

ตุลวิภาคพจนกิจ | ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
รำลึกแอนโธนี รีด
ผู้ก้าวข้ามพรมแดนทั้งหลายในอุษาคเนย์ศึกษา
ผมได้รับข่าวการถึงแก่กรรมของศาสตราจารย์แอนโธนี รีด แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียด้วยความตกใจและเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์และมิตรสหายที่เคยศึกษาและร่วมงานกับแอนโธนี รีด หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า โธนี ต่างรู้สึกถึงความสูญเสียอันใหญ่หลวงและคุณูปการมากมายที่เขาได้สร้างและอุทิศให้แก่การบุกเบิกและขยายขอบเขตรวมถึงวิธีวิทยาในการศึกษาอาณาบริเวณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เขาเป็นอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญมาตลอดชีวิต
โธนีเกิดในครอบครัวนักการทูตและศึกษาในนิวซีแลนด์ (มหาวิทยาลัยเวลลิงตัน) ก่อนไปต่อปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ วิทยานิพนธ์ที่ทำเรื่องการต่อสู้เพื่ออำนาจในสุมาตรา (เหนือ) ในศตวรรษที่ 19
เขาเริ่มเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมลายา ก่อนไปรับตำแหน่งอาจารย์ประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) จนได้เป็นผู้อำนวยการสถาบันวิจัยในเอเชียแปซิฟิกศึกษา (Research School of Pacific and Asian Studies) ซึ่งเป็นฐานสำคัญในการทำงานวิชาการที่สร้างชื่อเสียง ที่โด่งดังไปทั่วโลกคือหนังสือสองเล่ม หนึ่งในนั้นคือเรื่อง Southeast Asia in the Age of Commerce, c1450-1680 (1983-93) ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ เช่น จีน อินโดนีเซีย ไทยและญี่ปุ่น
และบ่มเพาะนักศึกษาอุษาคเนย์รุ่นต่างๆ ที่กลายไปเป็นผู้เชี่ยวชาญมีชื่อหลายคน
และที่สำนักวิจัยเอเชียแปซิฟิกนี่เองที่ผมและเชลีได้มีโอกาสรู้จักและคุ้นเคยกับโธนี รีด

เหตุที่ผมได้มีโอกาสไปทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียในปี 1994 มาจากโครงการวิจัยเรื่อง Ideas of Freedom in Asia ที่ต้องการค้นหาว่าแนวคิดว่าด้วยเสรีภาพมีบทบาทอย่างไรในเอเชีย
สืบเนื่องมาจากการวิวาทะว่าในเอเชียแต่โบราณมานั้นไม่เคยมีความคิดเรื่องเสรีภาพ
นักคิดใหญ่ที่เสนอไม่ใช่ใครคือเฮเกล ปรมาจารย์ของนักคิดที่จะเป็นซ้ายและเป็นสำนักคิดทรงอิทธิพลในตะวันตก เช่น ลัทธิมาร์กซ์
โธนี รีด และคณะทำงานเรื่องประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาช่ำชอง จนพบว่าหลายเรื่องที่เราคิดว่าไม่เคยทำและมีอย่างในยุโรปก็มีไม่น้อย
โครงการวิจัยเรื่องความคิดเสรีภาพในเอเชียจึงเป็นความพยายามวิพากษ์แนวความคิดตะวันตกที่ได้ครอบงำนักวิชาการเอเชียมานานว่าอย่าไปคิดเลยเพราะคนเอเชียไม่เคยเสรีภาพ
ผมได้ส่งใบสมัครในการร่วมงานวิจัยโดยเสนอหัวข้อว่า “Slavery and Modernity : Freedom in the Making of Modern Siam”
โครงการวิจัยของผมได้รับการตอบรับอย่างดีและไปนั่งคนคว้าแล้วเขียนออกมาให้เสร็จภายในเดือนกรกฎาคมปีนั้น

การวิจัยเรื่องเสรีภาพครั้งนั้นเป็นจุดหักเหที่เปลี่ยนชีวิตทางวิชาการและอาชีพของผมอย่างสำคัญ
