

นัยความเป็นคน | นิ้วกลม
มนุษย์มิได้เป็นเกาะโดดเดี่ยว
1 “ไม่มีผู้ใดเป็นดั่งเกาะที่อยู่เดียวดาย”
กวีชาวอังกฤษ จอห์น ดันน์ เขียนบทกวีไว้เช่นนั้น
ทว่า ในสังคมสมัยใหม่กลับไม่ชวนให้คิดเช่นนั้น ผู้คนจำนวนมากโดดเดี่ยวมากขึ้น เราอยู่ในสังคมที่มุ่งเน้นความสำเร็จส่วนบุคคล ชวนให้เชื่อว่าทุกคนต้องอยู่รอดให้ได้ ‘บนลำแข้งตนเอง’ ต้องใช้ความพยายามพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าประสงค์ มากไปกว่านั้น เทคโนโลยีก็ผลักเราห่างจากกัน แถมยังทำให้หมกมุ่นกับตนเอง และพึ่งพาตัวเองมากขึ้นด้วย
โซเชียลมีเดียทำให้เราได้ ‘เห็น’ ชีวิตของผู้คนที่ไกลออกไปและไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เราไปกดติดตามชีวิตของเขา เข้าไปส่องชีวิตที่รวยกว่า หรูหรากว่า สนุกกว่า และสวยงามกว่าชีวิตของเรา ‘อินฟลูเอนเซอร์’ เหล่านี้มีอิทธิพลต่อความปรารถนาของเรา ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดีพอ ไม่สวยพอ ไม่มีความสุขมากกว่า ซึ่งเกิดจากการเปรียบเทียบ โดยลืมไปว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เลิศเลอกว่าคนทั่วไป
ชีวิตที่โดดเดี่ยว ทำงานหนัก ยืนบนลำแข้งตัวเอง แถมยังต้องคอยเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดนั้นไม่น่าจะเป็น ‘ชีวิตที่ดี’ สักเท่าไหร่ เราใช้ชีวิตโดยถูกโยนคำถามและความคาดหวังใส่ตัวเองตลอดว่า “จะดีกว่านี้ได้ยังไง”
ทั้งที่ในความเป็นจริงเราอาจจะ ‘ดี’ มากพอแล้วก็เป็นได้
2 มุนดี เอนโกมาเน นักเขียนและนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีและเด็กชาวแอฟริกาใต้มีคำแนะนำที่น่าสนใจ เธอบอกว่า “แทนที่จะเอาตัวเราไปเทียบกับผู้อื่น เราควรพิจารณาว่าสิ่งที่ผู้อื่นมีนั้นมีค่าและส่งผลในเชิงบวกต่อชีวิตเรายังไงบ้าง” แล้วเราจะพบ ‘อินฟลูฯ’ ที่ส่งผลต่อเราในแง่ดีอยู่มากมาย
เราสามารถถามคำถามสองข้อที่อาจไม่ค่อยได้ถามในชีวิต
หนึ่ง, กว่าที่เราจะมาถึงวันนี้ มีใครบ้างในชีวิตที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้เราและทำให้เราได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่
ผมคิดว่าคำตอบนี้ชวนให้คิดได้กว้างไกล ตั้งแต่พ่อแม่ที่ให้กำเนิด พี่น้องที่ช่วยสนับสนุน หมู่ญาติที่มีน้ำใจ เพื่อนพ้องที่เคียงข้าง ครูอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ หัวหน้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน คนรัก เลยไกลไปถึงดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่าง แม่น้ำที่มอบน้ำให้ชีวิต ต้นไม้ที่มอบอากาศหายใจ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่เราคงไม่มีสามารถมีชีวิตอยู่ได้เลย หากปราศจาก ‘ทั้งหมด’ นั้น
