เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

รำลึกแอนโธนี รีด ผู้ก้าวข้ามพรมแดนทั้งหลายในอุษาคเนย์ศึกษา

25.06.2025

ตุลวิภาคพจนกิจ | ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

รำลึกแอนโธนี รีด

ผู้ก้าวข้ามพรมแดนทั้งหลายในอุษาคเนย์ศึกษา

ผมได้รับข่าวการถึงแก่กรรมของศาสตราจารย์แอนโธนี รีด แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียด้วยความตกใจและเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง

ลูกศิษย์และมิตรสหายที่เคยศึกษาและร่วมงานกับแอนโธนี รีด หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า โธนี ต่างรู้สึกถึงความสูญเสียอันใหญ่หลวงและคุณูปการมากมายที่เขาได้สร้างและอุทิศให้แก่การบุกเบิกและขยายขอบเขตรวมถึงวิธีวิทยาในการศึกษาอาณาบริเวณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เขาเป็นอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญมาตลอดชีวิต

โธนีเกิดในครอบครัวนักการทูตและศึกษาในนิวซีแลนด์ (มหาวิทยาลัยเวลลิงตัน) ก่อนไปต่อปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ วิทยานิพนธ์ที่ทำเรื่องการต่อสู้เพื่ออำนาจในสุมาตรา (เหนือ) ในศตวรรษที่ 19

เขาเริ่มเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมลายา ก่อนไปรับตำแหน่งอาจารย์ประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) จนได้เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยในเอเชียแปซิฟิกศึกษา (Research School of Pacific and Asian Studies) ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการทำงานวิชาการที่สร้างชื่อเสียง ที่โด่งดังไปทั่วโลกคือหนังสือสองเล่ม หนึ่งในนั้นคือเรื่อง Southeast Asia in the Age of Commerce, c1450-1680 (1983-93) ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ เช่น จีน อินโดนีเซีย ไทยและญี่ปุ่น

และบ่มเพาะนักศึกษาอุษาคเนย์รุ่นต่างๆ ที่กลายไปเป็นผู้เชี่ยวชาญมีชื่อหลายคน

และที่สำนักวิจัยเอเชียแปซิฟิกนี่เองที่ผมและเชลีได้มีโอกาสรู้จักและคุ้นเคยกับโธนี รีด

เหตุที่ผมได้มีโอกาสไปทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียในปี 1994 มาจากโครงการวิจัยเรื่อง Ideas of Freedom in Asia ที่ต้องการค้นหาว่าแนวคิดว่าด้วยเสรีภาพมีบทบาทอย่างไรในเอเชีย

สืบเนื่องมาจากการวิวาทะว่าในเอเชียแต่โบราณมานั้นไม่เคยมีความคิดเรื่องเสรีภาพ

นักคิดใหญ่ที่เสนอไม่ใช่ใครคือเฮเกล ปรมาจารย์ของนักคิดที่จะเป็นซ้ายและเป็นสำนักคิดทรงอิทธิพลในตะวันตก เช่น ลัทธิมาร์กซ์

โธนี รีด และคณะทำงานเรื่องประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาช่ำชอง จนพบว่าหลายเรื่องที่เราคิดว่าไม่เคยทำและมีอย่างในยุโรปก็มีไม่น้อย

โครงการวิจัยเรื่องความคิดเสรีภาพในเอเชียจึงเป็นความพยายามวิพากษ์แนวความคิดตะวันตกที่ได้ครอบงำนักวิชาการเอเชียมานานว่าอย่าไปคิดเลยเพราะคนเอเชียไม่เคยเสรีภาพ

ผมได้ส่งใบสมัครในการร่วมงานวิจัยโดยเสนอหัวข้อว่า “Slavery and Modernity : Freedom in the Making of Modern Siam”

โครงการวิจัยของผมได้รับการตอบรับอย่างดีและไปนั่งคนคว้าแล้วเขียนออกมาให้เสร็จภายในเดือนกรกฎาคมปีนั้น

การวิจัยเรื่องเสรีภาพครั้งนั้นเป็นจุดหักเหที่เปลี่ยนชีวิตทางวิชาการและอาชีพของผมอย่างสำคัญ

ก่อนหน้านั้นผมมีหน้าที่สอนวิชาประวัติศาสตร์สหรัฐเพียงวิชาเดียว ซึ่งเป็นวิชาที่ผมเรียนและทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกจากบิงแฮมตัน สหรัฐ

แต่วงการอเมริกันศึกษาแม้มีสมาคมและสำนักข่าวสารอเมริกันให้การสนับสนุนอย่างมาก แต่มันไม่สนุกและไม่ตอบโจทย์ทางการเมืองไทย

ผมต้องเริ่มเรียนและค้นเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยตัวเองเพื่อจะได้เข้าร่วมเสวนาและสัมมนากับพรรคพวกนักวิชาการและผู้สนใจ ไม่มีใครสนใจอยากถกเถียงเรื่องการเมืองหรือประวัติศาสตร์อเมริกาเท่าไร แม้กระทั่งปัจจุบันที่การเมืองอเมริกันกำลังวิกฤตก็ตาม

ประวัติศาสตร์อเมริกาเป็นเรื่องสุดท้ายที่คนคิดว่าจะช่วยสร้างความเข้าใจความเป็นอเมริกันได้

งานวิจัยเรื่องเสรีภาพกับความเป็นสมัยใหม่ของสยามจึงเป็นโอกาสที่ผมได้คิดและเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยในมิติที่ผมพอมีความคุ้นเคยอยู่ก่อนแล้วคือความคิดทางการเมืองเรื่องเสรีภาพ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประวัติศาสตร์ของทาสผิวดำในอเมริกา

แต่คราวนี้ผมเอาวิธีวิทยาและมโนทัศน์เรื่องเสรีภาพมาเปรียบเทียบระหว่างของอเมริกากับไทย

วิธีการดำเนินการวิจัยที่โธนี รีด และคณะจัดการในตอนนั้นน่าสนใจมาก

นักวิจัยทั้งหมดกว่า 10 คนจากหลากหลายมหาวิทยาลัยและประเทศมากินนอนและค้นคว้าร่วมกันในแคนเบอราเป็นเวลา 3 เดือนก่อนถึงวันนำเสนอผลงานในการประชุมใหญ่ครั้งสุดท้าย

ผมจึงมีโอกาสได้พบปะและพูดคุยกับบรรดานักวิชาการเอเชียศึกษาที่โด่งดังเป็นยักษ์ใหญ่หลายคน เช่น จิม สก๊อต แห่งเยล อเล็กซานเดอร์ วูดไซด์ แห่งบริติชโคลัมเบีย แคนาดา และคอนสแตนซ์ วิลสัน ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัชกาลที่ 4

นักประวัติศาสตร์ไทยอีกคนที่ผมเลยได้แลกเปลี่ยนมากกว่าก่อนคือ เครก เรย์โนลส์ ซึ่งไม่ได้ร่วมโครงการนี้แต่ยินดีอ่านและวิจารณ์งานผมอย่างเต็มที่

อีกสองนักศึกษาไทยขณะนั้นที่ผมใช้บริการด้วยคือ นิติ และพวงทอง ภวัครพันธุ์

บุคลิกที่ประทับใจของโธนีคือความใส่ใจในนักวิชาการอื่นๆ เขาเสนองานและโครงการใหม่ๆ ให้คนรุ่นใหม่ตลอดเวลา

วันหนึ่งเราพบกันในการสัมมนาในกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้โธนีไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันอุษาคเนย์ศึกษาในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งลอสแองเจลิส (UCLA) เขาถามผมว่าสนใจไปบรรยายเรื่องเสรีภาพกับทาสให้นักศึกษาอเมริกันในภาควิชาประวัติศาสตร์ไหม

ผมตอบรับทันที ผมพาครอบครัวไปอเมริกาซึ่งกำลังอยู่ในวิกฤตใน สงครามบุกอิรักปี 2003 โธนีมารับเราถึงสนามบินและพาไปอพาร์ตเมนต์ในเมืองซานตาโมนิกา

บรรยากาศในภาคประวัติศาสตร์นั้นดูจากภายนอกเคร่งเครียด เรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องใหญ่มาก ห้องเลขานุการและงานธุรการปิดด้วยกระจกสี่ด้าน ต้องได้รับอนุญาตก่อนถึงจะดำเนินการติดต่อได้

บรรดาอาจารย์ชื่อดังที่เคยเห็นชื่อในหนังสือและบทความวิชาการมีแต่ป้ายชื่อติดอยู่หน้าห้อง แต่ไม่เคยเจอตัวจริงๆ เลย นอกจากต้องนัดหมายล่วงหน้าก่อน

ผมคิดว่าโธนีซึ่งคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบอุษาคเนย์ที่สบายๆ และคนเข้าถึงกันได้ตลอดเวลาคงมีความอึดอัดและลำบากในการปรับตัว

จึงไม่แปลกใจเมื่อก่อนผมเดินทางกลับ เขาเอ่ยปากชวนว่า ปีหน้าจะไปเป็นผู้อำนวยการร่วมก่อตั้งสถาบันวิจัยเอเชีย (ARI) ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ถ้าผมสนใจทำวิจัยอีกก็ยินดียิ่ง

เขาทำให้สถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์กลายเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำระดับโลก สามารถดึงอาจารย์และนักวิจัยหลายรุ่นในทุกมุมโลกให้มานั่งวิจัยและเขียนงานให้แก่สถาบันอย่างที่อื่นๆ ทำได้ยากมาก

ปี 2004 ผมจึงเป็นนักวิจัยของสถาบันวิจัยเอเชียรุ่นแรกๆ ผมวางแผนวิจัยเรื่องความคิดทางการเมืองของเทียนวรรณ แต่เกิดกรณีสังหารที่กรือเซะ นักวิจัยในสถาบันพากันมาถามผมว่าเหตุการณ์กรือเซะหมายความว่าอย่างไร ผมตอบไม่ได้ เลยตัดสินใจเปลี่ยนหัวเรื่องมาทำความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในสยามแทน

ปลายปีนั้นโธนีจัดสัมมนาใหญ่ในประเด็นนี้ที่นครศรีธรรมราช ก่อนจะตีพิมพ์เป็นหนังสือเรื่อง Thai South and Malay North : Ethnic Interactions on a Plural Peninsula (2008) ช่วงเวลานั้นทำให้การเป็นนักประวัติศาสตร์ไทยของผมเปลี่ยนอีกครั้ง

คราวนี้ออกจากพรมแดนของประวัติศาสตร์ทางการและจารีตชนชั้นนำ มาสู่ประวัติศาสตร์นอกทางการและนอกพรมแดนสยามและชนชั้นนำมาสู่ขบวนการประชาชนและแกนนำตามธรรมชาติ

ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าเมื่อมองกลับไป โธนี รีด คือคนที่ผลักดันและหนุนช่วยให้ผมหาทางในการเป็นนักวิชาการอุษาคเนย์ได้ โดยไม่ได้วางแผน

เขาเป็นนักวิชาการที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่ง เป็นศาสตราจารย์ (full Professor) ของสำนักเอเชียศึกษาคนแรก ธรรมเนียมของที่นั่นคือมีศาสตราจารย์คนเดียวในสำนัก ตำแหน่งว่างลงจึงตั้งคนใหม่ ทำให้มีศาสตราจารย์น้อยมากๆ

แต่ในความสัมพันธ์กับนักวิชาการและคนอื่นเขามีความอบอุ่นและให้ความเป็นกันเองมาก เป็นคนไม่ถือตัวและกล่าวได้ว่ามีความสมถะเป็นคนธรรมดา สามารถคุยแลกเปลี่ยนได้กับทุกคนแม้คนที่เพิ่งเรียนรู้

จึงไม่แปลกใจที่บรรดาเพื่อนและผู้ร่วมงานในทุกสถาบันที่เขารับผิดชอบ พากันชื่นชมและแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการจากไปของเขา

คุณูปการสำคัญของโธนี รีด ในความคิดของผมคือการที่เขาสามารถนำอุษาคเนย์ศึกษาก้าวข้ามพรมแดนในการศึกษาอาณาบริเวณ ไม่ว่าทางคติเชื้อชาติ ศาสนา และการเมืองแบบมองจากมุมสูงและของคนนอก มาสู่การทำประวัติศาสตร์ผ่านการปฏิบัติของคนธรรมดาทั่วไป (ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ) จากการปลอดคติความเชื่อเดิมๆ ทั้งหลาย (ชาตินิยม) แล้วเริ่มสังเคราะห์ความรู้และความจริงใหม่จากประสบการณ์ที่เป็นภววิสัยที่เป็นของตัวเอง

ขอถือโอกาสนี้ในการร่วมรำลึกถึงและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวของโธนี



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ลิซ่า ชี้ อดีตนายกฯ ขึ้นเวที ไม่ใช่การ “ผ่าทางตัน” ให้กับประเทศไทย แต่กลับเป็นการ “ตอกลิ่มประเทศ” ให้จมอยู่กับวังวนของปัญหาเดิม ๆ ยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าระบอบ
คำศัพท์พื้นฐานในโลกของฟอเร็กซ์ที่ต้องรู้ก่อนเทรด
พล.ท.ภราดร นำทัพ กลุ่มสวัสดีคนไทย แสดงความคิดเห็นเพื่อตั้งหมุดหมาย ที่ “ 100 ปี ประชาธิปไตย”
คาดเดาไม่ออก บอกไม่ถูก | ลึกแต่ไม่ลับ
เริ่มแล้ว! “Thai–Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย–จีน” เทศกาลประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญแห่งปี
ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568