
Thai-style Neoclassical Revival กับความทรงจำที่เพิ่งสร้าง บนถนนราชดำเนิน (3)

พื้นที่ระหว่างบรรทัด | ชาตรี ประกิตนนทการ
Thai-style Neoclassical Revival
กับความทรงจำที่เพิ่งสร้าง
บนถนนราชดำเนิน (3)
กลางทศวรรษ 2530 ในห้วงขณะที่รูปแบบ Neo-Classic ก้าวสู่จุดสูงสุดทางสถานะและความหมายในสังคมไทย รูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกอีกรูปแบบหนึ่งกลับเริ่มประสบชะตากรรมในทางตรงข้าม นั่นก็คือ รูปแบบ Art Deco ในยุคคณะราษฎร หรือที่เรียกกันในอีกชื่อว่า “สถาปัตยกรรมคณะราษฎร”
นับตั้งแต่คณะราษฎรหมดอำนาจจากการรัฐประหาร 2490 “สถาปัตยกรรมคณะราษฎร” ก็หมดบทบาทไปและถูกแทนที่ด้วยรูปแบบ “สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์” ในส่วนที่เป็นอาคารราชการ และ “รูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่” รูปแบบอื่นๆ ในส่วนที่เป็นอาคารเอกชน และเริ่มถูกอธิบายว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมที่เป็นของแปลกปลอมจากตะวันตก ไม่เข้ากับสภาพภูมิอากาศของไทย ไร้ซึ่งความเป็นไทย
อาคารบางหลัง เช่น ศาลาเฉลิมไทยบนหัวมุมถนนราชดำเนินกลาง ไปไกลถึงขนาดที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมที่ “ต่ำทราม” และต้องถูกรื้อทิ้งเพราะเป็นทัศนอุจาดที่บดบังโลหะปราสาทวัดราชนัดดารามวรวิหาร
น่าสังเกตนะครับว่า รูปแบบ Neo-Classic ซึ่งก็สร้างขึ้นตามอย่างอิทธิพลตะวันตก ไม่เข้ากับสภาพภูมิอากาศแบบไทยๆ และไม่มีความเป็นไทยเช่นกัน กลับไม่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ในแบบเดียวกัน และในช่วงทศวรรษ 2530 เป็นต้นมาต่างทยอยได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานในฐานะมรดกอันทรงคุณค่าของชาติ

ควรกล่าวไว้ก่อนว่า อาคารหลายหลังตระกูล Neo-Classic มีคุณค่าคู่ควรขึ้นทะเบียนแน่นอน แต่ประเด็นของผมก็คือ อาคารตระกูล Art Deco ยุคคณะราษฎร หลายหลังก็มีคุณค่าควรขึ้นทะเบียนและไม่ควรถูกรื้อเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศาลาเฉลิมไทย และกลุ่มอาคารศาลาฎีกาหลังเก่า
การเดินสวนกันทางสถานะและความหมายระหว่างรูปแบบศิลปะ-สถาปัตยกรรมตะวันตกสองแนวทางซึ่งต่างก็ไม่สื่อถึงความเป็นไทยทั้งคู่ แต่คุณค่าต่างกันราวฟ้ากับเหว เกิดขึ้นได้เพราะการเมืองเรื่องความทรงจำที่ยึดโยงรูปแบบสถาปัตยกรรมทั้งสองแบบผูกมัดเข้าไว้กับเรื่องเล่าว่าด้วยการปฏิวัติ 2475
Art Deco ยุคคณะราษฎร มีสถานะเป็นเพียงงานศิลปะของพวกปฏิวัติล้มล้างการปกครองที่ไม่มีดีเลยสักอย่าง ซึ่งไม่มีข้อความไหนจะสะท้อนทัศนะเช่นนี้ได้ดีไปกว่าปาฐกถาของ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ พ.ศ.2528 ในงานสัมมนาศิลปกรรมหลัง 2475 ที่จัดขึ้น ณ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ความตอนหนึ่งว่า
“…สำหรับศิลปกรรมของไทยหลัง 2475 นั้น ถ้าจะพูดกันตามตรง พูดกันด้วยความรักชาติตามสมควร ก็จะต้องบอกว่าเป็นยุคของศิลปกรรมที่เสื่อมโทรมที่สุด คือไม่มีศิลปกรรมไทยเกิดขึ้นในยุคนี้…ผู้นำปฏิวัติก็เท่ากับเป็นนักเรียนนอก กลับมาจากฝรั่งเศส รสนิยมในทางศิลปะอะไรของท่านเหล่านั้นอยู่แค่คาเฟ่ริมถนนที่กรุงปารีส ภาพที่เห็นสวยงามก็ภาพโป๊…”
ส่วน Neo-Classic รวมถึงรูปแบบตะวันตกอื่นๆ ในยุครัชกาลที่ 5 มีสถานะสูงส่งในระดับที่เป็นหนึ่งในเครื่องมือนำพาสยามรอดพ้นการตกเป็นอาณานิคมของต่างชาติได้เลย
ซึ่งข้อเขียนที่สะท้อนทัศนะนี้ได้ดีที่สุดอีกเช่นกันก็คือ บทความของ คุณไกรฤกษ์ นานา เรื่อง “ความรุ่งเรืองสถาปัตยกรรมฝรั่งในบางกอก สวนทางกับชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ของช่างฝรั่งผู้สร้าง” ใน ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ 2560 ความตอนหนึ่งว่า
“…ความอลังการของสถาปัตยกรรมตะวันตกในบางกอกจากสมัยรัชกาลที่ 5 สะท้อนห้วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองและมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการเมือง และวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศ…การเปิดประเทศของสยามในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ด้วยการรับเอาอารยธรรมตะวันตกเป็นแม่แบบใบการพัฒนา ทำให้เกิดการส่งเสริมศิลปะรูปแบบใหม่ทั้งการนำเข้าศิลปินสาขาต่างๆ ตลอดจนผลงานศิลปะจากยุโรปโดยตรง ทั้งจากความพยายามดัดแปลงประยุกต์ศิลปะยุโรปให้เข้ากับเอกลักษณ์ศิลปะแบบไทย ศิลปะฝรั่งได้กลายเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการสร้างชาติให้ทันสมัยและมีเสถียรภาพจากการสบประมาทของนักล่าเมืองขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าหมายรวมไปถึงการสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้รัฐและสถาบันพระมหากษัตริย์ไปในตัว…”

ขอย้อนกลับไปประเด็นความนิยมแบบมวลชนในรูปแบบ Neo-Classic ที่นำมาซึ่งการสร้างอาคารสไตล์นี้กันล้นหลามในทศวรรษ 2530 ที่ลามไปจนถึงความนิยมในการเลือกอาคารแนวนี้เป็นฉากของบ้านผู้ดีไทยในละครหลังข่าว และการวางขายยอดโดม หัวเสาโรมัน น้ำพุ และรูปปั้นเทพโรมัน ริมถนนอีกครั้ง
กระแสนี้ใช่ว่าจะไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใดนะครับ ในวงการสถาปัตยกรรม ณ ขณะนั้น (แม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังปรากฎอยู่บ้าง) ต่างแสดงความเห็นต่อต้านการสร้างอาคารด้วยรูปแบบ Neo-Classic กันมากพอสมควร ทั้งในเชิงความไม่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศแบบไทยๆ ไปจนถึงการวิจารณ์ในเชิงดูหมิ่นว่าเป็นรสนิยมที่ด้อยคุณภาพ
ยิ่งเมื่อเจอเข้ากับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในต้นทศวรรษ 2540 ก็ยิ่งทำให้กระแส Neo-Classic ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แม้ส่วนตัวยังหาคำอธิบายที่น่าพอใจไม่ได้ว่าทำไมรูปแบบดังกล่าวจึงลดความนิยมลงไปมากหลังวิกฤต อาจเป็นได้ทั้งกระแสชาตินิยมไทยและโหยหาความเป็นไทยที่พุ่งสูงขึ้น กระแสแฟชั่นการออกแบบที่เปลี่ยนไป หรือความต้องการของตลาดเปลี่ยนแปลง ฯลฯ ซึ่งประเด็นนี้คงต้องรอให้ผู้สนใจมาศึกษาวิเคราะห์จริงจังกันต่อไป
แน่นอนนะครับ ทัศนะแบบคุณไกรฤกษ์ข้างต้นยังดำรงอยู่อย่างมั่นคงแข็งแรง แต่ในเชิงความนิยมชมชอบรูปแบบนี้ที่กระจายตัวลงมาสู่การสร้างงานแนวทางนี้ขึ้นใหม่ๆ ในสังคมไทย กลับมิได้พุ่งสูงขึ้นเหมือนในทศวรรษ 2530 แต่อย่างใด
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อสถานะและความหมายของ Neo-Classic จะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงหลังการรัฐประหาร 2557 ที่ส่งผลให้รูปแบบนี้กลับมาได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมไปจนถึงประชาชนทั่วไป
ทำไมถึงต้องเป็นรัฐประหาร 2557
คําตอบคือ ปรากฏการณ์นี้สัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไม่นาน นั่นก็คือ ปรากฏการณ์ที่ผมชอบเรียกว่า “การเกิดใหม่ครั้งที่ 2 ของคณะราษฎร” หลังการรัฐประหาร 2549 ที่มาพร้อมกับการรื้อฟื้น ประวัติศาสตร์ ความทรงจำ ตลอดจนเรื่องเล่าเชิงบวกต่างๆ ของกลุ่มคณะราษฎร ทั้งโดยกลุ่มคนเสื้อแดงและคนรุ่นใหม่ ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของการต่อต้านรัฐประหาร
ภายใต้กระบวนการรื้อฟื้นดังกล่าว ได้นำมาซึ่งการรื้อฟื้นสถานะและความหมายเชิงบวกของงานศิลปะ-สถาปัตยกรรมสไตล์ Art Deco ที่สร้างขึ้นในยุคคณะราษฎร ให้กลับมามีพลังทางสังคมและการเมืองอีกครั้งด้วย (ดูรายละเอียดใน ชาตรี ประกิตนนทการ, ศิลปะ-สถาปัตยกรรมคณะราษฎร : สัญลักษณ์ทางการเมืองในเชิงอุดมการณ์. กรุงเทพฯ : มติชน, 2563)
การหวนกลับมาให้คุณค่าดังกล่าวสร้างความไม่พอใจต่อชนชั้นนำเป็นอย่างมาก เพราะกระแสนี้มิได้เกิดขึ้นเพราะชมชอบในเชิงการออกแบบหรือความงดงามทางศิลปะ แต่มันคือการเมือง เป็นการใช้รูปแบบดังกล่าวในเชิงสัญลักษณ์เพื่อสื่อสารนัยยะย้อนกลับไปยกย่องสิ่งที่คณะราษฎรทำและสร้าง ซึ่งแน่นอนย่อมรวมไปถึงการยกย่องการปฏิวัติ 2475 ที่ล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ลง
ความหมายของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบนถนนราชดำเนินกลาง หลังรัฐประหาร 2549 ในสายตาประชาชนคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก มิใช่อนุสาวรีย์ของพวกฟาสซิสต์ตามที่ภาครัฐและชนชั้นนำพยายามใส่ความหมายมาตลอดหลายสิบปีอีกต่อไป แต่คืออนุสาวรีย์ที่สื่อความหมายโดยตรงของยุคสมัยแห่งความรุ่งเรือง เป็นประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชน ความเสมอภาคเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ
ตึกสองข้างทางถนนราชดำเนินกลาง มิใช่สถาปัตยกรรมที่ต่ำทรามและไม่เป็นไทยอีกต่อไป แต่คือสถาปัตยกรรมไทยใหม่ในระบอบประชาธิปไตยต่างหาก ความรู้สึกชื่นชมยินดีในการรื้อศาลาเฉลิมไทยออกไปเริ่มเปลี่ยนกลายมาเป็นการโหยหาเสียดายมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ หลังการก่อรัฐประหาร 2557 รัฐบาลทหารและกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษนิยมทั้งหลายจึงเห็นพ้องต้องกันที่จะเข้ามาจัดการปรากฏการณ์ “การเกิดใหม่ครั้งที่ 2ฯ” ดังกล่าว โดยเริ่มทำการรื้อ ย้าย และบังคับสูญหายสิ่งก่อสร้างตลอดจนศิลปกรรมที่เกี่ยวข้องกับคณะราษฎร ที่สำคัญเช่น หมุดคณะราษฎร, อนุสาวรีย์ปราบกบฏ, อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญจำลองในต่างจังหวัด ฯลฯ
ขณะเดียวกัน เราจะเริ่มสังเกตเห็นถึงการฟื้นย้อนกลับมาของรูปแบบงานศิลปะ-สถาปัตยกรรมตระกูล Neo-Classic มากขึ้น หรือที่ผมเรียกมันว่า Thai-style Neoclassical Revival
สรุปก็คือ Thai-style Neoclassical Revival เป็นปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนำมาปะทะเข้ากับกระแส “การเกิดใหม่ครั้งที่ 2 ของคณะราษฎร” ที่มีรูปแบบ Art Deco เป็นสัญลักษณ์
Thai-style Neoclassical Revival คือสัญลักษณ์ของยุครุ่งเรืองศิวิไลซ์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสายตากลุ่มชนชั้นนำอนุรักษนิยม
ในขณะที่ Art Deco คือสัญลักษณ์ของยุคประชาธิปไตยและความเสมอภาคทางสังคมในทัศนะของกลุ่มที่มีแนวคิดต่อต้านรัฐประหาร
สงครามความหมายผ่านรูปแบบศิลปะสถาปัตยกรรมในครั้งนี้ดำเนินไปอย่างเข้มข้นบนถนนราชดำเนินกลาง