นี่คือคำถามที่น่าทบทวนอย่างจริงจัง
ซึ่งถ้าได้ลองตอบกับตัวเองดูสักครั้ง เราจะพบว่าชีวิตเป็นสิ่งสวยงามและมหัศจรรย์อย่างยิ่ง การเกิดมาแล้วได้รับการเกื้อหนุนจากผู้คนและสรรพสิ่งรอบตัวย่อมเป็นเรื่องที่ควรชื่นชมยินดีและสำนึกขอบคุณที่ทั้งโลกและชีวิตต่างๆ หยิบยื่นสิ่งละอันพันละน้อยกระทั่งประกอบสร้างกลายเป็นเรา
ผมลองนึกทบทวนแล้วพบความรู้สึก ‘ชื่นใจ’ กับการมีชีวิตอยู่
3 คำถามที่สองก็สำคัญไม่แพ้กัน, ลองถามตัวเองว่า กว่าจะมาถึงวันนี้เราได้ช่วยเหลือใครไปบ้าง ลองไล่เรียงรายชื่อผู้คนที่ได้ประโยชน์จากการมีอยู่ของเรา เป็นได้มากมายเลย พ่อแม่ก็ใช่ พี่น้อง ญาติมิตร ลูกศิษย์ รุ่นน้อง รุ่นพี่ ครูอาจารย์ ลูกค้า พ่อค้าแม่ขาย และอีกมายในโลก
เราจะมองเห็นตัวเองอยู่ท่ามกลางผู้คนและผู้คน มองเห็นตนเองแบมือยื่นออกไปเพื่อ ‘รับ’ สิ่งมีค่าที่ผู้มีพระคุณมอบให้ และมองเห็นตนเองยื่นมือออกไปแล้วคว่ำมือลงเพื่อ ‘ให้’ สิ่งมีค่าที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาหรือมีอยู่ในตัวเองให้กับคนอื่น
ใช่, เรามีสิ่งมีค่าติดตัวอยู่มากมาย-เราดีพออยู่แล้ว
ภาพชีวิตที่ปรากฏย่อมต่างไปจากเดิม จากภาพของมนุษย์ผู้โดดเดี่ยวที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคด้วยความพยายามเพียงลำพัง หากสำเร็จก็ชื่นชมตนเอง หากล้มเหลวก็โทษตนเอง กลายมาเป็นภาพของคนที่แวดล้อมไปด้วย ‘ความรุ่มรวย’ ของชีวิต
มีทั้งคนให้สิ่งดีและรับสิ่งดีๆ จากเราอยู่ตลอด
สำหรับผมแล้ว ภาพแบบหลังนั้น ‘จริง’ กว่าแบบแรก
เพราะชีวิตมนุษย์คือความสัมพันธ์ เราแลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา เราต่างใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการให้และรับเหมือนหายใจออกและหายใจเข้า
ได้มา-มอบออกไป
มอบออกไป-ได้กลับคืนมา
นี่คือภาพที่งดงามและแท้จริงของชีวิต
4 แนวคิดหรือปรัชญาที่มองชีวิตเป็นสายใยสัมพันธ์ยังคงมีให้เห็นในสังคมที่ความเป็นชุมชนเหนียวแน่น โดยมากมีวิถีชีวิตดั้งเดิม เช่น แนวคิดในกลุ่มคนพื้นเมืองหลายแห่งในโลก ในสังคมแอฟริกันตอนใต้มีปรัชญาที่เรียกว่า ‘อูบุนตู’ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การเชื่อมโยงกับคนอื่น และสร้างความผาสุกในชุมชนร่วมกัน
