

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon
ฟางเส้นสุดท้าย
จากคลิปลับสู่ลาออกหรือยุบสภา
เคยบอกตั้งแต่เดือนที่แล้วว่ารัฐบาลกำลังเข้าเขตอันตรายระดับจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่อีกไม่นาน และเคยให้สัมภาษณ์ไว้เช่นกันว่าหนึ่งในสาเหตุที่บางคนเกรงใจ “ลุงฮุน” มาจากความลับที่อีกฝ่ายกุมเรื่องอีกฝ่ายไว้ทั้งหมด
และในที่สุดตอนนี้คลิปลับแพทองธาร ชินวัตร ก็พาประเทศมาสู่จุดนี้จริงๆ
เฉพาะในเรื่องคลิป คำถามที่ต้องระวังคือรู้ได้อย่างไรว่ามีคลิปเดียว รู้ได้อย่างไรว่ามีคลิปปีนี้ปีเดียว และรู้ได้อย่างไรว่าคนฝ่ายไทยที่ถูกอัดเสียงหรืออัดคลิปจะมีแค่คนเพียงคนเดียว?
ถึงคลิปลับจะมีแกนเรื่องที่การเจรจาปัญหาชายแดน แต่คำพูดคุณแพทองธารว่ากองทัพและแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล, การเรียกผู้นำประเทศอีกฝ่ายว่า “คุณลุง” รวมทั้งการคุยกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อมมากกว่าเจรจาในฐานะผู้นำประเทศ เป็นปัญหาที่ทำให้รัฐบาลถึงจุดต่ำสุดแน่นอน
ฟางเส้นสุดท้ายของความไม่เชื่อมั่นที่คนไทยมีต่อรัฐบาลกำลังจะขาด
และผลลัพธ์นี้ร้ายแรงระดับไม่เปลี่ยนรัฐบาลก็อาจโดนกลุ่มฉวยโอกาสเปลี่ยนระบบอย่างแน่นอน
สําหรับผู้สนับสนุนรัฐบาลที่อาจยังไม่เข้าใจ คลิปลับฮุน เซน ทำให้ความเชื่อมั่นที่คนไทยมีต่อรัฐบาลต่ำอยู่แล้วยิ่งต่ำลงกว่าเดิม การโจมตีคนในชาติให้ผู้นำชาติอื่นฟังเป็นเรื่องที่ไม่มีใครยอมรับได้ ความไม่ลงรอยของกองทัพกับรัฐบาลที่ปะทุจากเรื่องปิดด่านจนประชุม สมช.ล่าสุดล่มจะยิ่งแรงกว่าเดิม
ความหวาดระแวงระหว่างกองทัพกับรัฐบาลเป็นเรื่องที่มีมูล แต่ทุกคนที่รู้ไม่อยากพูด ผมก็อดทนไม่อยากพูด การประชุม สมช.ที่ล่มไปเพราะท่าทีเรื่องเปิดหรือปิดด่านที่ต่างกันเป็น 1 ในจิ๊กซอว์ของปัญหานี้ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนทีมหน้าห้องของบุคคลสำคัญด้านความมั่นคงในช่วงเดือนที่ผ่านมา
พูดก็พูดเถอะ แม้แต่ท่าทีต่อเรื่องแผนที่ 1 : 200,000 ที่แตกต่างกันระหว่าง “บางส่วน” ในรัฐบาลกับกองทัพก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ปัญหานี้รุนแรงขึ้นด้วย แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นประเด็นเชิงลึกที่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงจนไม่ควรพูดตอนนี้ จึงขอพูดสั้นๆ เพื่อให้ข้อมูลนี้ปรากฏไว้ต่อประชาชน
อย่างไรก็ดี ต้องย้ำความไม่ลงรอยของกองทัพกับรัฐบาลไม่ได้แปลว่ากองทัพถูกและรัฐบาลผิด เพราะหลักการสำคัญคือรัฐบาลพลเรือนต้องเป็นผู้กำหนดนโยบาย กองทัพเป็นฝ่ายปฏิบัติยุทธวิธี
ความไม่ลงรอยต้องแก้ด้วยวิธีบริหารที่ลงตัว ไม่ใช่ล้มกระดานหรือเอาทหารเป็นผู้กำหนดนโยบาย
