

เมนูฯสปด.-16 มิ.ย.68
นายดาต้า | เมนูข้อมูล
เซฟ ‘อำนาจประชาชน’
ผลจากความสัมพันธ์กับกัมพูชาที่กระทบต่อไทยที่เกิดขึ้นในรัฐบาลที่มี “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นเรื่องที่เรียกว่า “เหลือเชื่อ” ได้เลย
ก่อนการประชุม JBC อันเป็นทวิภาคีระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” เพื่อหาทางออกข้อพิพาทเขตแดน สถานการณ์ดูจะธรรมดาอย่างยิ่งที่กระแสภายในประเทศต่างมีมวลชนโจมตีกันและกันอันเป็นปกติของ “ค่านิยมรักชาติ” จะต้องมีการแสดงออก
เพียงแต่อาจจะเป็นเพราะประเทศไทยเราประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกมากกว่า “กลุ่มชาตินิยม” จึงไม่เพียงโจมดี “ฮุน เซน-ฮุน มาเนต” ผู้นำกัมพูชาเท่านั้น
แต่ยังตำหนิติเตียนการทำงานในเรื่องนี้ของรัฐบาลไทยไปด้วย เพราะไม่ได้ดั่งใจในความไม่แข็งกร้าวต่อคู่กรณีอย่างที่อยากให้เป็น
ซึ่งก็ไม่เป็นไรเพราะประชาชนส่วนใหญ่ที่ “รักสันติ” เห็นดีเห็นงามกับการแสดงท่าทีอย่างมีสติเป็นกระแสอีกด้านที่มีพลังไม่น้อยกว่า
แต่หลังประชุม JBC กลายเป็นว่ากระแสทั้งภายนอก-ภายใน ทั้งที่ตั้งหน้าเกลียดชัง และเคยเห็นอกเห็นใจกลับหงุดหงิดกับการทำงานของรัฐบาลไทยกันทั่วหน้า
กระทั่งเกิดความรู้สึกว่า “เหลือเชื่อ” ที่รัฐบาลต้องมารับชะตากรรมในเรื่องนี้แบบนี้
ถ้าเอาการพึ่งพากันและกันเป็นดัชนีชี้แนวโน้มการต่อรอง ประเทศไทยเราควรจูงใจกัมพูชาได้ง่ายกว่าอยู่หลายขุม
เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกันแล้ว “ไทยเจริญกว่ากัมพูชา” อย่างห่างชั้น ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่เองที่เพื่อนบ้านที่รุ่งเรืองน้อยกว่าจะต้องเป็นผู้พึ่งพามากกว่า
มองในมุมของผลประโยชน์ประชาชน ชาวกัมพูชาต้องอาศัยประเทศไทยสารพัด อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เลยไปถึงน้ำมัน อินเตอร์เน็ต สินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ
ที่สำคัญคือการทำมาหากิน คนกัมพูชาจำนวนมากเข้ามาทำงานในประเทศไทย ส่งเงินกลับไปหล่อเลี้ยงครอบครัว
ความเป็นจริงนี้ หากรัฐบาลกัมพูชาเอาโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าของประชาชนเป็นที่ตั้ง สมควรอย่างยิ่งที่จะมีท่าทีต่อประเทศไทยอย่างเกรงอกเองใจ ในทางกลับกัน ไทยเราควรมีท่าทีองอาจในการเจรจามากกว่าที่จะต้องไป “หงอ”ให้
แต่ผลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เจรจาเสร็จ ผลที่ออกมาส่งความรู้สึกว่า “ไทยตามไม่ทันกัมพูชา” ชั้นเชิงการเมืองระหว่างประเทศระหว่าง “รัฐบาลฮุน มาเนต” กับ “รัฐบาลแพทองธาร” ห่างไกลกันอย่างยิ่งในการควบคุมให้เกิดความได้เปรียบ
เสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจึงดังให้ขรมไปทั่ว อย่าว่าแต่คนมีความรู้ในข้อเท็จจริงเลยที่เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่ควรปล่อยให้เป็นอย่างนี้ แม้แต่ประชาชนทั่วไปยังแสดงความรู้สึกให้เห็นชัดเจน
“นิด้าโพล” ล่าสุด สำรวจเรื่อง “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” เทียบความเห็นที่มีต่อบทบาทของรัฐบาลกับบทบาทของกองทัพต่อปัญหาข้อขัดแย้งไทย-กัมพูชา
เมื่อถามถึงความไว้วางใจต่อความสามารถในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ในส่วนของ “กองทัพ” ร้อยละ 62.52 ไว้วางใจมาก, ร้อยละ 23.74 ค่อนข้างไว้วางใจ รวมฝั่งไว้วางใจได้ถึงร้อยละ 86.26, มีแค่ร้อยละ 8.85 ไม่ค่อยไว้วางใจ, ร้อยละ 4.89 ไม่ไว้วางใจเลย รวมแค่ร้อยละ 13.74
ขณะในส่วนของรัฐบาล ร้อยละ 37.48 ไม่ไว้วางใจเลย, ร้อยละ 31.68 ไม่ค่อยไว้วางใจ รวมแล้วร้อยละ 69.16, ขณะร้อยละ 18.85 ค่อนข้างไว้วางใจ, ร้อยละ 11.99 ไว้วางใจมาก รวมร้อยละ 30.84
สรุปรวมคือในเรื่องนี้คนส่วนใหญ่ไว้วางใจกองทัพ ไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ในคำถามเรื่องความพอใจในบทบาท ส่วนของกองทัพ ร้อยละ 61.76 พอใจมาก, ร้อยละ 23.97 ค่อนข้างพอใจ รวมแล้วร้อยละ 85.73, ขณะร้อยละ 10.30 ไม่ค่อยพอใจ และร้อยละ 3.97 ไม่พอใจเลย รวมแล้วร้อยละ 14.27
กับรัฐบาล ร้อยละ 37.94 ไม่พอใจเลย, ร้อยละ 30.99 ไม่ค่อยพอใจ รวมแล้วร้อยละ 68.93, ขณะร้อยละ 20.76 ค่อนข้างพอใจ และร้อยละ 10.31 พอใจมาก รวมแล้วร้อยละ 31.1
สรุปคือพอใจกองทัพมากกว่ารัฐบาล
ปัญหารากเหง้าของประเทศที่ทำให้การพัฒนาสู่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นของประเทศไทย มีปัญหาคือเกิดการแย่งชิงบทบาทเข้ามาเป็นรัฐบาลระหว่างอำนาจประชาชนกับกองทัพทำให้ขาดความต่อเนื่อง ไม่มีพลังพอที่จะขับเคลื่อนแผนพัฒนาใหญ่ เป็นประเทศที่รัฐบาลอ่อนแอเพราะขาดเสถียรภาพ
ความยุ่งยากทางการเมืองขณะนี้คือ ไม่เพียงรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนจะนำเสนอโครงการพัฒนาประเทศไม่ได้เท่านั้น
แต่เสียงเรียกร้องและการหาช่องให้เปลี่ยนเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เริ่มดังแรงและประสานกับบทบาทของ “นิติสงคราม” อย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้น
จึงเป็นเรื่องน่าหนักใจอย่างยิ่ง หาก “ผลงานรัฐบาล” ในความรู้สึกของประชาชน เมื่อเทียบกับ “กองทัพ” ออกมาในทางไว้วางใจและพอใจมากถึงเพียงนี้
จึงได้แต่ภาวนาให้เป็นไปแค่บทบาทเรื่องชายแดนกัมพูชา อย่าให้ความรู้สึกนี้ลามไปบทบาทอื่น