อาร์ชบิชอปเดสมอนต์ ตูตู กล่าวถึงความหมายของอูบุนตูไว้ว่า “ความเป็นมนุษย์ของข้าพเจ้าเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับความเป็นมนุษย์ของท่านทั้งหลาย”
ระหว่างที่คุณกำลังอ่านบรรทัดนี้ก็มี ‘อูบุนตู’ คือเราเชื่อมโยงกันผ่านตัวหนังสือ ไม่มีผู้อ่านก็ไม่มีผู้เขียน ไม่มีผู้เขียนก็ไม่มีผู้อ่าน เช่นนี้แล้วมนุษย์จึงเปี่ยมไปด้วยคุณค่า เป็นคุณค่าที่เรามอบให้กันและกันโดยตลอด
ปรัชญาอูบุนตูมีแนวคิดว่า “มีฉันได้เพราะมีเธอ”
เมื่อมองเช่นนี้จะพบว่า การที่ผมมีชีวิตอยู่อย่างราบรื่นได้ในแต่ละวันนั้นต้องขอบคุณผู้คนมากมาย ตั้งแต่แม่ค้าร้านข้าวแกงหน้าปากซอย พี่ รปภ.หน้าหมู่บ้าน พี่ช่างตัดผม พี่ที่กวาดใบไม้ทำความสะอาดถนนในหมู่บ้าน พนักงานเก็บเงินทางด่วน ฯลฯ
มุมมองแบบอูบุนตูจะทำให้เรา ‘เห็น’ ชีวิตอื่นที่มีผลต่อชีวิตเรา
และทำให้เรา ‘เห็น’ คุณค่าของตัวเองที่มีต่อชีวิตอื่นด้วยเช่นกัน
หากสวมแว่นตานี้มองโลก แต่ละวันที่ตื่นขึ้นมาเราจะดำเนินชีวิตไปด้วยความรู้สึกให้เกียรติและเคารพชีวิตอื่นที่แตกต่างจากเรา โดยมองว่ามนุษย์มีความเท่าเทียมกันในคุณค่าที่หลากหลาย และจะรู้สึกซาบซึ้งใจในสิ่งดีๆ ที่ได้รับจากคนอื่นและโลกนี้อยู่ตลอดเวลา
เมื่อใครทำได้ดี เราจะเอ่ยปากชมและขอบคุณเขา เพราะได้เห็นว่าสิ่งดีๆ ที่เขาทำนั้นทำให้เราชีวิตดีตามไปด้วย ในทางกลับกัน เมื่อเราลงมือทำอะไรสักอย่าง เราจะทำสุดฝีมือ เพราะรู้ว่าเรากำลังได้หยิบยื่น ‘ของมีค่า’ ส่งต่อไปยังผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง
แรงผลักดันเพื่อ ‘ทำงานให้ดี’ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป ไม่ใช่เงินเดือนขึ้น เลื่อนตำแหน่ง ได้โบนัส หากคือการอยากส่งมอบสิ่งดีๆ ให้คนอื่น เพราะตัวเราเองก็ได้รับสิ่งดีๆ มามากมาย
ทุกวันคือการตื่นขึ้นมาเพื่อ ‘รับ’ และ ‘ให้’ สิ่งดีงาม
ชีวิตเต็มไปด้วยเส้นใบสัมพันธ์ที่ถักทอกันเป็นผืนผ้าแห่งการอยู่ร่วมที่สวยงามและน่าชื่นชมยินดี ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกขอบคุณกันและกันอยู่เสมอ
ดังเช่นที่ผมรู้สึกขอบคุณ ‘คุณ’ ผู้อ่านที่กำลังไต่สายตาอ่านตัวหนังสือที่ผมเขียนขึ้นมา ด้วยตระหนักอย่างลึกซึ้งในใจว่า “หากไม่มีผู้อ่านย่อมไม่อาจมีผู้เขียน”
“มีฉันได้เพราะมีเธอ”
มนุษย์มิใช่เกาะโดดเดี่ยว เราคือผืนผ้ายักษ์ที่สายสายสัมพันธ์และถักทอเข้าด้วยกันอยู่ในทุกเวลานาที ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
เมื่อไหร่ที่มองเห็นสายใยเหล่านี้ เราจะรักชีวิต