2500

จากเหตุการณ์นี้ได้นำไปสู่การตรา พ.ร.บ.ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน เพื่อเป็นเครื่องมือทางกฎหมายในการปราบปรามคอมมิวนิสต์เป็นการเฉพาะ ซึ่งสร้างความพึงพอใจแก่สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง

นอร์แมน ฮันนาห์

นายปรีดี พนมยงค์ บันทึกเหตุการณ์เบื้องหลังการจับกุมท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ และบุตรชายครั้งนี้ไว้โดยเท้าความเมื่อครั้งลี้ภัยหลังกบฏวังหลวงว่า

“เราคิดกันว่าจะเดินทางไปเม็กซิโกโดยแวะผ่านซานฟรานซิสโก ขณะที่เรากำลังยื่นหนังสือเดินทางแก่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของจีนอยู่นั้น ได้มีชาวอเมริกันหนุ่มคนหนึ่งชื่อ นอร์แมน ฮันนาห์ ซึ่งเป็นรองกงสุลสหรัฐอเมริกาประจำเซี่ยงไฮ้ ได้ตรงเข้ามากระชากหนังสือเดินทางของข้าพเจ้าจากมือเจ้าหน้าที่จีนผู้นั้นและได้ขีดฆ่าวีซ่าอเมริกัน ซึ่งสถานเอกอัครรัฐทูตสหรัฐ ประจำลอนดอนเป็นผู้ออกให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงประจักษ์แก่ตัวเองว่า รองกงสุลหนุ่มอเมริกันผู้นี้ช่างมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ของจีน และแม้กระทั่งเอกอัครรัฐทูตอเมริกันเอง (ต่อมาข้าพเจ้าได้ทราบว่า รองกงสุลผู้นี้เป็นสายลับของซีไอเอ)

นอกจากนั้น ข้าพเจ้าก็ยังได้เข้าใจอีกว่า เหรียญอิสริยาภรณ์และคำประกาศเกียรติคุณที่รัฐบาลอเมริกันมอบให้แก่ข้าพเจ้านั้น ไม่มีค่าอันใดเลย เพราะข้าพเจ้ากลับถูกมองว่าเป็นอาชญากรเสียด้วยซ้ำ อันเป็นข้อกล่าวหาที่สร้างขึ้นโดยผู้ที่เป็นศัตรูระหว่างสงครามของสหรัฐเอง (ซึ่งก็คือ จอมพล ป.พิบูลฯ) ทั้งนี้ โดยการปฏิเสธไม่ให้ข้าพเจ้าแวะผ่านบนผืนแผ่นดินอเมริกัน แม้จะเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ชาวอเมริกันที่เซี่ยงไฮ้พยายามติดต่อกับข้าพเจ้า เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พบ วันหนึ่งเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งเคยทำงานร่วมกับข้าพเจ้าเมื่อคราวต่อต้านญี่ปุ่นได้เชิญชวนข้าพเจ้าไปรับประทานอาหารกลางวันกับเขาในฐานะเพื่อน ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ได้พบกงสุลใหญ่อเมริกัน ซึ่งได้เข้ามาแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์เกี่ยวกับวีซ่าครั้งนั้น และแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า นายพลยอร์ช มาร์แชล รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกันได้สั่งให้ประทับวีซ่ากลับคืนในหนังสือเดินทางของข้าพเจ้า

ต่อมาไม่นาน นอร์แมน ฮันนาห์ อดีตรองกงสุลอเมริกันก็ได้ย้ายไปประจำกรุงเทพฯ องค์การซีไอเอนี้เอง ที่เป็นผู้สนับสนุนให้ตำรวจสันติบาลไทยจับกุมภรรยาและบุตรชายคนโตของข้าพเจ้า

ภรรยาของข้าพเจ้าถูก ‘ควบคุมตัว’ ที่สันติบาลเป็นเวลา 84 วัน

ส่วนปาลบุตรชายคนโต ซึ่งขณะนั้นอายุ 20 ปี ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี โดยอ้างข้อหาว่าเป็นกบฏภายในราชอาณาจักร

ปาลได้รับการปล่อยตัวตามกฎหมายนิรโทษกรรมเมื่อคราวครบรอบกึ่งพุทธกาล พ.ศ.2500″

ท่านผู้หญิงพูนศุข

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ บันทึกที่มาและเหตุการณ์เมื่อครั้งถูกจับกุมด้วยข้อหากบฏครั้งนี้ไว้ใน “ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น” ดังนี้

“ในปี พ.ศ.2495 ได้เกิดสงครามที่คาบสมุทรเกาหลี เกาหลีใต้ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรรวมทั้งประเทศไทยได้อาศัยนามของสหประชาชาติฝ่ายหนึ่งกับเกาหลีเหนือซึ่งมีทหารอาสาสมัครราษฎรจีนร่วมรบ และสหภาพโซเวียตช่วยด้านยุทธปัจจัยอีกฝ่ายหนึ่ง (หลังจากนั้น 10 กว่าปีเกิดความขัดแย้งด้านอุดมการณ์และผลประโยชน์ของชาติระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต เป็นเหตุให้สหภาพโซเวียตเรียกร้องให้จีนชำระเงินค่ายุทธปัจจัยในสงครามเกาหลี) ไฟสงครามเหมือนดังไฟลามทุ่งมีทีท่าว่าจะขยายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3

ปาลได้ขอให้ข้าพเจ้าร่วมเซ็นชื่อคัดค้านสงครามเรียกร้องสันติภาพสากล ข้าพเจ้าเซ็นชื่อในกระดาษที่มีผู้ลงนามก่อนหน้านี้อย่างไม่รีรอ ไม่ต้องปลุกระดม ไม่ต้องอธิบายเหตุผล ข้าพเจ้ายังจำเหตุการณ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ ภาพทหารญี่ปุ่นยาตราทัพเข้ามาในแผ่นดินไทย ภาพเปลวไฟสีแดงฉานจากระเบิดที่ทิ้งลงตรงสถานีรถไฟบางกอกน้อย ภาพตัวเองที่ต้องอุ้มลูกสาวคนเล็กลงหลุมภัยอย่างชุลมุน ภาพของคนที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักในยามสงคราม

วันที่ 15 พฤศจิกายน ข้าพเจ้ามีกำหนดการไปเป็นเถ้าแก่ให้คุณศักดิชัย บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์) หมั้นหมายเครือพันธ์ ปทุมรส บุตรสาวนายเฉลียว ปทุมรส อดีตราชเลขาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล งานจัดขึ้นที่บ้านพระยานลราชสุวัจน์ (ทองดี วณิกพันธ์) ญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิง

เมื่อทำพิธีหมั้นเสร็จแล้ว ขณะสนทนาทุกข์สุขกันอยู่ มีรถตำรวจแล่นเข้ามาในบ้าน นำหมายจับมาควบคุมตัวคุณเฉลียว

นายตำรวจคนหนึ่งหันมาทางข้าพเจ้าและถามว่าเป็นใคร ทั้งๆ ที่เขารู้จักข้าพเจ้าเป็นอย่างดี

เมื่อได้รับการยืนยันจากเจ้าคุณนลฯ ว่าข้าพเจ้าเป็นใครแล้ว เขาจะควบคุมตัวข้าพเจ้าไปกรมตำรวจ เจ้าคุณนลฯ เป็นอดีตรัฐมนตรียุติธรรมมีความรู้เรื่องกฎหมายดี

‘ไม่มีหมายสั่งจับ จะจับไปได้อย่างไร’ เจ้าคุณนลฯ ถาม พ.ต.อ.อัศนี ยิ่งกมล ยืนยันว่าได้เห็นหมายจับข้าพเจ้าและกำลังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกชุดหนึ่งไปจับข้าพเจ้าที่บ้านถนนสาทร

ข้าพเจ้าสูญสิ้นอิสรภาพ ณ บัดนั้น พ.ต.อ.อัสนี อนุญาตให้ข้าพเจ้านั่งรถส่วนตัวโดยมีตำรวจนั่งหน้ารถไปด้วย ก่อนที่ข้าพเจ้าจะขึ้นรถได้วานคุณศักดิชัยโทรศัพท์บอกคุณฉลบชลัยย์ พลางกูร มิตรแท้ของข้าพเจ้า วานเธอช่วยดูแลการตรวจค้นที่บ้านถนนสาทร แต่เผอิญว่าวันนั้นคุณฉลบฯ ทำบุญเลี้ยงพระไม่สามารถมาที่บ้านถนนสาทรได้ทันที

ตำรวจพาข้าพเจ้าไปยังกองสันติบาล และให้ข้าพเจ้ายืนรออยู่หน้าห้องทำงานห้องหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังลั่นลอดบานประตูบังตาออกมา

‘จะเอามาทำไม?’

แม้จะไม่เห็นตัวผู้พูดแต่ก็รู้ว่าต้องเป็นผู้ใหญ่ในตำรวจคือ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เจ้าของคำขวัญ ‘ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้’

ถ้าจะว่าจับมาทำไมก็น่าที่จะให้ลูกน้องปล่อยตัวข้าพเจ้าทันที แต่การหาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้าพเจ้าถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หนักอึ้งและยิ่งรัดยิ่งแน่นเป็นเวลา 84 วันเต็ม

อีก 2 วันต่อมา ข้าพเจ้าถูกนำตัวไปทำประวัติผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจับหัวแม่มือข้าพเจ้าเรียงเรื่อยไปจนครบ 10 นิ้ว กดลงบนจานหมึกสีดำก่อนที่จะประทับลงในแผ่นกระดาษ

สมัยสมบูรณาสิทธิราชย์ การพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ตามที่ข้าพเจ้าทราบ ‘พวกนักโทษในข้อหาอุกฉกรรจ์ ต้องทำประวัติและพิมพ์ลายนิ้วมือ’

ข้าพเจ้าพยายามระงับเสียงสะอื้นไห้ดังอยู่เพียงในอก นัยน์ตาเหม่อลอยไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

‘จะบ้าหรือ’ เจ้าหน้าที่ตำรวจถามข้าพเจ้า

ไม่มีคำตอบจากข้าพเจ้า สงบนิ่งและเฉยเมย เพียงพอแล้วสำหรับคำถามที่หมิ่นหยาม

ข้าพเจ้าค่อยๆ ทบทวนตัวเองว่าทำผิดอะไรหรือจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร”

ครั้งที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาชญากรสงคราม ได้เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือมายังนายปรีดี พนมยงค์

แต่ครั้งนี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากจอมพล ป.พิบูลสงคราม



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

เริ่มแล้ว! “Thai–Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย–จีน” เทศกาลประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญแห่งปี
ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
‘กฤษฎีกา-เพื่อไทย’ มองต่างมุม ไพ่ในมือรักษาการนายกฯ ผ่าทางตัน ‘ยุบสภา’ ได้หรือไม่ได้
ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