

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต
ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ค่ายรถยนต์ “เนต้า” (NETA) โดย NETA Auto (Thailand) ภายใต้บริษัทแม่ “Hozon Auto” ประเทศจีน มีข่าวด้านลบออกมาค่อนข้างมาก
จึงช่วยไม่ได้ที่จะส่งผลกระทบถึงสถานการณ์ของแบรนด์ในปัจจุบัน
เมื่อบวกกับความรุนแรงของการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าในไทยและทั่วโลก จนเกิดศึกหั่นราคากันอย่างต่อเนื่องในแทบทุกค่ายรถ EV จีน
ไทยถือเป็นหนึ่งในสมรภูมิเดือดของภูมิภาคนี้ เนื่องจากในระยะหลังๆ ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มเปิดใจกับแบรนด์ใหม่ๆ
เรียกว่าหากดีจริง ออกแบบสวยจริง และคุ้มค่า คุ้มราคา ก็พร้อมลองซื้อมาขับขี่
ต่างจากในอดีตที่เน้นรถแบรนด์ยอดนิยม และมีความภักดีต่อแบรนด์
เราจึงเห็นสถิติยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะจากจีนที่เติบโตต่อเนื่อง
แม้แต่ในสภาวะตลาดรถยนต์ซึมๆ แบรนด์รถยนต์จากจีนยังเติบโตได้แม้จะชะลอตัวลงบ้างก็ตาม

สถานการณ์ล่าสุดยอดขายรถยนต์ NETA ในประเทศไทยช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ลดลง 37.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ทำให้ยอดขายรวมในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 20,000 คัน
พร้อมกันนี้ค่ายเนต้า จัดแคมเปญลดราคาลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรุ่น “NETA V-II”
ราคาที่ทำตลาดในปัจจุบัน NETA V-II รุ่น LITE 429,000 บาท (ลดลง 120,000 บาท)
รุ่น SMART 459,000 บาท (ลดลง 110,000 บาท)
อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวออกมาเป็นระยะๆ ทำให้บรรดาดีลเลอร์ หรือตัวแทนจำหน่าย เร่งระบายสต๊อก จัดโปรโมชั่นหั่นราคากันเอง
ข้อมูลล่าสุดพบว่าหลายดีลเลอร์ประกาศราคาขายเหลือคันละ 299,000-339,000 บาท
แต่ในราคา 299,000 บาท ลูกค้าไม่ได้ของแถม อาทิ ประกันภัยชั้น 1 พ.ร.บ.คุ้มครองรถ 1 ปี Wall Box หรือการรับประกันต่างๆ
งานนี้จึงต้องดูว่ากลยุทธ์การดัมพ์ราคาอีกครั้ง จะประสบผลสำเร็จมากน้อยขนาดไหน
อีกสิ่งที่น่าจับตา ไม่พ้นจำนวนตัวแทนจำหน่ายที่ลดน้อยลง
สิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เหลืออยู่ 53 ราย ลดลงจากเดือนมีนาคมที่มีจำนวน 66 ราย
ไม่นับบริษัท เนต้า ไทยแลนด์ ที่พนักงานทยอยลาออกอย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูลพบว่าทีมผู้บริหารชาวจีนในไทยติดต่อกลุ่มทุนหลายรายเพื่อให้เข้ามารับช่วงต่อ แต่ยังไม่สามารถปิดดีลมูลค่าราวๆ 1,200-2,000 ล้านบาทได้

ช่วงปั่นป่วน 2-3 เดือนที่ผ่านมา จุดเริ่มไม่พ้นรายงานข่าวเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินของบริษัทแม่ Hozon Auto ในประเทศจีน
ในจีนลดกำลังการผลิตและปลดพนักงานบางส่วน พร้อมเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงและปรับโครงสร้างองค์กร
ก่อนหน้านี้ผู้บริษัทระดับสูงของบริษัทในจีน ยอมรับว่ายุติธุรกิจในมาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ยังลงทุนในไทยต่อเพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เป็นตลาดหลักนอกจีน
ส่วนในไทยก่อนหน้านี้พยายามประคับประคอง ทั้งแถลงงการณ์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา ยืนยันว่าบริษัทแม่ไม่ได้ล้มละลาย และยังคงดำเนินธุรกิจในไทย
ประกาศแผนฟื้นฟูกิจการเพื่อขับเคลื่อนแบรนด์และเข้าสู่การดำเนินงานในภาวะปกติ รวมถึงการวางแผนขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน
ในไทยเป้าหมายยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 10,000 คันในปี 2568 และตั้งเป้าเป็นรองแชมป์รถพลังงานใหม่ในไทย และติดท็อป 5 รถยนต์ในไทยภายในปี 2573
มีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ทุกปี ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป และมีแผนแนะนำเทคโนโลยี Super EREV มาทำตลาดด้วย
นอกจากนี้ ยังประกาศแผนเพิ่มการลงทุน ตั้งเป้าไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
เปิดศูนย์กระจายอะไหล่แห่งใหม่ เพื่อยกระดับบริการหลังการขายและลดระยะเวลาการจัดหาอะไหล่ และมีแผนตั้งศูนย์บำรุงรักษาแบตเตอรี่ 3 แห่งทั่วประเทศในปี 2568

