

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
ในสมัยโบราณมีชนต่างชาติเข้ามาพำนักอาศัยทำมาหากินบนผืนแผ่นดินไทยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากคนไทยเป็นมิตร ไม่รังเกียจชาวต่างชาติต่างศาสนาต่างภาษา ทำให้กรุงศรีอยุธยากลายเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญของภูมิภาคนี้
ที่เป็นชาวเอเชียด้วยกันก็มี เช่น จีน ญี่ปุ่น เขมร มอญ ลาว ญวน เปอร์เซีย อินเดีย มีทั้งแขกจาม แขกมักกะสัน และแขกมลายู
หรือเป็นชาวยุโรป อาทิ โปรตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส อังกฤษ เป็นต้น
วรรณคดีไทยสมัยอยุธยา บทละครนอกครั้งกรุงเก่า เรื่อง “นางมโนห์รา” ตอนที่โหรทำนายว่านางกินรีมโนห์รามีเคราะห์ร้าย พระมารดาพยายามทัดทานมิให้พระธิดาไปสรงน้ำที่สระอโนดาต ทั้งคู่มีปากเสียงกันอย่างรุนแรง
คำโต้ตอบล้วนพาดพิงถึงหลากหลายชนชาติว่า
“๏ น่าสงสารพระมารดา อนิจจามาหวงลูกเอาไว้
แก่แล้วแม่จะค่อยให้ ผู้ชายที่ไหนจะเหลียวแล
ธรรมเนียมมาแต่ไหน ใหญ่ใหญ่มานอนอยู่กับแม่
แกล้งหวงเอาไว้ให้เฒ่าแก่ ผู้ชายมาแลก็น่าเกลียด
๏ เป็นหญิงเจ้าแม่อา อย่าทำกะริงกะเรียด (กะริงกะเรียด = ดัดจริต)
ตัวเจ้ายังน้อยสักเท่าเขียด เจ้ามาวอนแม่จะมีผัว
เมื่อจะทอหูกไม่ถูกก้น มันจะเอาตะกรนมาโขกหัว (ตะกรน = อุปกรณ์ทอผ้า)
เจ้ามาวอนแม่จะมีผัว ลูกเอยจะยืนสักเท่าใด
ลูกเอยจะเลี้ยงเอาผัวแขก ลูกเอยจะเลี้ยงเอาผัวไทย
เลี้ยงไว้ให้หนำใจ ส่งให้อ้ายมอญมักกาสัน
ส่งให้อ้ายจีนปากมอด ให้มันกอดจนตายดั้น
อ้ายมอญมักกาสัน ส่งให้ญี่ปุ่นหัวโกน
เลี้ยงลูกชาวบ้านเอย อีนี่ใจยักษ์ใจโลน
อ้ายญี่ปุ่นหัวโกน หนำใจผู้เจ้ามโนห์รา
๏ ลูกไทเจ้าแม่เอย แม่ให้ผัวไทยแก่ลูกรา
จีนจามพราหมณ์คุลา ลูกยาจะเอามันทำไม
เชิญแม่เอาเองเถิดนางไท เป็นผัวพระราชมารดา”
กวีทุกสมัยมีอะไรเหมือนกันอย่างหนึ่ง มักใช้สภาพแวดล้อมสิ่งที่พบเห็นเป็นข้อมูลในการประพันธ์ เห็นอะไรก็แต่งไปตามนั้น
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมีผู้คนสารพัดชาติเข้ามาทำมาหากินจนกลายเป็นภาพที่คุ้นตา เป็นธรรมดาอยู่เองที่กวีไทยสมัยนั้นนำเอาเรื่องนี้มาสร้างสีสันในผลงานเพื่อเน้นความสนุกสนานตามแบบฉบับบทละครนอกที่จัดเต็มความเผ็ดร้อนหยาบคายของถ้อยคำที่ชาวบ้านใช้กัน
พระมารดาจึงด่าประชดลูกสาวอย่างถึงพริกถึงขิงว่าถ้าห้ามกันไม่ฟัง ระริกระรี้อยากมีผัวจนตัวสั่น ขอให้สมใจอยาก มีผัวครบทุกชาติ ทั้งผัวแขก ผัวไทย ผัวมอญ ผัวจีน ผัวญี่ปุ่น โดยเฉพาะ ‘ผัวญี่ปุ่น’ มีคำระบุว่า ‘หัวโกน’
‘ญี่ปุ่นหัวโกน’ นี้มีในเมืองไทยระหว่างแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจนถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ดังจะเห็นได้จากภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดยม จ.พระนครศรีอยุธยา เป็น “ภาพทหารอาสาชาวญี่ปุ่นที่โกนผม แต่งกายแบบญี่ปุ่น มือถือง้าวนางินาตะ” ในสมุดภาพกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคถวายผ้าพระกฐินในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ภาพนี้วาดเมื่อ พ.ศ.2225 ตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
(ภาพจริงนั้นชำรุดหมดแล้ว โชคดีที่กรมศิลปากรคัดลอกลงสมุดไทยไว้ ปัจจุบันจึงยังคงมีภาพนี้ให้ได้ชมกัน)