ก่อนหน้านั้นผมมีหน้าที่สอนวิชาประวัติศาสตร์สหรัฐเพียงวิชาเดียว ซึ่งเป็นวิชาที่ผมเรียนและทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกจากบิงแฮมตัน สหรัฐ
แต่วงการอเมริกันศึกษาแม้มีสมาคมและสำนักข่าวสารอเมริกันให้การสนับสนุนอย่างมาก แต่มันไม่สนุกและไม่ตอบโจทย์ทางการเมืองไทย
ผมต้องเริ่มเรียนและค้นเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยตัวเองเพื่อจะได้เข้าร่วมเสวนาและสัมมนากับพรรคพวกนักวิชาการและผู้สนใจ ไม่มีใครสนใจอยากถกเถียงเรื่องการเมืองหรือประวัติศาสตร์อเมริกาเท่าไร แม้กระทั่งปัจจุบันที่การเมืองอเมริกันกำลังวิกฤตก็ตาม
ประวัติศาสตร์อเมริกาเป็นเรื่องสุดท้ายที่คนคิดว่าจะช่วยสร้างความเข้าใจความเป็นอเมริกันได้
งานวิจัยเรื่องเสรีภาพกับความเป็นสมัยใหม่ของสยามจึงเป็นโอกาสที่ผมได้คิดและเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยในมิติที่ผมพอมีความคุ้นเคยอยู่ก่อนแล้วคือความคิดทางการเมืองเรื่องเสรีภาพ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประวัติศาสตร์ของทาสผิวดำในอเมริกา
แต่คราวนี้ผมเอาวิธีวิทยาและมโนทัศน์เรื่องเสรีภาพมาเปรียบเทียบระหว่างของอเมริกากับไทย
วิธีการดำเนินการวิจัยที่โธนี รีด และคณะจัดการในตอนนั้นน่าสนใจมาก
นักวิจัยทั้งหมดกว่า 10 คนจากหลากหลายมหาวิทยาลัยและประเทศมากินนอนและค้นคว้าร่วมกันในแคนเบอราเป็นเวลา 3 เดือนก่อนถึงวันนำเสนอผลงานในการประชุมใหญ่ครั้งสุดท้าย
ผมจึงมีโอกาสได้พบปะและพูดคุยกับบรรดานักวิชาการเอเชียศึกษาที่โด่งดังเป็นยักษ์ใหญ่หลายคน เช่น จิม สก๊อต แห่งเยล อเล็กซานเดอร์ วูดไซด์ แห่งบริติชโคลัมเบีย แคนาดา และคอนสแตนซ์ วิลสัน ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัชกาลที่ 4
นักประวัติศาสตร์ไทยอีกคนที่ผมเลยได้แลกเปลี่ยนมากกว่าก่อนคือ เครก เรย์โนลส์ ซึ่งไม่ได้ร่วมโครงการนี้แต่ยินดีอ่านและวิจารณ์งานผมอย่างเต็มที่
อีกสองนักศึกษาไทยขณะนั้นที่ผมใช้บริการด้วยคือ นิติ และพวงทอง ภวัครพันธุ์
บุคลิกที่ประทับใจของโธนีคือความใส่ใจในนักวิชาการอื่นๆ เขาเสนองานและโครงการใหม่ๆ ให้คนรุ่นใหม่ตลอดเวลา
วันหนึ่งเราพบกันในการสัมมนาในกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้โธนีไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันอุษาคเนย์ศึกษาในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งลอสแองเจลิส (UCLA) เขาถามผมว่าสนใจไปบรรยายเรื่องเสรีภาพกับทาสให้นักศึกษาอเมริกันในภาควิชาประวัติศาสตร์ไหม
ผมตอบรับทันที ผมพาครอบครัวไปอเมริกาซึ่งกำลังอยู่ในวิกฤตใน สงครามบุกอิรักปี 2003 โธนีมารับเราถึงสนามบินและพาไปอพาร์ตเมนต์ในเมืองซานตาโมนิกา
บรรยากาศในภาคประวัติศาสตร์นั้นดูจากภายนอกเคร่งเครียด เรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องใหญ่มาก ห้องเลขานุการและงานธุรการปิดด้วยกระจกสี่ด้าน ต้องได้รับอนุญาตก่อนถึงจะดำเนินการติดต่อได้
บรรดาอาจารย์ชื่อดังที่เคยเห็นชื่อในหนังสือและบทความวิชาการมีแต่ป้ายชื่อติดอยู่หน้าห้อง แต่ไม่เคยเจอตัวจริงๆ เลย นอกจากต้องนัดหมายล่วงหน้าก่อน
