
33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (130) ลาแล้วสตูล มุ่งสู่ ‘แดนเดือด’

บทความพิเศษ | พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์
33 ปี ชีวิตสีกากี
พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (130)
ลาแล้วสตูล มุ่งสู่ ‘แดนเดือด’
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2538
เวลาประมาณ 18.20 น. ที่บริเวณท่าเรือเหรียญทอง หน้าร้านหนุนการเบาะแอนด์ออโต้ เลขที่ 29 ถนนสมันตประดิษฐ์ ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล นายจรงค์ หรือไข่ หนูช่วย นางสุดา คงแก้วหนู นางสาหยอ หรือเยาะ พิพัฒน์ นายบูบากาศ หรือกาศ หรือศักดา เพชรกาหรีม นางลี่ หนูช่วย นายหวัง เสถียร ได้ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
พ.ต.อ.พงษ์เดช ทั่งจันทร์แดง กับพวก ได้จับกุมนายจรงค์หรือไข่ นางสุดา และนางสาหยอ ดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ส่งให้ผมดำเนินคดี ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นหลบหนีไปได้
คดีนี้ผมใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานนานพอสมควร จึงสั่งฟ้องส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการก่อนจะสิ้นปี
ผมทำงานที่ สภ.อ.เมืองสตูล นับว่านานมากทีเดียว จะครบ 5 ปีในตำแหน่งสารวัตรสอบสวน มีผู้บังคับบัญชาที่หมุนเวียนกันมาทำหน้าที่ บางคนก็ทำหน้าที่ด้วยกันที่ยาวนาน บางคนก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ จนแทบจะจำอะไรกันไม่ได้ ยังไม่ทันไรก็มีคำสั่งย้ายมาแล้ว จนผมกลายเป็นคนเก่าคนแก่ของโรงพักไปโดยไม่รู้ตัว คู่กับ พ.ต.ท.จรงค์ ภักดีวานิช สวป.สภ.อ.เมืองสตูล รวมทั้ง พ.ต.ท.สัมบูรณ์ บัวสิงห์ สารวัตรสืบสวน ที่มาภายหลังผมไม่กี่เดือน
ทุกคนต่างทำหน้าที่ของแต่ละคน สำหรับผมนั้น ไม่รู้อนาคตของตัวเองว่าจะถูกโยกย้ายไปที่ไหน และเมื่อไหร่จะได้เลื่อนตำแหน่ง
เมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วน ก็หวังอยากจะก้าวหน้าในตำแหน่งสูงขึ้นไป แต่การเป็นข้าราชการของไทย ไม่ง่ายเลย เมื่อไม่มีคำสั่งใด ผมจึงยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานในที่เดิมตำแหน่งเดิมต่อไป และตั้งใจจะทำให้ดีเหมือนที่ผ่านๆ มา
ปี พ.ศ.2539
ผมเป็นตำรวจมานานเกือบจะ 14 ปีแล้ว และเป็นสารวัตรมา 5 ปีแล้ว ยังคงฝันที่จะมีชีวิตที่ดี การทำหน้าที่ขอให้ราบรื่น อย่าได้ไปสะดุดขาใครจนหกล้มตีลังกา
ผมเคยวิ่งเต้นย้ายกลับภูมิลำเนาบ่อยๆ แต่ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง จนไม่มีความคิดนั้นแล้ว และน่าจะคุ้นเคยกับการทำงานที่ภาคใต้มากกว่าบ้านเกิดตัวเอง รู้จักพื้นที่ รู้จักผู้คน และรู้จักเพื่อนข้าราชการตำรวจแทบจะทั้งหมด
ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนรู้ใหม่อีก
วันที่ 10 มกราคม 2539
นายอรุณ ล้อสกุล ถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของนางพัก ทองรักน้อย เหตุเกิดที่ 535 ถนนยนตรการกำธร หมู่ที่ 4 ต.คลองขุด อ.เมือง จ.สตูล ของวันที่ 10 มกราคม 2539 เวลาประมาณ 02.00 น. ผมได้สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนเสร็จ จึงสั่งฟ้องส่งสำนวนให้พนักงานอัยการต่อไป
วันที่ 19 มีนาคม 2539
ร.ต.ท.กัมปนาท พิทักษ์เดชา กับพวก จับกุมนายหมาดหมีน หมาดง๊ะ เป็นผู้ต้องหา ส่งให้ผมดำเนินคดีในความผิดฐานชิงทรัพย์และพยายามฆ่าผู้อื่น เหตุเกิดวันที่ 19 มีนาคม 2539 เวลาประมาณ 04.30 น. บริเวณโรงพยาบาลสตูล ถนนหัตถกรรมศึกษา ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล เมื่อพยานหลักฐานพร้อม ผมจึงสรุปสำนวนสั่งฟ้อง เสนอพนักงานอัยการ
วันที่ 1 เมษายน 2539
