

บทความในประเทศ
โผปรับ ครม.คุกรุ่น
พายุใน ‘ชามข้าว’
พรรคร่วมไปต่อแบบกระเพื่อมๆ
หลังจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ชิงประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เมื่อปรากฏคลิปเสียงการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับประเด็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
ส่งผลให้เก้าอี้รัฐมนตรีว่างลง 8 ตำแหน่ง ทำให้พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ต้องเร่งเดินหน้าจัดทัพปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสอดรับกับสถานการณ์ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทย (พท.) ต้องการปรับ ครม. ขอโควต้ากระทรวงมหาดไทย คืนจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จนถึงขั้นงัดไพ่ใบสุดท้ายมาต่อสู้ ขีดเส้นตาย 48 ชั่วโมง หากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ยืนกรานไม่คืนเก้าอี้กระทรวงมหาดไทย ก็พร้อมเขี่ยพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ออกจากพรรคร่วมรัฐบาลไปเป็นพรรคฝ่ายค้านทันที
ทว่า เมื่อท้ายที่สุดพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ตัดสินใจประกาศแยกทางออกจากรัฐบาล ทำให้มีเก้าอี้รัฐมนตรีว่างลง 8 ตำแหน่ง ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และรัฐมนตรีช่วยว่าการ อีก 4 เก้าอี้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) จึงนัดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลืออยู่มาหารือเป็นการภายใน ที่โรงแรมโรสวูด กรุงเทพมหานคร เพื่อแจ้งเรื่องการปรับ ครม. รวมทั้งพูดคุยถึงการเกลี่ยโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีที่ว่างลง 8 เก้าอี้ เพิ่มให้กับพรรคร่วมรัฐบาลตามความเหมาะสม
โดยวงหารือครั้งนี้ หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคเข้าร่วมหารือกันพร้อมเพรียงครบทุกพรรค น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ได้ยืนยันต่อแกนนำทุกพรรคถึงสถานการณ์รัฐบาล หลังจากไม่มีพรรคภูมิใจไทย (ภท.) อยู่ร่วมว่าจะเดินหน้าทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป เรื่องสำคัญขณะนี้คือ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกองทัพได้ร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างดี เชื่อมั่นว่าจะรักษาดินแดนและอธิปไตยได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันแกนนำทุกพรรคได้กล่าวยืนยันว่าจะร่วมสนับสนุน น.ส.แพทองธารต่อไป เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) แม้ว่าก่อนหน้านี้พรรค รทสช.มีมติเสนอให้ น.ส.แพทองธาร ลาออกจากนายกฯ
แต่ปรากฏว่าวงหารือนายพีระพันธุ์แสดงท่าทีสนับสนุน น.ส.แพทองธารอย่างเต็มที่ พร้อมร่วมทำงานต่อไป
เมื่อพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถอนตัวออกไป ทำให้เสียงของรัฐบาลหายไปถึง 69 เสียง รัฐบาลต้องเผชิญกับเสียงปริ่มน้ำ หากไม่สามารถประคับประคองพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลืออยู่ได้ ย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง ฉะนั้น การปรับ ครม.จำเป็นต้องจัดสรร แบ่งที่นั่ง แบ่งเค้ก ให้กับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเหมาะสมและลงตัวที่สุด เพื่อป้องกันปัญหาตามมาภายหลังได้
โดยการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ได้มีการแจกใบกรอกประวัติให้กับรัฐมนตรีทุกคน เพื่อยืนยันและอัพเดตข้อมูลของแต่ละคน ซึ่งต่างจากเดิมผู้ที่กรอกประวัติคือ รัฐมนตรีใหม่หรือบุคคลที่ได้รับการสลับตำแหน่ง แต่สาเหตุที่นายกฯ ให้รัฐมนตรีทุกคนยืนยันข้อมูลตัวเอง เนื่องจากต้องการอัพเดตข้อมูล ป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง
นอกจากนี้ นายกฯ ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบประวัติรัฐมนตรีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ขณะนี้มีบางคนทยอยส่งประวัติเข้ามาให้ตรวจสอบแล้ว และคาดว่าสัปดาห์นี้จะทยอยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) และเมื่อ สลค.ได้รับประวัติแล้วจะมีการสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยว อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น
