

ยุทธบทความ | สุรชาติ บำรุงสุข
เดินหน้าสู่ปีที่ 4 (17)
The Pyrrhic Victory ของรัสเซีย
“นักยุทธศาสตร์คลาสสิคพยายามแสวงหาการรบแบบแตกหักตั้งแต่ในช่วงแรก เพื่อจะทำให้สงครามเดินไปสู่จุดสุดท้ายอย่างรวดเร็ว ก่อนที่สงครามนั้นจะขยายตัวกลายเป็นความต้องการกำลังพลและทรัพยากรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
Lawrence Freedman
Ukraine and the Art of Strategy (2019)
ในความเป็นรัฐมหาอำนาจใหญ่นั้น รัสเซียมีความได้เปรียบในการทำสงครามกับยูเครนอย่างเห็นได้ชัด แต่ภายใต้เงื่อนไขของความเป็นสงครามทอนกำลังแล้ว ความได้เปรียบที่รัสเซียมี ก็ประสบปัญหาอย่างมาก เพราะสภาวะของสงครามในรูปแบบเช่นนี้ กลายเป็นปัจจัยที่บั่นทอนศักยภาพทางทหารของรัสเซียเช่นกัน เพียงแต่ด้วยสถานะของความเป็นรัฐมหาอำนาจ รัสเซียสามารถที่จะลากสงครามให้เดินไปข้างหน้าตามความต้องการของประธานาธิบดีปูตินได้
หากผลที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ทั้งในบริบทของสงครามทางบก สงครามทางทะเล และสงครามทางอากาศนั้น ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาขนาดใหญ่ที่กำลังท้าทายต่อรัฐรัสเซียทั้งในส่วนของสนามรบที่ยูเครน และกับปัญหาภายในสังคมรัสเซียเอง เพราะเท่ากับสังคมรัสเซียจะต้องแบกสงครามทอนกำลังในยูเครน อย่างที่ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดที่จะตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของรัสเซีย
ชัยชนะที่ไม่คุ้มค่า
ความพยายามของกองทัพยูเครนที่ทำลายสภาวะ “ชะงักงัน” ในสนามรบ ด้วยการเปิดการรุกตอบโต้กลับตั้งแต่ตอนกลางปี 2022 ซึ่งเป็นปีแรกของสงคราม ภาพการรุกตอบโต้กลับสร้างขวัญกำลังใจให้กับกองทัพและประชาชนชาวยูเครนอย่างมาก เพราะพวกเขามีความฝันอย่างเต็มเปี่ยมว่า ยูเครนจะเอาดินแดนที่รัสเซียยึดครอง อันเป็นผลจากสงครามในปี 2014 กลับคืนมา และขับไล่กองทัพรัสเซียออกไปจากดินแดนของตน
ในความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่จะทำให้ความฝันนี้ สัมฤทธิผลได้จริงนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย กล่าวคือ กองทัพรัสเซียยังมีศักยภาพในการยึดครองดินแดนของยูเครน และทำการรบต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะถูกทำลายจากสนามรบทอนกำลังก็ตาม ประกอบกับการรบแบบแตกหัก ที่จะทำให้ความฝันของยูเครนเช่นนั้นเป็นจริงได้ ก็เป็นสิ่งที่เกิดได้ยากในสนามรบ
ภาวะเช่นนี้อาจกล่าวในภาพรวมของสถานการณ์สงครามได้ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังต้องแบกภาระของความสูญเสียทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์จากการทอนกำลังในสนามรบต่อไป หรือถ้าเกิดชัยชนะ ก็เป็นการชนะในแบบที่นักประวัติศาสตร์ทหารเรียกว่า “The Pyrrhic Victory”