พ.ต.อ.หิรัญ สุขปุณพันธ์ ผู้กำกับการหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูล ได้ลงนามในคำสั่งสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูล ที่ 28/2539 แต่งตั้ง พ.ต.ท.นิยม รัตนอรุณ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูล เป็นประธานกรรมการ มีผม และ พ.ต.ท.เสริมรัฐ เลิศสุรวัฒน์ สารวัตรจราจร สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูล ร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทัณฑ์ทางวินัย รอง ผกก.สส.สภ.อ.เมืองสตูล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการ 5 กองปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรุงเทพฯ ถูกนายมนตรี สิหนาทกถากุล ผู้จัดการโรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ ร้องเรียนไปยังกรมตำรวจ ว่าได้ขอยืมเงินไปจำนวน 1,232,000 บาท เมื่อทวงถามกลับไม่ยอมชำระคืน กรมตำรวจจึงได้สั่งให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริง ต่อมา พ.ต.ท.ก้อง ตกลงยินยอมชดใช้ชำระหนี้ให้กับผู้ร้องเรียน โดยชำระเป็นเช็ค แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน
ผู้ร้องได้ทวงถามกลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมชำระคืนและข่มขู่ผู้ร้อง
กรมตำรวจจึงสั่งให้ตำรวจภูธรภาค 9 ดำเนินการ และสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูลจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทัณฑ์ในทางวินัยฐานเป็นการประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ราชการ อาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่
วันที่ 30 มิถุนายน 2539
เกิดเหตุฆ่ากันตายที่บริเวณหลุมถ่านคลองจระเข้ไข่ หมู่ที่ 1 ต.ตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. และต่อมา พ.ต.ท.ก้อง สุกุมลจันทร์ รอง ผกก.(ส.) สภ.อ.เมืองสตูล กับพวก จับกุมนายหมัดสะอาด หรือบ่าว หลงหัน กับนายอาเชด หรือเชด ขุนจง เป็นผู้ต้องหา เพื่อดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา สำนวนการสอบสวนเสร็จแล้ว ผมมีความเห็นสั่งฟ้อง และส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการจังหวัดสตูล
วันที่ 31 กรกฎาคม 2539
วันนี้เวลาประมาณ 23.30 น. เกิดเหตุปล้นทรัพย์ที่ร้านสีดาคาราโอเกะ ถนนศุลกานุกูล ซอย 12 ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล ร.ต.อ.พงศักดิ์ พิทักษ์พงษ์พันธ์ กับพวก ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา คือ นายสมพงษ์ ยี่แป้น นายบุญชอบ สุขเกลี้ยง และนายสมชาย หรือนเรศ หรือเอียด ใหม่จุ้ย ดำเนินคดีในความผิดฐานปล้นทรัพย์
วันที่ 1 ตุลาคม 2539
ร.ต.ท.พิชัย กิระวานิช ร้อยเวรสอบสวน ได้รับแจ้งมีเหตุฆ่ากันตายที่บริเวณนากุ้ง หลังโรงเรียนเทศบาล 3 ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล เหตุเกิดเมื่อเวลา 01.00 น. ของวันที่ 1 ตุลาคม 2539 ผมได้ร่วมออกไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ วันรุ่งขึ้น คือวันที่ 2 ตุลาคม 2539 พ.ต.ท.ก้อง สุกุมาลจันทร์ รอง ผกก.(ส.) สภ.อ.เมืองสตูล กับพวก ได้ติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา คือ นายมานะ หรือหม่อง หรือกัน เกิดโภคา ดำเนินคดีในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
และผ่านไปยังไม่ทันถึงสิ้นเดือน การทำหน้าที่ของผมที่ สภ.อ.เมืองสตูล ก็ต้องหมดเวลาลง
เมื่อมีคำสั่งเลื่อนตำแหน่งผมสูงขึ้น ผมจึงเร่งทำสำนวนการสอบสวนคดีนี้จนเสร็จ และสั่งฟ้องส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการจังหวัดสตูล เรียบร้อย ก่อนจะไปทำหน้าที่แห่งใหม่