ส่วนความเคลื่อนไหวการจัดโผ ครม.แพทองธาร 2 ในครั้งนี้ เป็นที่แน่ชัดว่ากระทรวงมหาดไทยจะกลับมาอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย 100 เปอร์เซ็นต์ หลังก่อนหน้านี้แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการทวงคืนมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มาบริหารเอง โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย จะโยกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมานั่งเป็น มท.1
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จะได้รัฐมนตรีช่วยว่าการ เพิ่มอีก 1 ตำแหน่ง จากกระแสข่าวมีชื่อนายชัยชนะ เดชเดโช นั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็มีชื่อของนายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.อุบลราชธานี 4 สมัย เข้ามาแทน เนื่องจากหวั่นว่านายชัยชนะจะสะดุดด้วยคดีความ
เช่นเดียวกับพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) ได้รับแจ้งว่าจะได้รับการจัดสรร 1 เก้าอี้ โดยพรรคได้นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรค เข้าร่วมคณะรัฐมนตรี พร้อมกรอกประวัติแล้วเรียบร้อย
ส่วนพรรคกล้าธรรมจะได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีชื่อนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จะสลับมานั่งตำแหน่งดังกล่าว ขณะที่นายอรรถกร ศิริลัทธยากร จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แทน ส่วนนายอัครา พรหมเผ่า ที่เพิ่งลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย มาอยู่พรรคกล้าธรรมเต็มตัว จะอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ตามเดิม
ส่วน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม ถือเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่มีโอกาสนั่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีชื่อนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ ลูกชายของนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย ก็มีโอกาสลุ้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในโควต้าพรรคไทยสร้างไทยเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้ง น.อ.อนุดิษฐ์ และนายฉันทวิชญ์ ต่างกรอกประวัติตรวจสอบคุณสมบัติแล้วทั้งคู่
สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีรายงานว่า โควต้ารัฐมนตรีของพรรคยังเป็นคนเดิม อยู่ในตำแหน่งเดิม
แต่ทว่า กลุ่ม 18 ได้นัดรับประทานอาหารค่ำเมื่อคืนวันที่ 24 มิถุนายน พูดคุยถึงโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรี สัดส่วนของกลุ่ม 18 ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรม โดยมีรายงานว่าช่วงหนึ่งมีการหารือถึงเรื่องโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีในสัดส่วนของกลุ่ม 18 ที่ยังไม่ได้ เนื่องจากนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มีชื่อนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรววพาณิชย์ เป็นโควต้าคนนอก ไม่ใช่ของกลุ่ม 18
ทางกลุ่มจึงมีการพูดคุยกันว่าจะมีการเสนอขอเก้าอี้รัฐมนตรี 1 เก้าอี้ โดยให้แกนนำกลุ่มไปพูดคุยกับแกนนำรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม หากโผ ครม.ลงตัวและสะเด็ดน้ำแล้ว สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องโฟกัสนับจากนี้ นั่นคือการรักษาเสถียรภาพให้มั่นคงมากที่สุด
ยิ่งตอนนี้เสียงของรัฐบาลและฝ่ายค้านตัวเลขใกล้เคียงกัน โดยฝั่งรัฐบาล 261 เสียง ฝ่ายค้าน 234 เสียง เมื่อเสียงปริ่มน้ำเช่นนี้สุ่มเสี่ยงทำให้รัฐบาลเกิดความสั่นคลอนสูง
ประกอบกับการปรับ ครม.ครั้งนี้มีการต่อรองที่ถูกเปรียบเหมือนการแย่งชามข้าว ทั้งระหว่างพรรคและในพรรคเดียวกัน จึงทำให้เกิดภาวะคุกรุ่นและพร้อมจะปะทุออกมาเป็นปัญหาได้ตลอดเวลา จำเป็นต้องควบคุมให้ดี ไม่เช่นนั้นเป็นปัญหาต่อเสถียรภาพรัฐบาลได้
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เตรียมเปิดเกม ประเดิมบทบาทฝ่ายค้านด้วยการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 หลังเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 กรกฎาคมนี้
ฉะนั้น นับจากนี้ถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของนายกฯ อิ๊งค์ จะนำพารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ไปต่อได้นานจนครบเทอมตามเป้าหมาย โดยไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคมาขวางทางทำให้รัฐบาลต้องสะดุดและหยุดกลางคันหรือไม่
ต้องรอลุ้นกัน