กระนั้นก็เห็นถึงความได้เปรียบของฝ่ายรัสเซีย การรุกตอบโต้กลับในปี 2023 และ 2024 ไม่ประสบความสำเร็จในทางทหาร และไม่เป็นภาพเชิงบวกดังเช่นความสำเร็จในปี 2022 แม้กองทัพรัสเซียจะสามารถยันการรุกของกองทัพยูเครนได้ในปีที่ 2 และ 3 ของสงคราม แต่กองทัพรัสเซียก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงมาก เพราะเป็นที่รับรู้กันว่ากองทัพรัสเซียสูญเสียกำลังพลในสงครามยูเครนเป็นจำนวนมาก
หรือในบางพื้นที่กองทัพรัสเซียอาจเปิดการรุกคืบหน้าไปจนสามารถยึดเมืองได้ตามต้องการ เช่น กรณีการยึดเมืองอัฟดิฟกา (Avdiivka) แต่กลับประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก
ชัยชนะที่อัฟดิฟกาของกองทัพรัสเซียนั้น อาจเปรียบด้วยคำในวิชาประวัติศาสตร์ทหารดังที่กล่าวแล้วว่าเป็น “Pyrrhic Victory” ที่หมายถึงชัยชนะที่ต้องจ่ายด้วยราคาของความสูญเสียทางทหารขนาดใหญ่ หรือเป็นชัยชนะที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนมากจริงในทางยุทธศาสตร์ อันอาจเรียกว่าเป็น “ชัยชนะที่ไม่ชนะ”
คำนี้มาจากชื่อของ “King Pyrrhic of Epirus” ที่สามารถรบชนะกองทัพโรมันในการรบที่ อัสคูลัม (the Battle of Asculum) ในช่วง 279 ปีก่อนคริสตกาล และชัยชนะนี้ได้มาด้วยการสูญเสียทหารของพระองค์เป็นจำนวนมาก จนไม่สามารถทำสงครามได้อีกต่อไป ซึ่งทำให้ชื่อของพระองค์กลายเป็นภาษาในวิชาประวัติศาสตร์ทหาร ซึ่งหมายถึงชัยชนะที่ไม่มีความคุ้มค่ากับการสูญเสียที่เกิดขึ้น หรือเป็นชัยชนะที่ผู้ชนะกลับอ่อนแอลง และอยู่ในสถานะที่อ่อนลงกว่าก่อนที่การรบเกิดขึ้น หรือในอีกมุมหนึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็น “ชัยชนะที่พ่ายแพ้” เพราะเป็นชัยชนะที่ไม่ตอบสนองต่อความต้องการทางยุทธศาสตร์ของรัฐ
โดยนัยแล้ว สิ่งนี้จึงเป็นเสมือน “ชัยชนะทางยุทธวิธี” ที่เป็นเพียงภาวะชั่วคราวในสนามรบ แต่ในทางยุทธศาสตร์ ชัยชนะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่า ไม่สร้างผลตอบแทนให้แก่รัฐอย่างแท้จริง หรืออาจกล่าวเปรียบเทียบในแบบวิชาเศรษฐศาสตร์ได้ว่า เป็นชัยชนะที่มีราคาแพงมากเกินไป ไม่มีความคุ้มค่ากับการลงทุนที่เกิดขึ้น
ผลของชัยชนะในรูปแบบเช่นนี้ทางยุทธศาสตร์ คือแม้รัฐจะชนะสงคราม แต่ในทางกลับกัน รัฐผู้ชนะกลับต้องประสบภาวะล้มละลายทางเศรษฐกิจ เช่น ประเทศประสบปัญหาทางการเงินขนาดใหญ่จากการทำสงคราม จนไม่สามารถทำการฟื้นฟูประเทศหลังสงครามได้
จากกรณีนี้จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจรัสเซียกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ทั้งจากการแซงก์ชั่นของฝ่ายตะวันตก และจากภาวะเศรษฐกิจภายในของรัสเซียเอง ที่เน้นอยู่กับการสร้าง “เศรษฐกิจสงคราม” (War Economy) เพื่อตอบสนองต่อการทำสงครามยูเครนเป็นหลัก
ค่าใช้จ่ายสงคราม
