
ชื่อ ‘สุวรรณภูมิ’ มีที่มาจากการเป็นแหล่งวัตถุ และเทคโนโลยีการผลิต ‘ทองสำริด’

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
“สําริด” เป็น “โลหะผสม” ที่เกิดจากการนำเอาโลหะอย่างน้อย 2 ชนิด ได้แก่ “ทองแดง” กับ “ดีบุก” มาผสมเข้าด้วยกัน แต่น่าจะเป็นคำที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เพราะในเอกสารโบราณฉบับต่างๆ มักจะเรียก สำริด หรือ “bronze” ในโลกภาษาอังกฤษว่า “ทองแดง” หรือไม่ก็เรียกว่า “ทอง” กันอย่างลุ่นๆ
ใช่ครับใช่ คำว่า “ทอง” ในเอกสารโบราณหมายถึงได้ทั้งทองแดง และทอง โดยมักจะเน้นว่าหมายถึง ทอง ด้วยการเลือกใช้คำว่า ทองคำ แทน
ลักษณะเช่นนี้ก็ปรากฏเช่นกันในโลกของภาษาอื่น เช่น ในโลกของผู้ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งหลายครั้งก็เรียกเครื่องครัวที่ผลิตขึ้นจากสำริดว่า เครื่องครัวทองแดง มันเสียอย่างนั้นแหละ
แถมหลายหนการเลือกใช้คำว่า ภาชนะหรือเครื่องครัวทองแดง แทนที่จะเรียกว่า “สำริด” ก็ยังปรากฏในเอกสารวิชาการยุคเก่าๆ เสียด้วยซ้ำ
ภาชนะสำริดชิ้นสำคัญในยุโรปที่แสดงให้เห็นว่า มีการนำสำริดมาทำเป็นเครื่องใช้สำหรับทำครัวอย่างนมนานมาแล้วก็คือ หม้อต้มขนาดใหญ่ (คล้ายๆ หม้อต้มยาของแม่มดในการ์ตูนเครือดิสนีย์) ที่เรียกกันในหมู่นักโบราณคดีว่า หม้อแบตเตอร์ซี (Battersea cauldron) เพราะถูกเก็บกู้ขึ้นมาจากก้นแม่น้ำเทมส์ ละแวกย่านแบตเตอร์ซี ตั้งแต่เมื่อประมาณ พ.ศ.2404 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่บริติช มิวเซียม ในประเทศอังกฤษ
เจ้าหม้อแบตเตอร์ซีที่ว่านี้ ประกอบขึ้นมาจากแผ่นสำริด (แม้แต่ทุกวันนี้ เว็บไซต์ของบริติช มิวเซียมเองก็ยังเรียกวัสดุที่ใช้ทำหม้อใบนี้สลับกันว่า สำริดบ้าง ทองแดงบ้าง เสียด้วยซ้ำ) จำนวน 7 แผ่น นำมาตอกหมุดเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเหมือนภาชนะรูปฟักทอง โดยกำหนดอายุได้อยู่ในช่วง 2,800-2,600 ปีมาแล้วเลยทีเดียว
แต่ที่น่าสนใจก็คือ ในเอกสารของพวกโรมัน จดหมายเหตุ Periplus Maris Erythraei (Periplus of The Erythrean Sea คือบันทึกการเดินเรือในทะเลเอรีเธรียน ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า “ทะเลแดง” แต่ทะเลแดงในความหมายของกรีกหมายรวมถึงอ่าวเปอร์เซีย และมหาสมุทรอินเดียด้วย) เขียนขึ้นโดยนักเดินเรือชาวกรีกเลือดผสมอียิปต์ ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ก็ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า พวกเขาอิมพอร์ตดีบุกส่วนหนึ่งจากโลกตะวันออกเข้ามา เพื่อนำมาสร้างแปรรูปเป็นเครื่องใช้สำริด และประติมากรรมต่างๆ
ส่วนโลกตะวันออกที่ในเอกสารโรมันหมายถึง แต่เดิมนั้นเข้าใจกันว่าคือ “อินเดีย” แต่ปรากฏว่า มีการค้นพบเอกสารโบราณอายุประมาณ 2,300 ปีที่ระบุว่า ชาวอินเดียก็ไปหาซื้อ “ดีบุก” (ในเอกสารเรียกว่า “ตราปุ”) มาจากดินแดนทางตะวันออกของตนเองคือ “อุษาคเนย์” อีกทอดเหมือนกัน
แถมของที่นำเข้านั้น ยังไม่ใช่ดีบุกเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายรวมถึง “ทองแดง” และเทคโนโลยีในการสร้าง “เครื่องสำริดแบบที่ผสมดีบุกในปริมาณสูงกว่า 17%” อย่างที่เรียกกันว่า “high tin bronze” ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักทั้งโรมัน และอินเดียในสมัยนั้น แต่มีอยู่ในให้เพียบในอุษาคเนย์ โดยมีกลองมโหระทึกเป็นตัวอย่างสำคัญ