ผมคิดว่าโธนีซึ่งคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบอุษาคเนย์ที่สบายๆ และคนเข้าถึงกันได้ตลอดเวลาคงมีความอึดอัดและลำบากในการปรับตัว
จึงไม่แปลกใจเมื่อก่อนผมเดินทางกลับ เขาเอ่ยปากชวนว่า ปีหน้าจะไปเป็นผู้อำนวยการร่วมก่อตั้งสถาบันวิจัยเอเชีย (ARI) ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ถ้าผมสนใจทำวิจัยอีกก็ยินดียิ่ง
เขาทำให้สถาบันวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์กลายเป็นสถาบันวิจัยชั้นนำระดับโลก สามารถดึงอาจารย์และนักวิจัยหลายรุ่นในทุกมุมโลกให้มานั่งวิจัยและเขียนงานให้แก่สถาบันอย่างที่อื่นๆ ทำได้ยากมาก
ปี 2004 ผมจึงเป็นนักวิจัยของสถาบันวิจัยเอเชียรุ่นแรกๆ ผมวางแผนวิจัยเรื่องความคิดทางการเมืองของเทียนวรรณ แต่เกิดกรณีสังหารที่กรือเซะ นักวิจัยในสถาบันพากันมาถามผมว่าเหตุการณ์กรือเซะหมายความว่าอย่างไร ผมตอบไม่ได้ เลยตัดสินใจเปลี่ยนหัวเรื่องมาทำความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในสยามแทน
ปลายปีนั้นโธนีจัดสัมมนาใหญ่ในประเด็นนี้ที่นครศรีธรรมราช ก่อนจะตีพิมพ์เป็นหนังสือเรื่อง Thai South and Malay North : Ethnic Interactions on a Plural Peninsula (2008) ช่วงเวลานั้นทำให้การเป็นนักประวัติศาสตร์ไทยของผมเปลี่ยนอีกครั้ง
คราวนี้ออกจากพรมแดนของประวัติศาสตร์ทางการและจารีตชนชั้นนำ มาสู่ประวัติศาสตร์นอกทางการและนอกพรมแดนสยามและชนชั้นนำมาสู่ขบวนการประชาชนและแกนนำตามธรรมชาติ
ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าเมื่อมองกลับไป โธนี รีด คือคนที่ผลักดันและหนุนช่วยให้ผมหาทางในการเป็นนักวิชาการอุษาคเนย์ได้ โดยไม่ได้วางแผน
เขาเป็นนักวิชาการที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่ง เป็นศาสตราจารย์ (full Professor) ของสำนักเอเชียศึกษาคนแรก ธรรมเนียมของที่นั่นคือมีศาสตราจารย์คนเดียวในสำนัก ตำแหน่งว่างลงจึงตั้งคนใหม่ ทำให้มีศาสตราจารย์น้อยมากๆ
แต่ในความสัมพันธ์กับนักวิชาการและคนอื่นเขามีความอบอุ่นและให้ความเป็นกันเองมาก เป็นคนไม่ถือตัวและกล่าวได้ว่ามีความสมถะเป็นคนธรรมดา สามารถคุยแลกเปลี่ยนได้กับทุกคนแม้คนที่เพิ่งเรียนรู้
จึงไม่แปลกใจที่บรรดาเพื่อนและผู้ร่วมงานในทุกสถาบันที่เขารับผิดชอบ พากันชื่นชมและแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการจากไปของเขา
คุณูปการสำคัญของโธนี รีด ในความคิดของผมคือการที่เขาสามารถนำอุษาคเนย์ศึกษาก้าวข้ามพรมแดนในการศึกษาอาณาบริเวณ ไม่ว่าทางคติเชื้อชาติ ศาสนา และการเมืองแบบมองจากมุมสูงและของคนนอก มาสู่การทำประวัติศาสตร์ผ่านการปฏิบัติของคนธรรมดาทั่วไป (ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ) จากการปลอดคติความเชื่อเดิมๆ ทั้งหลาย (ชาตินิยม) แล้วเริ่มสังเคราะห์ความรู้และความจริงใหม่จากประสบการณ์ที่เป็นภววิสัยที่เป็นของตัวเอง
ขอถือโอกาสนี้ในการร่วมรำลึกถึงและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวของโธนี
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