ค่าใช้จ่ายสงครามที่สำคัญของรัสเซีย คือจำนวนการใช้กระสุนในแต่ละวัน ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงการรุกใหญ่ของกองทัพรัสเซียในปี 2022 นั้น รัสเซียใช้กระสุนปืนใหญ่ในอัตราวันละ 45,000-80,000 นัดต่อวัน ซึ่งจากอัตราการบริโภคกระสุนเช่นนี้ ทำให้แทบนึกไม่ออกเลยว่า อุตสาหกรรมกระสุนรัสเซียจะรองรับภาวะเช่นนี้ได้อย่างไร เพราะหากคิดในปริมาณต่อเดือน (คิดที่จำนวน 30 วัน) กองทัพรัสเซียจะใช้กระสุนปืนใหญ่ประมาณ 1,350,000-2,400,000 นัดต่อเดือน (หมายความว่าในแต่ละเดือน กองทัพรัสเซียใช้กระสุนปืนใหญ่มากกว่า 1 ล้านนัด หรือสูงสุดอาจจะถึง 2 ล้านกว่านัด)
การบริโภคกระสุนปืนใหญ่ในอัตราที่สูงมากเช่นนี้ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “วิกฤตการณ์กระสุน” ไม่ต่างจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งหากคิดในภาพรวมที่เป็นปีแล้ว เราจะยิ่งนึกไม่ออกเลยว่า ด้วยจำนวนของการบริโภคกระสุนอย่างมากนั้น อุตสาหกรรมอาวุธรัสเซียจะต้องแบกรับภาระอย่างมาก ที่กองทัพรัสเซียอาจจะใช้กระสุนปืนใหญ่มากกว่า 10-20 กว่าล้านนัดต่อปี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตอบได้ทันทีว่า อุตสาหกรรมทหารของประเทศไหนก็ไม่สามารถแบกรับอัตราการใช้ในจำนวนขนาดนี้ได้ แม้แต่สหรัฐเองก็ตาม
ผลจากการใช้กระสุนปืนใหญ่เป็นจำนวนมากในปี 2022 เช่นนี้ ทำให้ในช่วงกลางปี 2023 กองทัพรัสเซียจำเป็นต้องการใช้กระสุนปืนใหญ่ให้น้อยลง เพราะไม่สามารถแบกรับทั้งหมดได้ อัตราการใช้ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงลดลงอย่างมากเหลือเพียง 10,000-15,000 นัดต่อวัน แต่ก็เท่ากับใช้ในอัตรา 300,00-450,000 นัดต่อเดือน ซึ่งก็ยังถือเป็นอัตราการบริโภคกระสุนในจำนวนที่สูงมาก
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ากองทัพรัสเซียประสบความสำเร็จในการใช้ปืนใหญ่ในสงครามยูเครนอย่างมาก เพราะร้อยละ 70 ของความเสียหาย รวมถึงความสูญเสียของกำลังพลนั้น เกิดจากการถูกโจมตีด้วยปืนใหญ่ จนอาจกล่าวในบริบทของสงครามทางบกได้ว่า สงครามยูเครนเป็น “สงครามปืนใหญ่” เพราะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการทำลายและสร้างความเสียหายให้กับข้าศึกอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ในช่วงปี 2022-2023 นั้น การโจมตีทางอากาศของรัสเซียใช้อาวุธทางอากาศระยะไกล เนื่องจากเครื่องบินรบของรัสเซียไม่ต้องการเสี่ยงที่จะบินเกินกว่าเส้นแนวหน้าของพื้นที่ที่รัสเซียควบคุม เพื่อป้องกันการถูกยิงด้วยจรวดต่อต้านอากาศยาน ดังนั้น รัสเซียจะโจมตีด้วยขีปนาวุธระยะใกล้ ระเบิดร่อน (glide bombs) หรืออาวุธปล่อยแบบครุยส์ (cruise missiles) โดยนักบินจะปล่อยอาวุธเหล่านี้ ในน่านฟ้าที่มีความปลอดภัย