การเมืองไทยตอนนี้เข้าเขตความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงนอกกติกา แต่ต้องย้ำว่าปัญหารัฐบาลแก้ได้ด้วยการเปลี่ยนรัฐบาล ไม่ใช่การเปลี่ยนระบอบ เพราะถ้าเปลี่ยนระบอบทุกอย่างจะพัง เศรษฐกิจจะเละ การเมืองจะวุ่น และการต่างประเทศจะพังพินาศกว่าสภาพที่เป็นอยู่อย่างไม่มีทางฟื้นได้เลย
2 ปีของรัฐบาลเพื่อไทยได้ทำลายเครือข่ายทางสังคมที่สนับสนุนรัฐบาลไปเกือบหมด พรรคที่ตอนตั้งรัฐบาลข้ามขั้วอ้างว่า “เพื่อนเยอะ” มาถึงจุดที่แทบไม่เหลือเพื่อนนอกจากกลุ่มเกาะกิน และเรื่องคลิปลับอาจทำให้ข้างหลังรัฐบาลไม่เหลือใครเลย แม่แต่คนดีลให้คุณทักษิณ ชินวัตร กลับไทยและตั้งรัฐบาล
อันตรายที่สุดของการเมืองไทยตอนนี้คือพรรครัฐบาลทำให้ประชาชนตาสว่างว่าไม่มีประชาชนในสมการ ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศมีเยอะ และการตอบโต้ของพรรคการเมืองทั้งที่เป็น ส.ส.หรือเป็นลิ่วล้อก็มีมาก
แต่แทบทุกเรื่องที่เถียงกันตอนนี้เกือบจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับประชาชน
ข่าวการเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศในครึ่งปีแรกคือเพื่อไทยแย่งมหาดไทยจากภูมิใจไทย และภูมิใจไทยถูกกล่าวหาว่าพันพัวกับคดีฮั้ว ส.ว. ซึ่งทั้งสองเรื่องล้วนเป็น “การเมืองของนักการเมือง” ที่สนใจแค่ใครได้และใครเสียอำนาจกว่าใคร ต่อให้เรื่องฮั้ว ส.ว.จะเกี่ยวพันกับสถาบันการเมืองบ้างก็ตาม
ผมเคยให้สัมภาษณ์ที่ต่างๆ เป็นเดือนว่าศึกมหาดไทยจะจบด้วยคุณอนุทิน ชาญวีรกูล แตกหักกับเพื่อไทย ถ้าคุณทักษิณจะเอามหาดไทยก็ต้องหน้ามืดไล่ภูมิใจไทยเป็นฝ่ายค้าน ส.ส.รัฐบาลจะลดจาก 322 เหลือ 253 พรรคคุณธรรมนัส พรหมเผ่า จะเป็นพรรคใหญ่อันดับ 2 หรืออีกทางคือคุณทักษิณยอมหน้าแหกคนเดียว
ถ้าคุณทักษิณหน้ามืดไล่ภูมิใจไทย รัฐบาลลูกคุณทักษิณจะมี ส.ส.เกินครึ่งของสมาชิกสภาแค่ 5 เสียง ถ้าหักเสียงอาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา และประชาธิปัตย์กลุ่มคุณชวน หลีกภัย ซึ่งโหวตให้รัฐบาลไม่ได้ก็เหลือเสียงโหวตแค่ 243 และถ้าหักรวมไทยสร้างชาติกลุ่มคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อีก 18 ก็จะเหลือ ส.ส.รัฐบาลแค่ 225 เสียง
ทุกคนทราบดีว่ามหาดไทยคุมการปกครองส่วนภูมิภาค ใครคุมมหาดไทยจึงคุมผู้ว่าฯ ยันผู้ใหญ่บ้านซึ่งก็คือคุมทั้งประเทศ ยิ่งกว่านั้นคือมหาดไทยมีอำนาจปราบปรามผู้มีอิทธิพล ใครคุมมหาดไทยจึงคุมผู้มีอิทธิพลหรือได้ผู้มีอิทธิพลเป็นพวก
และทั้งหมดคือเครื่องมือคุมคะแนนจัดตั้งตอนเลือกตั้งอย่างดี
ฟังดูเป็นศึกแย่งชามข้าวของเพื่อไทยจากภูมิใจไทยล้วนๆ และต่อให้เด็กมัธยมก็ฟังแล้วรู้ว่าเป็นเรื่องแย่งอำนาจรัฐในการปกครองประชาชน โดยฝ่ายแย่งและฝ่ายถูกแย่งไม่มีใครคิดถึงประชาชนเท่ากับคิดถึงอำนาจตัวเอง เพื่อไทยจึงไม่เคยพูดว่าแย่งแล้วประชาชนได้อะไรแม้แต่ครั้งเดียว
กองเชียร์รัฐบาลอ้างคำอย่าง Realpolitik เพื่ออธิบายการทำตัวทุเรศตั้งแต่รัฐบาลข้ามขั้ว แต่คำนี้ตามความหมายของคนที่เรียนหนังสือจริงๆ คือการผลักดันนโยบายหรือเป้าหมายส่วนรวมโดยไม่สนอุดมการณ์ แต่ศึกแย่งชามข้าวนักการเมืองไทยแย่กว่า Realpolitik เพราะไม่มีเป้าหมายส่วนรวมเลย
คำที่เหมาะสมกว่าในการพูดถึงศึกแย่งชามข้าวเรื่องมหาดไทยคือ Opportunist หรือพวกฉวยโอกาสทางการเมือง
ปัญหาของมหาดไทยคือการเป็นเครื่องมือรวมศูนย์อำนาจจากส่วนกลางเหนือประเทศไทย ใครคุมมหาดไทยคนนั้นคุมประเทศ คำไม่ทางการของมหาดไทยคือ “ฝ่ายปกครอง” ทั้งที่ราชการปกครองประชาชนไม่ได้และไม่ควรมีใครปกครองด้วย ถึงคำจะสะท้อนความคิดรัฐไทยออกมาชัดเจนก็ตาม
ทุกครั้งที่สังคมผลักดันการกระจายอำนาจ มหาดไทยและนักการเมืองที่คุมมหาดไทยจะคัดค้านกระจายอำนาจเสมอ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ ถูกคัดค้านด้วยเหตุผลซ้ำๆ ว่าไทยเป็นรัฐเดี่ยว ทั้งที่ประเทศรัฐเดี่ยวที่มีเลือกตั้งผู้ว่าฯ ก็เยอะไปหมด หรือที่เลอะกว่านั้นคือทำทุกทางไม่ให้เลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านเลย
เมื่อใดที่ทหารยึดอำนาจ เมื่อนั้นการต่อต้านไม่ให้เลือกตั้งกำนันผู้ใหญ่บ้านจะเกิดขึ้นเสมอ และต่อให้ทหารไม่ได้ยึดอำนาจแล้ว รัฐบาลหลังรัฐบาลทหารก็จะหาทางต่ออายุกำนันผู้ใหญ่บ้านด้วยวิธีต่างๆ เช่น เป็นจนเกษียณ ไม่มีวาระ หรือทำทุกทางให้กำนันผู้ใหญ่บ้านต้องมีอำนาจต่อไป
มหาดไทยยุคคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อต้านการกระจายอำนาจเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่มหาดไทยยุคคุณอนุทินในรัฐบาลเพื่อไทยสนับสนุนรวมศูนย์อำนาจนั้นน่าเกลียด โดยเฉพาะการแก้กฎหมายให้มีกำนันผู้ใหญ่บ้านต่อแม้ในพื้นที่ซึ่งมีเลือกตั้งเทศบาล ทั้งที่ศาลตีความว่ากำนันผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่แบบนี้ต้องหมดไป
ไม่ว่าจะเป็นภูมิใจไทยหรือเพื่อไทย ความต้องการยึดมหาดไทยเพื่อคุมประเทศผ่านข้าราชการมหาดไทยนั้นไม่เคยเปลี่ยน ถึงเพื่อไทยจะหาเสียงมา 20 ปีว่าเป็นพรรคประชาธิปไตยที่สนับสนุนการกระจายอำนาจ แต่ท่าทีเพื่อไทยเรื่องนี้ก็ตระบัดสัตย์เหมือนค่าแรง 400, แก้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ นับไม่ถ้วน
“การเมืองของนักการเมือง” ทำศึกแย่งชามข้าวถึงจุดที่เปิดเผยว่าหื่นกระหายมหาดไทยจนพร้อมแลกกับทุกกระทรวง
สาธารณสุขที่ดูแลคน 60 กว่าล้านกลายเป็นของแลกเปลี่ยนจากเพื่อไทยสู่ภูมิใจไทย ต่อให้เพื่อไทยมักอวดอ้างมาตลอดว่าอยากคุมสาธารณสุขเพราะอยากปฏิรูปบัตรทอง 30 บาทก็ตาม
สรุปสั้นๆ คือสำหรับคุณทักษิณ, คุณแพทองธารและพรรคเพื่อไทย สุขภาพประชาชนช่างหัวมัน ขอให้ฉันได้คุมผู้ว่าฯ และกำนันผู้ใหญ่บ้านเพื่อเตรียมเลือกตั้งก็พอ!