วันที่ 20 ตุลาคม 2539
กรมตำรวจได้มีคำสั่งที่ 849/2539 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2539
แต่งตั้งผมให้ไปดำรงตำแหน่ง รอง ผกก.(สส.) สภ.อ.สิงหนคร จ.สงขลา โดยคำสั่งมีผลตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2539 หลังจากที่ผมอยู่ในตำแหน่งสารวัตรมานาน 5 ปี 9 เดือน ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
เป็นการสิ้นสุดการรอคอย แม้จะไม่นานไปกว่าคนอื่น อาจจะถือว่าเร็วเสียด้วยซ้ำไป
แต่การใช้พลังในการทำงานที่ทุ่มเทลงไปมากมาย จึงเกิดอาการล้า ตลอดจนเมื่ออยู่ไปนานๆ เริ่มคุ้น เริ่มชินกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวไม่มีสิ่งใหม่ๆ มาท้าทาย จึงเกิดอาการเฉื่อยชา จนผมรู้สึกตัวเองเป็นเช่นนั้น
ในแง่ดีเป็นการผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดกับงานมากจนเกินตัว และถือเป็นการสั่งสมพลังงานให้ฟื้นกลับมาใหม่
ถึงเวลาสำคัญแล้วที่ผมจะได้ระเบิดพลังของผมออกมาอีกครั้ง ผมมีความกระหายกับการทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น
เป็นการทำงานที่ดุเดือดเลือดพล่านจริงๆ เมื่อไปเป็นสิงห์คะนองนา ในสิงหนคร ผมทำงานแบบครบเครื่องต้มยำ นำความรู้ นำประสบการณ์ ทั้งที่ได้สั่งสมมาและที่ได้เรียนรู้จากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ตำรวจ และข้าราชการต่างๆ ที่ได้ทำงานร่วมกันมา ช่วยฝึกปรือผมให้แกร่งยิ่งขึ้น นิ่งมากขึ้น สุขุมมากขึ้น พร้อมแล้วที่จะกลับไปจังหวัดสงขลา เป็นคำรบที่ 2
แต่ครั้งนี้ เพื่อไปปราบปรามอาชญากรรมที่อำเภอสิงหนคร อยู่ใกล้และอยู่ติดทั้งอำเภอหาดใหญ่และอำเภอเมืองสงขลา แต่ทำไมความเจริญที่ศิวิไลซ์ จึงได้ห่างไกลจากทั้ง 2 อำเภอเสียเหลือเกิน
เพราะเป็นอำเภอที่มีอาชญากรรมดุเดือดมาก อุดมไปด้วยยาเสพติดทั้งหมู่บ้าน ชุมชน มีม็อบชุกชุมปิดถนนเป็นงานหลัก ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ ปิดถนนสถานเดียว ใช้ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเงื่อนไขให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
เป็นเช่นนี้มาตลอด จนเป็นประเพณี มีความรุนแรงจนกล้าที่จะทำร้ายเจ้าหน้าที่ ถึงขนาดซ้อมนายตำรวจตำแหน่งสารวัตร และรองสารวัตรของโรงพัก กระดูกหักมาแล้ว
ทั้งหมดนี้ผมไม่เคยมีความรู้มาก่อนเลย แต่เมื่อผมไปอยู่ ข้อมูลจึงหลั่งไหลเข้ามาจนหูอื้อ และต้องยอมรับเลยว่า พื้นที่นี้อาชญากรรมในเวลานั้นหนักหนา ดุเดือด รุนแรงมากจริงๆ แค่คดีฆ่าครอบครัวบุญทวี 5 ศพ ศักดิ์ ปากรอ คดีเดียวก็สยองแล้ว
แต่เมื่อเป็นวิกฤตของพื้นที่ จึงเป็นโอกาสให้ผมได้แสดงบทบาทตำรวจจับผู้ร้ายได้อย่างเต็มภาคภูมิ ผมบู๊กับคนร้ายขนาดไหน ต้องติดตามไปดู
เมื่อมีคำสั่งออกมาผมจึงต้องร่ำลาพี่น้องชาวเมืองสตูล แม้ผมจะไปทำงานที่อื่นแล้ว ผมยังติดต่อสื่อสารกลับมาที่สตูลเสมอ โดยเฉพาะต้องย้อนกลับมาเบิกความเป็นพยานศาล ในคดีที่ผมรับผิดชอบและที่ยังค้างคาอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล
และสตูลยังมีสิ่งที่ทำให้ผมระลึกถึงเหมือนเช่นทุกแห่งที่ผมไปอยู่มา ผมเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของพี่น้องชาวเมืองสตูล ที่กอดผมไว้เสียแน่นนานเกือบ 6 ปี
ช่วงแห่งเวลาทำงานให้นั้นมีทั้งรางวัลและบาดแผล เมื่อหมดเวลา จึงต้องกล่าวคำอำลา บาดแผลจากสตูลผมจดจำมาถึงวันนี้ แต่ไม่ใช่เพราะชาวสตูล หากแต่เป็นกรณีของสารวัตรยงยศ เทียมประชา กับการที่ผมมีส่วนทำให้พี่สติ มาลกานนท์ กับผมถูกฟ้องเป็นจำเลย
แต่ทั้งหมดก็ถูกกลบไปด้วยความยิ่งใหญ่และประทับใจจากธรรมชาติที่หมดจดงดงามของสตูล และชาวสตูลที่รักผม
“สตูล สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์”