การใช้อาวุธดังกล่าวเป็นเครื่องมือของการโจมตีทางอากาศนั้น สร้างความเสียหายให้กับสังคมยูเครนอย่างมาก ดังจะพบว่าการโจมตีด้วยอาวุธเช่นนี้ในหลายครั้ง กระทำกับเป้าหมายที่ไม่มีคุณค่าทางทหาร แต่เป็นการโจมตีอย่างไม่จำแนกกับเป้าหมายพลเรือน เช่น อาคารที่พักอาศัย หรือสถานที่ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของชาวยูเครน ซึ่งแน่นอนว่าอาวุธเหล่านี้มีราคาแพงมาก และการใช้อาวุธดังกล่าวโจมตีเป้าหมายที่ไม่มีคุณค่าในทางยุทธศาสตร์แล้ว ถือเป็นสิ่งที่ไม่มีความคุ้มค่าในทางทหารเป็นอย่างยิ่ง
หากการใช้อาวุธเหล่านี้เป็นจำนวนมากไปอย่างต่อเนื่องแล้ว จะกลายเป็นภาระใหญ่กับระบบเศรษฐกิจรัสเซียอย่างแน่นอน และในบริบทของอุตสาหกรรมอาวุธนั้น ขีปนาวุธระยะใกล้ ระเบิดร่อน และอาวุธปล่อยแบบครุยส์เป็นระบบอาวุธที่มีความยุ่งยากในการผลิต และทั้งเป็นอาวุธที่มีราคาแพง เช่น ในคืนวันที่ 15 และ 16 พฤษภาคม 2023 นั้น รัสเซียเปิดการโจมตีทางอากาศต่อยูเครน คิดราคาอาวุธที่ใช้โจมตีใน 2 คืนดังกล่าวมีมูลค่าราว 119 พันล้านเหรียญสหรัฐ (อ้างใน Ukrainska Pravda, 16 May 2023)
อีกตัวอย่างของค่าใช้จ่ายสงครามของรัสเซียคือ การโจมตีรับเทศกาลปีใหม่ในวันที่ 29 ธันวาคม 2023 มีประมาณการว่าค่าใช้จ่ายในวันนั้นน่าจะสูงถึง 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยกองทัพอากาศยูเครนรายงานว่า รัสเซียใช้จรวดแบบ X-101 จำนวน 90 ลูกยิงใส่เป้าหมายในยูเครน ซึ่งจรวดนี้มีมูลค่าลูกละประมาณ 13 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมกับใช้จรวดแบบอื่นๆ ในการโจมตี รวมถึงการใช้โดรนราคาถูกจากอิหร่านเข้าร่วมการโจมตีในครั้งนี้ด้วย
(อ้างใน Kyiv Post, 29 December 2023)
ทอนกำลังแบบไม่สิ้นสุด
ทางออกของการลดค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาลของรัสเซียในการทำสงครามทางอากาศกับยูเครน จึงได้แก่การหันไปใช้การโจมตีด้วยโดรนราคาถูกจากอิหร่านให้มากขึ้น เพราะโดรนอิหร่านแบบ Shahed-136/131 จะมีราคาราว 20,000-50,000 เหรียญสหรัฐต่อลำ ซึ่งหากเปรียบเทียบแล้ว จะมีราคาถูกกว่าบรรดาจรวดหรือขีปนาวุธแบบต่างๆ อย่างมาก เช่น อาวุธปล่อยแบบครุยส์ที่มีราคาต่ำอย่าง X-22 หรือ X-32 ก็จะตกลูกละประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือขีปนาวุธระยะใกล้ที่รัสเซียใช้โจมตียูเครนเป็นประจำคือ Iskander-M จะมีราคาลูกละประมาณ 3 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากที่กล่าวมาในข้างต้น จะเห็นถึงค่าใช้จ่ายทางทหารของรัสเซียในสภาวะของสงครามทอนกำลัง ที่ไม่ใช่เพียงความสูญเสียของกำลังพลและยุทโธปกรณ์เท่านั้น หากยังมีค่าใช้จ่ายสงครามเป็นจำนวนมหาศาล อันทำให้ผู้นำรัสเซียจำเป็นต้องแสวงหาความสนับสนุนด้านอาวุธจากพันธมิตรที่ใกล้ชิด เช่น อิหร่าน และเกาหลีเหนือ รวมถึงการพึ่งพาอุปกรณ์ทางทหาร (ที่ไม่ใช่อาวุธโดยตรง) จากจีนด้วย
ค่าใช้จ่ายเช่นนี้มีคำตอบเป็นรูปธรรมประการเดียวคือ จนถึงวันนี้ กองทัพรัสเซียควบคุมดินแดนของยูเครนได้เพียงร้อยละ 18 เท่านั้นเอง ชัยชนะที่รัสเซียได้จึงเป็นการลงทุนสงครามที่ไม่คุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง!