

บทความในประเทศ
อนุทิน : I’m ok
พีระพันธุ์ : not ok
ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ต่างๆ หลายอย่างในบ้านเราตอนนี้อยู่ในภาวะสุดจะ “อึมครึม”
เศรษฐกิจก็มืดมัว, การจับจ่ายใช้สอย-อุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็เงียบเหงา, สังคมไม่สดใส, สายตาผู้คนดูเศร้าหมองไร้ความหวัง
ข่าวรัฐออกมาบอกให้คนไทยมีลูก อ้างอัตราการเกิดต่ำ กลายเป็นโจ๊กในหมู่ผู้คน แค่จะใช้ชีวิตแต่ละวันยังแทบไม่รอด ขืนมีลูกตอนนี้ชีวิตพังพอดี
การต่างประเทศก็ตึงเครียด การเมืองภายในก็ดูใกล้จะตีบตัน
เกิดคำถามขึ้นไม่เว้นแต่ละวันว่าเรือรัฐนาวาลำนี้จะแล่นฝ่าพายุรอดไปจนถึงฝั่งไหม? ผลจากรัฐธรรมนูญปี 2560 มรดก คสช. ที่ออกแบบมาเพื่อให้เกิดวิกฤต
ถามว่าผู้เล่นไม่รู้หรือว่าเล่นในกติกาการเมืองนี้มันจะเกิดวิกฤต? คำตอบคือผู้เล่นทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดวิกฤต ก่อนเล่นเกมก็สัญญาว่าหลังเข้ามามีอำนาจจะร่วมกันแก้ไข
แต่พอถึงเวลาต้องช่วงชิงอำนาจ สร้างดุลการต่อรอง สถานการณ์มันบีบต้องเลือกหันไปหยิบเครื่องมือในรัฐธรรมนูญนี้มาเป็นอาวุธเล่นงานคู่แข่งเสียก่อน
ขั้วการเมืองใหญ่ทุกขั้ววันนี้จึงพ่ายแพ้ต่อกับดักที่รัฐธรรมนูญอนุรักษนิยมฉบับนี้ออกแบบไว้ วิกฤตการเมืองไทยจึงคาราคาซังต่อเนื่องยาวนาน
มาปะทุอีกแผลในศึก “ปรับคณะรัฐมนตรี” ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ตอนนี้
หลังนายทักษิณ ชินวัตร ผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย ส่งสัญญาณชัดเจนไม่ต้องอ้อมค้อม ว่าเพื่อไทยจำเป็นต้องเข้าไปคุมมหาดไทย ข่าวลือเรื่องปรับ ครม.ที่พูดกันมาต่อเนื่องจึงชัดเจน
วิเคราะห์กันว่าวันนี้เพื่อไทยใกล้จะจนมุมทางการเมืองแล้ว ไม่นับวิกฤตเศรษฐกิจที่ถาโถม ท้าทายรัฐบาลอย่างหนัก สารพัดม็อบฝ่ายขวาที่ออกกำลังกายขู่ฟ่อๆ รอบทำเนียบรัฐบาล
นายทักษิณเองก็เจอปัญหาใหญ่ เพราะเพิ่งไปเปิดศึกกับหมอกรณีชั้น 14 อีก
หากไม่ขยับทางการเมืองใดๆ เพื่อไทยจะเดินเข้าสู่ “ความเสียหายอย่างหนัก” หลังจากนี้
การปรับ ครม. ขอเก้าอี้คืนจากพรรคภูมิใจไทยจึงเป็นความจำเป็น (ที่หลีกเลี่ยงมิได้) เพื่อสร้างผลงาน ทำนโยบายที่เพื่อไทยประกาศไว้ให้สำเร็จ
แต่นั่นคือมุมมองของขั้วสีแดงและนายทักษิณ ที่ต้องทำแบบนี้วันนี้ เพราะตัวเองอยู่ในสถานะ “ไม่ค่อย OK”
สถานการณ์ “ไม่ OK” วันนี้ยังลุกลามไปยังพรรค DNA ลุงตู่ สุ่มเสี่ยงพรรคแตก-ไม่แตกอยู่เวลานี้
หลังรวมไทยสร้างชาติถือธงเข้าร่วมกับค่ายสีแดงขอแชร์อำนาจทางการเมือง แม้จะขัดใจแฟนๆ แต่ช่วงแรกก็ไม่มีใครคัดค้านเนื่องจากต้องล้ม “ขั้วสีส้ม” ไม่ให้มีอำนาจทางการเมือง
หลังสกัดค่ายสีส้มสำเร็จ “รวมไทยสร้างชาติ” ภายใต้การนำของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ก็ต้องเจอกับ “ความจริงทางการเมือง” กลุ่มการเมืองจับมือแบ๊กอัพผู้สนับสนุนพรรค แท็กทีมกันเตะตัดขาเรื่อยมา
วาระการปฏิรูปที่นายพีระพันธุ์เคยประกาศไว้ไม่คืบหน้า ผลงานไม่เข้าตาคนเท่าที่ควร ไม่เห็นการขยับปฏิรูปโครงสร้างพลังงานแบบที่คุยตอนแรกมากนัก
ในด้านการเมือง พลังฝ่ายอนุรักษนิยมทางการเมือง มองพรรค DNA ลุงตู่ (ในวันที่ไม่มีลุงอยู่แล้ว) กลายเป็นพรรคการเมือง “ใต้ปีกบ้านจันทร์ส่องหล้า” ไม่มีวาระทางการเมืองของตัวเองที่จะตั้งคำถามกับ “ผู้นำขั้วสีแดง”
แม้จะโชว์ผลงานปราบทุนเทาได้ดี แต่ก็ยังเล็กน้อยกับภาพใหญ่ที่ขบวนการอนุรักษนิยมต้องการรุกคืบมาทวงคืนอำนาจจากขั้วสีแดง
ไม่ต้องแปลกใจหากวันนี้ได้เห็นข่าวแกนนำพรรคภูมิใจไทย ผลผลิตลุงตู่แตกกันยับ เปิดวิวาทะเดือดใส่กันตามหน้าสื่อ ระหว่าง “สุชาติ ชมกลิ่น” กับ นายพีระพันธุ์ พ่วงด้วย เอกนัฏ พร้อมพันธุ์
เล่นกันแรงระดับล้มจากเก้าอี้ ล่า 21 ชื่อ ส.ส. เสนอนายกฯ ขอเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี
เพราะนี่คือจังหวะปล่อยอาวุธใส่กัน สู้สงครามยึดเก้าอี้ ส.ส. มาไว้ในมือให้ได้มากที่สุดหวังขยับ “อำนาจ” ทางการเมือง
งานนี้เล่นเอา “พีระพันธุ์” ที่ว่ากันว่าเป็นสายแข็ง นิ่ง เฉียบ ยังออกอาการ มาทำงานแต่ไม่เข้าประชุม ครม. และต้องแชะภาพโชว์ “รวมไทยสร้างชาติไปต่อ”
เหมือนจะ OK แต่ต้องยอมรับว่าวันนี้ “พีระพันธุ์ ไม่ OK …”
ตรงกันข้ามกับ “ขั้วสีน้ำเงิน”
หลังตั้งหลักได้จากการประกาศรุกคืบ “ขอคืนกระทรวงมหาดไทย” จากขั้วสีแดง ก็ถึงคราวตอบโต้
สไตล์นายอนุทิน เมื่อถูกรุกหนักจากสื่อมวลชน ถามถึงการประกาศขอคืนมหาดไทยจากเพื่อไทย นายอนุทินเริ่มจากใช้วิธีนุ่มนวล ยังไม่ทราบข้อมูล ยืนยันไม่มีความขัดแย้งพูดคุยกับนายกฯ เป็นไปด้วยดี
จากนั้นนายอนุทินก็อาศัยจังหวะกำลังชุลมุนโต้กลับ เดินเกมให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นเพราะ “ความไม่แฟร์” จากฝีมืออีกฝ่าย
เริ่มจากการประกาศ ทวง “ปฏิญญาช็อกมินต์” ย้ำว่าภูมิใจไทยไม่ได้มาขอร่วมรัฐบาล แต่การได้เก้าอี้มหาดไทย เกิดจากการตกลงร่วมรัฐบาลกันตอนตั้งรัฐบาล
ในความหมายก็คือเพื่อไทย ก็ควรเคารพข้อตกลงแต่แรก การมาทวงคืนกลางทางถือว่าเป็นความไม่ยุติธรรมของคนที่เป็นหุ้นส่วนกัน
ทันใดนั้นก็ถูกแกนนำเพื่อไทย อย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย ปล่อยหมักฮุก ยืนยันว่าช่วงตั้งรัฐบาลไม่ได้มีข้อตกลงว่าใครจะเอากระทรวงอะไร แค่ตกลงจะแก้ร่วมกัน จึงมาทำงานร่วมกันในหลักการต่างหาก ไม่ได้ชี้ชัดว่าใครต้องเอากระทรวงไหน
เป็นการชิงไหวชิงพริบต่อสู้กันในระดับวาทกรรมการเมืองขั้นสุดยอด มือหนึ่งกอดคอจับมือกัน อีกมือก็พร้อมปล่อยอาวุธ ตั้งแต่ทุบหลังเบาๆ ไปจนกระทั่งทิ่มแทงมีดเข้าแผ่นหลังของอีกฝ่าย
อาการออกชัดในการประชุม ครม.อังคารที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ครม.ซีกพรรคภูมิใจไทยแห่กันเข้าประชุมช้า ราวกับนัดกันประท้วงเชิงสัญลักษณ์ สร้างบรรยากาศ “อึมครึม”
ขั้วสีน้ำเงินยังเดินเกมการเมืองขย่มรัฐบาล “ทางอ้อม”
ในจังหวะที่รัฐบาลเพื่อไทยถูกมองว่าล่าช้าอย่างยิ่งในการตอบโต้ทางการทูตและชี้แจงทางการเมืองกรณีการปะทะกับทหารกัมพูชา และเป็นจังหวะคนในสังคมหันไปเชียร์ทหาร
ขั้วสีน้ำเงินก็เอาด้วย เล่นเกมปลุกกระแส หลังจากกลับจากต่างประเทศ นายอนุทินบินด่วนไปที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ปรากฏเป็นภาพรองนายกฯ ไปให้กำลังใจทหาร ชาวบ้าน ฝึกซ้อมหลบภัยกับเด็กๆ
จนเสี่ยตือ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภา-บิดาของ 2 ส.ส.ภูมิใจไทย รีบรับลูก ออกปากชมว่า “เป็นมวยกว่าเยอะ! งานนี้ได้ใจอย่างหนัก”
พร้อมกับการส่งสัญญาณของ “ครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ” และลูกพรรค ที่ประกาศ “เราสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว” และ “แม้ไทยจะรักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด”
นอกจากการโชว์รักชาติ (แบบที่ถนัด) สถานการณ์ความขัดแย้งกับกัมพูชา จึงเปิดโอกาสให้ขั้วสีน้ำเงิน จับกระแสชาตินิยมขย่มขั้วสีแดงที่ทิศทางข่าว “กำลังตกเป็นรอง” ได้ในเวลาเดียวกัน
แบบนี้ไม่เรียกว่าร้ายกาจ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?
อาจจะมีเจ็บปวด มีการต่อสู้ แผลถลอกบ้าง แต่สถานะทางอำนาจของขั้วสีน้ำเงินวันนี้ก็ยังอยู่ในระดับใช้คำว่า “I’m ok” ได้อยู่
หลังจากนี้จึงต้องจับตาว่าเพื่อไทยจะแก้เกมอย่างไร เพราะท่าทีของขั้วสีน้ำเงินเริ่ม “ตึงตังเสียงแข็ง” ขึ้นมาก
ขณะที่ฟากรวมไทยสร้างชาติ วันนี้อยู่ในสถานะไม่ OK กราฟความเป็นพรรคมรดกทหารเริ่มดิ่งลงอย่างหนัก ต้องดูว่าจบศึกฟาดฟันกันระดับแกนนำ ใครจะชนะ?
เช่นเดียวกับพลังอนุรักษนิยมในการเมือง ต้องจับตาว่าจะขยับวาระทางการเมืองไปในทิศทางใด เมื่อตัวแทนในระบบอย่าง รทสช.และขั้วสีน้ำเงิน ดูเหมือนไม่สามารถวางใจได้เต็มที่
สำคัญที่สุดคือนายทักษิณ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะดำเนินการเมืองไปในรูปแบบไหนต่อ?
สภาวะรัฐบาลที่เครื่องยนต์สภาพใกล้จะพัง แต่มีปัญหาประเทศให้ต้องแบกแบบชนิด “หนักหนาสาหัส”
มองอนาคตประเทศไทยจากวันนี้แล้ว พูดได้คำเดียวว่า ยัง “ไม่ OK”