กลับมาที่บทละครนอกเรื่อง “นางมโนห์รา” กันต่อ หลังจากฟังพระมารดาด่าทออย่างเจ็บแสบ นางมโนห์ราก็ตอบโต้ไม่ลดละว่า ให้ลูกมีผัวไทยก็พอ นอกเหนือจากนั้นพระมารดารับไว้เองก็แล้วกัน จะเห็นได้ว่าการแทรกเกี่ยวกับผู้คนที่พบเห็นในสมัยนั้นเข้าไปในวรรณคดีเป็นวิธีการอย่างหนึ่งซึ่งกวีใช้ในการประพันธ์
นอกจากชาวต่างชาติที่กวีกล่าวถึงในวรรณคดีและภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพของทหารญี่ปุ่นหัวโกนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ยังมีบันทึกเกี่ยวกับทหารต่างชาติใน “คำให้การขุนหลวง วัดประดู่ทรงธรรม” เอกสารจากหอหลวง อาทิ แผ่นดินสมเด็จพระนเรศร์ หรือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ดังนี้
หลังจากทำศึกสงครามมีชัยเหนือหัวเมืองฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้
“พระองค์จึงตั้งหมู่ทหารต่างๆ คือ หมู่ทศโยธา จตุรงคเสนา และหมู่องครักษ์จักรนารายณ์และอาสาหกเหล่า และอาสาญี่ปุ่น อาสาจาม และอาสาต่างๆ”
ในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ สงครามครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 ระหว่าง พ.ศ.2308-2310 เอกสารเดียวกันบันทึกถึงชาวต่างชาติในกองทัพอยุธยา มีตั้งแต่จีน ฝรั่ง แขก มอญ รวมถึงลาว ดังนี้
“๏ ฝ่ายข้างกรุงนั้นมาขึ้นหน้าที่เชิงเทินรักษาบ้านเมืองตรวจตราหน้าที่ทั้งกลางวันและกลางคืน หน้าที่ผู้ใดรักษาหน้าที่ผู้นั้น แล้วจึงขุนนางเจ๊กทั้งสี่คน คือ หลวงโชฎึก หลวงท่องสื่อ หลวงเนาวโชติ หลวงเล่ายา ทั้งสี่คนกับพวกเจ๊กเป็นอันมาก จึงอาสาออกไปตีค่ายสวนพลู ได้รบพุ่งกันเป็นอันมาก ฝ่ายฝรั่งมีชื่อ คือ กรุงพานิช ฤทธิสำแดง วิสูตรสาคร อังตน กับเหล่าฝรั่งเป็นอันมากนั้น อาสาออกตีค่ายบ้านปลาเห็ด ก็ได้รบพุ่งกันเป็นอันมาก บ้างล้มตายทั้งสองฝ่าย……ฯลฯ……แล้วจึงขุนนางแขกออกอาสา คือ หลวงศรียศ หลวงราชพิมล ขุนศรีวรขันธ์ ขุนราชนิทาน กับพวกแขกเทศ แขกจาม แขกมลายู แขกชวา บรรดาพวกแขกทั้งปวงเป็นอันมาก จึงตั้งพระจุฬาเป็นแม่ทัพ ยกออกไปตีค่ายบ้านป้อม ฝ่ายแม่ทัพแขกข้างพม่าชื่อเนโมยกุงนรัดเป็นแม่ทัพได้รบกันกับพระจุฬาบ้าง ก็ล้มตายเจ็บป่วยด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหล่าพวกมอญขุนนางที่มีชื่อ คือ หลวงเถกิง พระบำเรอภักดี พระยาเกียรติ พระยาพระราม กับเหล่ามอญบ้านสามโคก บ้านป่าปลา บ้านหัวรอ กับพวกมอญทั้งปวงออกอาสา ได้รบกันเป็นอันมาก แล้วจึงเหล่าลาวขุนนางมีชื่อ แสนกล้า แสนหาญ แสนห้าว เวียงคำกับพวกลาวกองหาญทั้งปวงเป็นอันมาก ออกอาสาตีค่ายพม่าได้รบพุ่งกัน”
จากเอกสารนี้บอกให้รู้ว่า บรรดาชาวต่างชาติที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารทั้งที่อาศัยอยู่ภายในเมืองหลวงและบริเวณรอบๆ เมืองหลวงนั้น ไม่ว่าจะเป็นทหารอาสาสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือรับราชการเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนทั้งที่มีชื่อเสียงยศศักดิ์และที่ไร้ยศไร้ชื่อ เป็นแค่คนทำมาหากินค้าขายย่านต่างๆ ในกรุงศรีอยุธยา
เมื่อยามเกิดศึกสงคราม เกิดภัยใหญ่หลวงขึ้น ชาวต่างชาติเหล่านี้มิได้เพิกเฉย หรือถือว่าธุระไม่ใช่ หาได้คิดว่าตนเป็นแค่คนอาศัยแต่อย่างใดไม่ ตรงกันข้ามต่างร่วมแรงร่วมใจกับชาวไทยปกป้องผืนแผ่นดินไทยสุดกำลัง ดังปรากฏเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ดังที่ยกมาข้างต้น
มีเรื่องราวทหารนานาชาติอีกมากในวรรณคดีไทย ไว้คุยต่อฉบับหน้า