

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์
www.facebook.com/boycitychanFC
วันก่อน “โจ้” ธนา เธียรอัจฉริยะ เชิญ “เหว่ยเจี๋ย” ขุนพลที่วางระบบไอทีทั้งหมดของ “แฟลช เอ็กซ์เพรส” ไปพูดที่ HOW
คนนี้คือ “รุ่ยเจี๋ย” ของซีรีส์ “สงครามส่งด่วน”
คนแน่นห้องเลยครับ
อิทธิพลของหนัง ทำให้เรื่องที่คนอยากรู้มากที่สุดจาก “เหว่ยเจี๋ย”
คือ เขาด่าเก่งเหมือนในหนังหรือเปล่า
มีคนขอให้เขาด่าให้ฟังด้วย
แต่ “เหว่ยเจี๋ย” ไม่ยอมด่า
บุคลิกของเขาเป็นคนที่สุภาพ พูดเบาๆ และฉลาดมาก
ได้ฟัง “เหว่ยเจี๋ย” พูดประมาณ 2 ช.ม. ทำให้ผมเริ่มเข้าใจวิธีคิดของ “สตาร์ตอัพ” คนจีนมากขึ้น
มีคนถามถึงมุมมองเกี่ยวกับคนไทยที่ทำงานด้วย
“เหว่ยเจี๋ย” บอกว่าคนไทยมีชนชั้นมาก
หัวหน้าต้องมีห้องทำงาน
ลูกน้องต้องพูดกับหัวหน้าเบาๆ เพราะๆ
เขาไม่ขยายความอะไรมากกว่านั้น
แต่ฟังแล้วรู้เลยว่า “จริง”
ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะเขาทำงานกับบริษัทเทคฯ หรือสตาร์ตอัพในเมืองจีน
วัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่จะเป็นอีกแบบหนึ่ง
หรือเรื่องการทำงาน
วิธีคิดของเขาตรงไปตรงมา
แต่น่าตั้งคำถามเช่นกัน
เพราะ “เหว่ยเจี๋ย” มุ่งที่ “เป้าหมาย” เป็นหลัก
เขาบอกว่าการทำงานไม่ใช่มาหาเพื่อน
คุณต้องทำงานให้ดีที่สุด
และเรื่องการด่าลูกน้อง เขายืนยันว่าไม่เคยว่าเรื่องส่วนตัว แต่จะวิจารณ์เรื่องการทำงานเท่านั้น
เขาต้องการให้บริษัทรอด เพราะเคยอยู่ในสถานการณ์ที่บริษัทมีเงินอยู่รอดได้ไม่กี่เดือนมาแล้ว
ถ้าไม่เด็ดขาดคงไม่รอดจนถึงวันนี้
ถามว่ามีคนร้องไห้จนต้องปลอบบ้างไหม
คำตอบของเขาสะท้อนวิธีคิดชัดเจน
“ถ้าผมต้องจ่ายเงินคุณ แล้วต้องมานั่งปลอบใจ ทั้งที่งานคุณไม่ถึงเป้า ผมว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาด”
โหดสัส แต่ชัดเจน 555
หลักคิดของเขา คือ ถ้าพนักงานทำงานตามที่บริษัทต้องการ เขาก็พร้อมให้ทุกอย่างที่พนักงานสมควรได้รับ
นี่คือ win-win game ในมุมของ “เหว่ยเจี๋ย”
และอีกประโยคหนึ่งที่น่าสนใจ
เขาบอกว่าบริษัทที่ดี คนลาออก คือ คนที่แย่
“แต่บริษัทที่แย่ คนลาออก คือคนที่ดี”
มีหลายเรื่อง หลายประโยคที่คมคาย
และสะท้อนวิธีคิดที่น่าสนใจ
อย่างตอนที่เขาเลือกทำงาน “อาลีบาบา” ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสตาร์ตอัพ
ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนวันนี้
“เหว่ยเจี๋ย” นั้นดูราคาหุ้นของบริษัทเทคฯ พบว่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จราคาหุ้นตอนเริ่มต้นกับตอนนี้จะแตกต่างกันมาก
หลักคิดของเขา คือ ถ้าทำงานกับบริษัทใหญ่
เขาจะเรียกเงินเดือนสูงๆ
แต่ถ้าทำงานกับบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นแต่มีอนาคต
เงินเดือนอาจไม่สูง
แต่เขาจะเอาเงินเดือนไปซื้อหุ้น
เพราะรู้ว่าส่วนต่างราคาหุ้นตอนนี้กับตอนที่สำเร็จแล้วสูงมาก
“เหว่ยเจี๋ย” เลือก “อาลีบาบา” เพราะเห็นว่ามีอนาคต
เงินเดือนไม่เยอะมาก
แต่เอาเงินไปซื้อหุ้น
พอสำเร็จแล้ว เงินที่ได้จะมากกว่าการทำงานบริษัทใหญ่ๆ ที่เงินเดือนสูงๆ
คมไหมครับ
หรืออย่างเช่นในหนังบอกว่า “สันติ” เสนอให้ “รุ่ยเจี๋ย” ถือหุ้น 50% เท่ากัน
แต่เขาไม่เอา เพราะต้องการคนถือหุ้นใหญ่เพื่อตัดสินใจ
“รุ่ยเจี๋ย” ให้ “สันติ” ถือ 50% เขาถือแค่ 30%
ในชีวิตจริงยิ่งกว่านั้น เพราะ “เหว่ยเจี๋ย” บอกว่า “คมสันต์” เสนอให้เขาถือหุ้นใหญ่ และเป็น “ซีอีโอ” ด้วย
แต่เขาไม่เอา
เหตุผลของเขาคมคายและน่ารักมาก
ส่วนหนึ่งเป็นเหตุผลส่วนตัว คือ “ซีอีโอ” ต้องอยู่ในสปอตไลต์ความสนใจของผู้คน
ต้องมีหน้าที่เจอสื่อ หรือนักลงทุน
“เหว่ยเจี๋ย” ไม่ชอบ
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมาก
เขาบอกว่าถ้าบริษัทที่เราถือหุ้นประสบความสำเร็จ
“หุ้นเล็ก” ก็ “ใหญ่”
เหมือนเราถือหุ้น 5% ใน Apple
ก็รวยได้เหมือนกัน
“เหว่ยเจี๋ย” ถือ 30%
แม้จะได้เงินไม่เท่ากับ “คมสันต์”
แต่ก็รวย
ในขณะที่ถ้าบริษัทล้มเหลว หรือเจ๊ง
การถือหุ้นใหญ่ ไม่มีประโยชน์
เขาไม่ได้พูดว่าตอนเจ๊ง คนถือหุ้นใหญ่เจ็บหนักกว่า
คนถือหุ้นเล็ก เจ็บน้อยกว่า
แต่ผมคิดว่าเขาคิด 555
และอีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจ
“เหว่ยเจี๋ย” บอกว่าถ้าถือหุ้นใหญ่หรือเป็นซีอีโอ
จะขายหุ้นก็เป็นข่าว
แต่ผู้ถือหุ้นเล็กขายหุ้น
ไม่มีใครสนใจ
เขายกตัวอย่าง “อีลอน มัสก์” หรือ “สตีฟ จ็อบส์”
ทุกครั้งที่ขายหุ้นจะเป็นที่สนใจของสื่อ
แต่ผู้ถือหุ้นลำดับรองๆ ลงมา
ขายหุ้นไม่เป็นข่าว
ทำอะไรก็คล่องตัว
แต่…รวยเหมือนกัน
มีคนถาม “เหว่ยเจี๋ย” ในฐานะคนที่เชี่ยวชาญเรื่องไอที
เขาถามถึงเรื่อง AI ว่าจะมีผลอย่างไรกับโลกธุรกิจ
“เหว่ยเจี๋ย” อธิบายภาพกว้างถึงผลกระทบ
แต่มีประโยคหนึ่งที่ตรงใจผมมาก
เขาบอกว่าในอดีตการเริ่มต้นทำธุรกิจง่าย
แต่วันนี้เริ่มทำธุรกิจยากขึ้นเรื่อยๆ
“AI จะช่วยทำให้เราทำธุรกิจง่ายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”
เขาคิดเหมือนกับผมเลยครับ
ผมเชื่อว่า AI จะเป็น “อาวุธ” สำคัญของ “คนตัวเล็ก”
แบกน้ำหนักสู้กับ “คนตัวใหญ่” ได้
แต่ฟัง “เหว่ยเจี๋ย” แล้วดีใจที่คิดเหมือนกัน
เพียงแต่สงสัยว่าทำไมเรารวยไม่เท่ากัน