ก็อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่า การผสมดีบุกเข้าไปในทองแดงนั้น ทำให้ได้สีของเครื่องสำริด ที่กลายเป็นสีทองแวววาว แถมการผสมดีบุกลงไปเป็นจำนวนมากนั้น ยังช่วยให้สามารถทำเครื่องสำริดที่มีรูปทรงซับซ้อนขึ้นอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลยที่จะมีคำเรียกเครื่องสำริดว่า “ทองสำริด” อย่างที่ได้ยินกันบ่อยๆ
และจึงไม่แปลกอะไรเลยสักนิดถ้าดินแดนแถบอุษาคเนย์ ภาคผืนแผ่นดินใหญ่นี้จะเคยถูกเรียกว่า “สุวรรณภูมิ” เพราะเป็นแหล่งทรัพยากรใหญ่ของทั้ง “ทองแดง” และ “ดีบุก” ในโลกยุคโบราณ ไม่ใช่แหล่ง “ทองคำ” อย่างที่มักจะเข้าใจผิดกัน
ช่วงเวลาที่ตลาดโลกต้องการ “ดีบุก” และ “ทองแดง” จากดินแดนอุษาคเนย์ข้างต้นนั้น ตรงกันกับในช่วงยุคเหล็กของอุษาคเนย์ ซึ่งถือเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ เพราะยังไม่มีตัวอักษรใช้ แต่เราไม่ควรติดกับดักว่า ยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้น บ้านเมืองจะต้องยังไม่เจริญ
อย่างน้อยอุษาคเนย์ในยุคโน้นก็มีความเจริญในเทคโนโลยีทางด้านโลหกรรม โดยเฉพาะเรื่องโลหะผสมคือ “สำริด” เป็นอย่างมากเลยทีเดียว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นักโบราณคดีผู้ทำการขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี มาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกอย่าง จอยซ์ ไวต์ (Joyce White) “วัฒนธรรมบ้านเชียง” (ซึ่งก็คือ แหล่งโบราณคดีในช่วงยุคเหล็กของอุษาคเนย์ ตรงกับช่วงเวลาที่อินเดียเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่า สุวรรณภูมินั่นแหละ) ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจในบทความที่ชื่อว่า “The Metal Age of Thailand and Ricardo’s Law of Comparative Advantage” ลงในวารสาร Archaeological Research in Asia ฉบับประจำเดือนกันยายน พ.ศ.2564
โดยไวต์สันนิษฐานว่า ชุมชนต่างๆ ที่แถบลำน้ำโขง (ซึ่งรวมถึงชุมชนต่างๆ ในวัฒนธรรมบ้านเชียง) นำทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่ โดยเฉพาะทองแดง มาแลกเปลี่ยนกับทรัพยากรอย่างอื่น โดยเฉพาะดีบุก ที่มีอยู่มากทางตอนใต้ของอุษาคเนย์ภาคพื้นทวีป ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดพัฒนาการของโลหะผสมที่เรียกกันว่า “สำริด”
ไวต์ยังได้ย้ำด้วยว่า อุษาคเนย์เป็นพื้นที่ที่มีแหล่งแร่โลหะ โดยเฉพาะที่นำมาใช้ทำโลหะผสมเป็น “สำริด” มากเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่ “ทองแดง” และโดยเฉพาะ “ดีบุก” เป็นแร่ธาตุหายากในโลก
ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่อุษาคเนย์จะมีเทคโนโลยีการหล่อสำริดที่ก้าวหน้ามากๆ ในโลกยุคโบราณ พร้อมๆ กับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชุมชนในบริเวณนี้เติบโตขึ้นจากการค้า เพราะความต้องการในวัตถุดิบคือแร่ธาตุอย่างทองแดง และดีบุก ที่จะทำให้เกิดเป็นโลหะผสมที่เรียกว่า “ทองสำริด” จนทำให้ถูกชนชาวอินเดียเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่า “สุวรรณภูมิ” นั่นเอง
“สุวรรณภูมิ” เป็นคำสันสกฤต แปลตรงตัวว่า “แผ่นดินทอง” ชาดกในพระพุทธศาสนาอย่าง พระมหาชนก อ้างว่าผู้ที่สามารถมาทำการค้ายังสุวรรณภูมิได้กลับไปจะกลายเป็นผู้มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย จึงไม่แปลกอะไรที่ดินแดนแห่งนี้จะถูกเรียกว่า สุวรรณภูมิ เพราะไม่ว่าภูมิภาคของเราจะเต็มไปด้วยทองคำอย่างชื่อหรือเปล่า ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเสียหน่อย?
พวกฝรั่งก็เรียกดินแดนแห่งนี้ไม่ต่างไปจากแขกพราหมณ์ จดหมายเหตุฝรั่งชิ้นเก่าแก่สุดที่อ้างถึงดินแดนที่มีชื่อตรงกับสุวรรณภูมิคือตำราภูมิศาสตร์ “Cosmographia” (Cosmography) เขียนโดย ปอมโปนิอุส เมลา (Pomponius Mela) นักภูมิศาสตร์ชาวโรมันเชื้อสายสเปนตอนใต้ ในช่วงคริสต์ศตวรรษแรก ระบุว่า “Chryse” หรือ “แผ่นดินทอง” ตั้งอยู่ทางตะวันออกของอินเดีย แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ยังจำกัดอยู่ในสมัยนั้น ทำให้พวกฝรั่งเข้าใจผิดว่าสุวรรณภูมิเป็น “เกาะ”
บันทึก Naturalis Historia (Natural History) ของ พลินี (Gaius Plinius Secundus หรือที่รู้จักกันมากกว่าในชื่อ Pliny the elder) นักธรรมชาติวิทยา และรัฐบุรุษคนสำคัญชาวโรมันที่มีอายุอยู่ร่วมสมัยกับเมลาก็กล่าวถึงสุวรรณภูมิเช่นกัน แต่ดูจะสับสนยิ่งกว่าเอกสารของเมลา เพราะบรรยายไว้ว่าแผ่นดินทองนั้นเป็นแหลม แต่ในขณะเดียวกันก็อธิบายว่าเป็นเกาะด้วย
จดหมายเหตุ Periplus Maris Erythraei (Periplus of The Erythrean Sea คือบันทึกการเดินเรือในทะเลเอรีเธรียน ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า “ทะเลแดง” แต่ทะเลแดงในความหมายของกรีกหมายรวมถึงอ่าวเปอร์เซีย และมหาสมุทรอินเดียด้วย) เขียนขึ้นโดยนักเดินเรือชาวกรีกเลือดผสมอียิปต์ ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ให้ข้อมูลว่า
“แผ่นดินทอง เป็นดินแดนสุดท้ายที่คนอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกไกลสุดของโลก ณ บริเวณที่ตะวันขึ้น”
แถมพวกฝรั่งเองก็มีทัศนะต่อแผ่นดินทองไม่ต่างไปจากพวกของพ่อพราหมณ์ในอินเดีย คือเชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความมั่งคั่ง ดังปรากฏอยู่ในหนังสือ Antiquitates Judaicae (Antiquities of the Jews) ของ ฟลาวิอุส โจเซฟุส (Flavius Josephus) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับเอกสารฝรั่งที่ผมกล่าวถึงข้างต้นมาทั้งหมด ถึงกับอ้างว่า “แผ่นดินทอง” ก็คือ “Ophir” เมืองแห่งขุมทรัพย์บรรณาการของกษัตริย์โซโลมอนตามข้อความในพันธสัญญาเก่า
ชื่อ “สุวรรณภูมิ” รวมไปถึงชื่ออื่นๆ ที่แปลความออกมาแล้วมีความหมายไปในทำนองเดียวกันในโลกตะวันตกนั้น จึงควรจะมีที่มาจากการเป็นแหล่งทรัพยากรในการผลิต “ทองสำริด” และอาจจะรวมไปถึงความเป็นเจ้าของเทคโนโลยีในการใส่ดีบุกเข้าไปผสมในเครื่องสำริดมากกว่าปกติ จนทำให้เกิดความแวววาวมากกว่าเครื่องสำริดชนิดอื่น ที่เรียกว่า high tin bronze นั่นเอง