

เหยี่ยวถลาลม
ปั่นคลั่งรักชาติ
น้ำลายฉ่ำ-สมรภูมิแฉะ
เขตแดนไทย-กัมพูชา
เช้าวันที่ 28 พฤษภาคม ในป่ารกร้างไร้ผู้คน เว้นแต่ทหาร 2 ฝ่ายที่ลาดตระเวนอยู่เป็นประจำ จู่ๆ ก็มีเสียงปึงปังดังขึ้นติดต่อกันนาน 10 นาที
ทหารไทยกับกัมพูชายิงกัน!
ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี พื้นที่รอยต่อชายแดนไทยกับกัมพูชาและลาว ตามที่เรียกกันว่า “สามเหลี่ยมมรกต” นั้น กำลังกลายเป็นจุดพิพาทขนาดย่อม
“ใครลั่นไกปืนก่อน” อย่าได้ค้นหาคำตอบ
ฝ่ายกัมพูชาสูญเสียทหารไป 1 นาย “พิพาท” นี้จะลดขนาด หรือแผ่ขยายวงกว้างออกไป
2 นายทหารที่ถูกจับตาชนิดไม่กะพริบ
หนึ่ง พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผบ.กองกำลังสุรนารี ฝั่งไทย กับอีกหนึ่ง พล.ท.สรัย ดึ๊ก รอง ผบ.ทบ. และ ผบ.กองพลสนับสนุนที่ 3 ฝั่งกัมพูชา
เมื่อเวลาล่วงผ่านไป สถานการณ์ให้ความกระจ่างว่า ในสมรภูมินั้นความตายเฉกเช่นการกะพริบตา
หลุมเพลาะที่ทหารกัมพูชาขุดล้ำเขตแดนไทยน่าจะซ่อนเร้นความหมายมากไปกว่า “เขตแดน”
สื่อออนไลน์กัมพูชาและสื่อออนไลน์ไทย “ปั่นกระแส” ชาตินิยมพร้อมกัน และไปไกล
ในโลกไร้พรมแดนด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร แม้ว่า “ชาตินิยม” ดูจะล้าสมัย แต่การเมืองในบางพื้นที่ก็เชื่อว่า “ยังปั่นขึ้น”
เกมปั่นหัวใช้ทั้งสื่อกระแสหลัก นักวิชาการที่ขาดๆ เกินๆ บางคนถึงขั้นขุดข้อมูลย้อนหลังไปเกือบพันปี ตั้งแต่สมัยที่ผู้คนและชุมชนยังไม่รู้จักคำว่า รัฐ และพรมแดน ทวงถามภาษา อารยธรรม โบราณสถาน สถาปัตยกรรม ขึ้นมาปลุกเร้าความรักชาติ
กล่าวสำหรับในไทย มากไปกว่านั้นคือ กระทืบ “นักการเมืองพลเรือน” ไปพร้อมๆ กับเชิดชู “นักรัฐประหาร” ในอดีต
รัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาน่าจะตกที่นั่งเดียวกัน
คนเชียร์ให้รบ ไม่ได้รบ และรบไม่เป็น
ส่วนคนมีหน้าที่ “รบ” นั้นกลับต้องคิดให้ยาวกว่า “ภาพลวง” ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ในทุกกรณีพิพาท “การรบ” ไม่ใช่ทางแก้ แต่ดูเหมือน “เสียงปริศนา” อื้ออึงทั้งจากฝั่งไทยและกัมพูชาจะยุให้รบกัน ถึงขั้นว่า “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีลูกชาย ฮุน เซน นั้นจบจาก”เวสต์ปอยต์”และอดีตเป็น ผบ.ทบ.กัมพูชาไม่น่าจะด้อยไปกว่าไทย
ดาวยั่วที่ชอบชักธงรบมักจะไม่รู้ ส่วนคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางศักยภาพของกองทัพทั้งสองฝ่ายจริงๆ กลับสงบเงียบ
อ่านกันให้ขาดจริงๆ กัมพูชาไม่มีขีดความสามารถพอที่จะทำสงครามลากยาวกับใคร สงครามจะซ้ำเติม “ศึกใน” ซึ่งหมายถึงสภาพความเป็นจริงทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจกัมพูชาที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วให้โคม่ายิ่งขึ้น
กัมพูชาจะจุดไฟสงครามไปเพื่อประโยชน์อันใด
“ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงแม้จะเสียรังวัดจากการสื่อสารน้อยจนถึงกับพร่ามัวไปบ้าง แต่ในที่สุดคำกล่าวเชิงนโยบายรัฐก็ออกมาชัดว่า “สงครามเป็นบรรทัดสุดท้ายที่ไม่มีใครปรารถนา ขณะวิกฤตอาจมีความเห็นกับอารมณ์ปะปนกัน แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ยกระดับต่างๆ กันตามอำเภอใจ”
การเมืองต้องนำการทหาร!
ส่วนกัมพูชาประกาศจะไปร้องอะไรที่ศาลโลกก็ปล่อยให้ว่าไป ไม่ใช่เรื่องให้ตื่นเต้น ไทยกับกัมพูชามีกลไกแก้ไขปัญหาเขตแดนอยู่แล้วคือ “JBC” หรือ Joint Boundary Committee (คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา) มีบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ปี พ.ศ.2543 ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าใจปัญหาเป็นอย่างดีว่า คำว่า “เขตแดน” เป็น “ขยะ” ที่จักรวรรดินิยมทิ้งไว้ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน ทะเลาะกันไป “เขตแดน” ก็ไม่ได้ปรากฏ เนื่องจากสภาพที่เป็นป่าเขานั้น ยังไม่ได้ปักปันเขตแดนบ้าง ปักปันแล้วหลักเขตชำรุดสูญหายบ้าง หรือธรรมชาติที่เป็นป่าไม้นั้นถูกตัดถูกโค่น หรือดินสไลด์ถล่มเปลี่ยนทางไปบ้าง
พรมแดนไทยกัมพูชาเกือบ 800 กิโลเมตรต้องอาศัย “JBC” ไม่ใช่ “กระสุนปืน”
คำเหยียด คำยุยงให้เกิดความเกลียดชังระหว่างคนไทยกับกัมพูชา หรือระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาทั้งหลาย จึงควรจะยุติลงโดยรัฐบาลกับกองทัพมี “เอกภาพ” และ “ลงมือ” อย่างมียุทธศาสตร์ยุทธวิธี
และท่ามกลางกระแสที่ “กองเชียร์ไทย” ยุยงให้กองทัพภาคที่ 2 ชักธงรบนั้น พล.อ.อ.ฐากูร นาครทรรพ “นายทหารนอกราชการ” ก็ออกมาโพสต์ “รั้งสติ” ในเฟซบุ๊ก Thak Na ว่า
“ทหารเก่าอย่างผมขอแสดงความคิดเห็นบ้างครับ วันนี้อยากจะให้ข้อคิดว่า รักชาติแบบไหน…ที่ไม่จำเป็นต้องทำสงคราม รักชาติจริงๆ มันจำเป็นต้องใช้กำลังรบหรือ?”
…ถ้าไทยเริ่มใช้กำลัง แม้จะอ้างว่าเพื่อปกป้องแผ่นดิน แต่เวทีโลกจะมองไทยเป็น “ผู้เริ่มใช้ความรุนแรง” ทันที ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ อาเซียนไม่เข้าข้าง, สหประชาชาติ (UN) อาจออกมติประณาม สหภาพยุโรป (EU) และประเทศต่างๆ อาจมองว่าไทยก้าวร้าว ความเชื่อมั่นในเวทีโลกที่สะสมมานาน…พังทลาย เสียหายมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะชีวิตลูกหลานที่ต้องตายในสนามรบ ขณะที่คนปลุกกระแสนั่งสะใจอยู่หน้าจอโทรศัพท์ คนที่หวังผลทางการเมืองนั่งยิ้มกริ่ม เอ็งพังแล้ว ข้าเกิดแน่…”
กับอีกตอนหนึ่งโพสต์ได้กระชับรวบรัดว่า
“ศึกครั้งนี้ต้องใช้สติ ไม่ใช่แค่ใช้กระสุนปืน แต่คือสงครามของเรื่องเล่า กฎหมาย และความชอบธรรม”
เขตแดนที่คลาดเคลื่อน ในป่าเขาธรรมชาติเปลี่ยนแปลง ไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนแน่นอน ไม่ว่าสนธิสัญญาฝรั่งเศสหรือแผนที่ใดก็ไม่ได้เป็น “ระเบิดเวลา” ของความขัดแย้ง
อย่าปล่อยให้เอาคำว่า อธิปไตย มาใช้เพื่อจุดไฟ
ทั้งหลายขึ้นอยู่กับ “ผู้นำ”
ผู้นำต้องไม่ป่วย จึงนิ่ง หนักแน่น และสามารถหาทางออกได้ด้วยสติปัญญา ไม่นำพาประเทศชาติเข้าสู่วิกฤตการณ์ ไม่ซ้ำเติมประชาชนให้ทุกข์ยากขัดสน ตัวอย่างในประวัติศาสตร์มีมากมายที่ต้องสิ้นชาติหรือเผ่าพงศ์ไปเพราะความทะนงหลงผิดของผู้นำ
ไม่เว้นแม้แต่เชื้อสายราชวงศ์มหิธรปุระ ผู้สร้างเมืองพระนคร นครวัด นครธม!?!!!