การยกระดับบริการ สาเหตุหลักไม่พ้นเสียงร้องเรียนของลูกค้า ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง
เพราะมีการรวมกลุ่มของผู้ใช้จำนวนหนึ่งยื่นหนังสือร้องเรียนปัญหาเรื่องป้ายทะเบียน และปัญหาการขาดแคลนอะไหล่
ลูกค้าต้องรออะไหล่เป็นระยะเวลานาน ดีลเลอร์บางรายไม่รับซ่อม ไม่รับงานบริการหลังการขาย
บริษัทประกันภัยหลายราย เลี่ยงรับประกันรถ NETA
อย่างไรก็ตาม บริการหลังการขาย ยังมีอู่ภายนอกรองรับอยู่ประมาณหนึ่ง
โดยเฉพาะในสังคมคนใช้รถเนต้า แบ่งปันข้อมูลกันผ่านโซเชียลมีเดีย ชี้ลายแทงร้านซ่อม
แต่หากชนหนัก การรออะไหล่ และซ่อมแซมตัวถังยังต้องใช้เวลาอยู่

สําหรับค่ายเนต้า เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยช่วงกลางปี 2565 ภายใต้ชื่อ บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Hozon Auto ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน
เน้นเจาะตลาดกลาง-ต่ำ เปิดตัวรุ่นแรก NETA V รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ City Car และได้รับความสนใจอย่างมากด้วยราคาเปิดตัวที่ 5 แสนกลางๆ
เรียกว่าในขณะนั้นราคาถูกพอสมควร จนมีลูกค้าจำนวนมากแห่จับจอง เนื่องจากอยากลองใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่อยากซื้อที่ราคาแพงเกินไป
ไม่เพียงแต่ราคารถที่น่าสนใจเท่านั้น เนต้าประกาศชัดถึงแผนการลงทุน และผลิตรถยนต์ในประเทศไทย โดยร่วมลงนาม MOU กับกลุ่ม ปตท. ผ่านบริษัท อรุณ พลัส จำกัด บริษัทลูก
ทั้งยังมีแผนสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ล่วงเข้าปี 2567 เดินสายการผลิตรถยนต์ในไทยอย่างเป็นทางการ ที่โรงงานบริษัท บางชัน เยนเนอเรลเอเซมบลี จำกัด (BGAC)
ถือเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% แห่งแรกของเนต้า ที่ตั้งอยู่นอกประเทศจีน
โรงงานแห่งนี้เริ่มผลิตรถยนต์ NETA V-II พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการช่วงเดือนเมษายน ยังเน้นราคาเข้าถึงง่ายเช่นเดิม
จากนั้นส่งรถอีกรุ่นคือ NETA X รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ SUV ขนาดใหญ่ขึ้นมาพร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย
จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก เพราะลูกค้ายังเลือกรถ NETA V-II มากกว่า
กระทั่งการมาถึงของศึกตัดราคา ทำให้เนต้าต้องลงสนามเล่นด้วย
เมื่อบวกกับปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า ทั้งจากบริษัทแม่ การร้องเรียนของลูกค้า ภาพรวมเศรษฐกิจ
ส่งผลให้ยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า จนต้องลดราคาอีกระลอก
ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าแบรนด์รถยนต์ “เนต้า” จะฟันฝ่าปัญหาต่างๆ ได้มากน้อยขนาดไหน
ที่สำคัญอนาคตในเมืองไทย จะออกมาในรูปแบบใด??