ความเบื่อหน่ายต่อรัฐบาลเป็นเรื่องปกติ แต่ความไม่เชื่อมั่นรัฐบาลที่ล้มละลายหลังกรณีคลิปลับฮุน เซน ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่มีผู้นำประเทศไหนคุยกับผู้นำประเทศคู่ขัดแย้งโดยโจมตีคนในชาติแบบนี้ และผลกระทบต่อเรื่องนี้จะยกระดับจนคุณแพทองธารไม่มีทางเป็นนายกฯ ต่อไปได้เลย
ปัญหาของคุณทักษิณเวลาเผชิญวิกฤตแบบนี้คือยื้ออำนาจจนถึงจุดที่ทุกอย่างยื้อไม่ได้ รัฐประหาร 2549 เกิดหลังการขายหุ้นโดยไม่เสียภาษีลุกลามเป็นการเรียกร้องนายกฯ ม.7 ซึ่งคุณทักษิณกว่าจะยุบสภาก็ช้าไปหมด รัฐประหารปี 2557 เกิดหลังคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นิรโทษกรรมคุณทักษิณสุดซอยทั้งที่ไม่ควรทำ
วันนี้ยังไม่มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงนอกระบบ พลังปฏิปักษ์ประชาธิปไตยยังไม่อาจสร้างอำนาจนำว่าการล้มระบบเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ การรวมพลังสร้างฉากทางการเมืองแบบปี 2557 ยังไม่เกิด แต่เงื่อนไขของการสร้างสถานการณ์เกิดแล้ว และคุณทักษิณควรทำทุกทางเพื่อรักษาระบบต่อไป
ผู้นำที่ดีต้องรู้ว่าเมื่อใดถึงเวลาที่จะสละอำนาจ เพราะเมื่อผู้นำไม่สละอำนาจในเวลาที่สูญเสียอำนาจนำทั้งหมด ปัญหาผู้นำจะเป็นปัญหาของระบอบ และคุณทักษิณต้องเรียนรู้ที่จะรักษาระบอบมากกว่ารักษาอำนาจตัวเอง
ฟางเส้นสุดท้ายของประชาชนต่อรัฐบาลใกล้ขาดแล้ว ฐานสนับสนุนของรัฐบาลที่เรียวแคบก่อนปัญหาคลิปลับมาถึงจุดที่แทบไม่เหลืออีก การยื้อคือการทำลายความเชื่อมั่นต่อระบบว่าระบบเปลี่ยนผู้นำที่ประชาชนหมดความเชื่อมั่นไม่ได้ และเมื่อนั้นอำนาจนอกระบบก็จะกลับมา
เวลาของรัฐบาลใกล้หมดแล้ว ทางเลือกมีแต่ลาออกหรือเลือกตั้งใหม่เพื่อให้ประเทศเดินหน้ากว่าการเป็นผู้นำที่มองไปทางไหนก็ไม่มีประชาชนเชื่อมั่นเลย