เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

ศาสนาผี ที่ปราสาทตาเมือนธม

06.07.2025

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ครั้งหนึ่ง นายพันตรีเอเตียง อายโมนิเยร์ (Étienne Aymonier, พ.ศ.2387-2472) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการกรุงกัมพูชา ควบตำแหน่งนักสำรวจ และนักภาษาศาสตร์ เข้ามาสำรวจประเทศไทย ลาว และกัมพูชา ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5

และในคราวนั้นเอง เขาก็ได้เดินทางเข้าสำรวจพร้อมกับได้ทำผัง “ปราสาทตาเมือนธม” ไว้ตั้งแต่ในครั้งนั้นด้วย

ภายหลังการสำรวจอายโมนิเยร์ได้ตีพิมพ์บันทึกการเดินทางชื่อว่า Le Cambodge. II : Les Provinces Siamoises ซึ่งต่อมาได้มีผู้นำไปแปลเพื่อจำหน่ายเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษในชื่อว่า Khmer Heritage in Thailand (อาจแปลเป็นไทยได้ว่า มรดกวัฒนธรรมเขมรในประเทศไทย)

ที่จริงแล้ว อายโมนีเยร์ได้ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ล้อให้เหมือนเป็นตอนต่อของหนังสือ Le Cambodge I อันว่าด้วยเรื่องวัฒนธรรมเขมรโบราณในเขตประเทศกัมพูชา ที่ฝรั่งเศสได้ยึดครองไว้ในช่วงสมัยดังกล่าว

น่าสนใจว่า Le Cambodge. II : Les Provinces Siamoises ตีพิมพ์ครั้งแรกที่กรุงปารีส ปี พ.ศ.2444 ก่อนที่จะเกิดการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส นานถึง 6 ปี โดยผลจากการปักปันเขตแดนครั้งนี้แหละ ได้ทำให้เกิดเป็น “แผนที่” 1 : 200,000 ที่ฝ่ายกัมพูชา นำโดยสมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ ใช้อ้างว่าเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาเมื่อเกือบเจ็ดสิบปีก่อน และก็เป็นแผนที่ฉบับเดียวกันกับที่ สมเด็จฮุน เซน และใครอีกหลายคนในกัมพูชา ใช้อ้างถึงเส้นเขตแดนที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันนี้

แน่นอนว่า หมายรวมถึงกรณีปัญหาปราสาทตาเมือนธมด้วย

อายโมนิเยร์กล่าวถึงปราสาทตาเมือนธมว่า มีบันไดทางขึ้นจากด้านทิศใต้ คือเขตประเทศกัมพูชาปัจจุบัน โดยที่เขาไม่ได้อ้างพาดพิงถึงเขตเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่าง “สยาม” และ “กัมพูชา” รัฐในอาณานิคมของฝรั่งเศสเลย

ต้องอย่าลืมด้วยว่า เขากำลังเขียนถึงมรดกอารยธรรมเขมรในประเทศไทย ในช่วงสมัยที่ฝรั่งเศสกำลังคลั่งล่าอาณานิคม โดยเฉพาะส่วนผืนดินทับซ้อนที่ไม่รู้ว่าเป็นของไทย หรือกัมพูชา เพราะในขณะที่หนังสือเล่มนี้ของอายโนนิเยร์ถูกตีพิมพ์ออกมานั้น ยังไม่มีการปักปันเขตแดน

และกว่าที่จะมีการปักปันเขตแดนร่วมกันระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ก็ต้องรอจนถึง พ.ศ.2450 โน่นเลย

ดังนั้น การที่อายโมนีเยร์เลือกที่จะกล่าวถึง “ปราสาทตาเมือนธม” เอาไว้ในหนังสือ Le Cambodge. II : Les Provinces Siamoises ซึ่งพูดถึงมรดกวัฒนธรรมโบราณที่พบในเขตประเทศสยาม ไม่ใช่ Le Cambodge I ที่ว่าด้วยเรื่องของมรดกวัฒนธรรมโบราณ ที่พบในเขตประเทศกัมพูชานั้น จึงแสดงให้เห็นถึงนัยยะ และมุมมองบางอย่างของชาวฝรั่งเศส ในช่วงก่อนหน้าที่จะมีการเซ็นสนธิสัญญาและอนุสัญญา ระหว่างสยามและฝรั่งเศส ร.ศ.122/ค.ศ.1904 ในปี พ.ศ.2447 อันจะนำมาซึ่งการปักปันเขตแดนในอีก 3 ปีต่อมา

โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการที่อายโมนิเยร์เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการกรุงกัมพูชา ของฝรั่งเศส

แต่ในหนังสือ Le Cambodge. II : Les Provinces Siamoises เล่มเดิมนี้ ก็ได้บรรยายไว้ด้วยว่า บริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมมีผู้เดินทางเข้ามาน้อยมาก (the very rare travelers) เข้าใจว่าคงเป็นพื้นที่บ้านป่า (อย่างที่อายโมนิเยร์พรรณนาไว้) ที่ไม่ใคร่จะมีผู้สนใจทั้งไทย และกัมพูชาในอาณัติของฝรั่งเศส

ดังนั้น ถ้าอายโมนิเยร์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเห็นสถานการณ์ของปราสาทตาเมือนธม ณ ขณะจิตนี้ เขาก็อาจจะงุนงนสนเท่ห์น่าดูเลยว่า ทำไมพื้นที่บริเวณที่เขาเคยนิยามไว้ว่า เป็นบ้านป่า ที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนนี้ จึงกลายเป็นพื้นที่ที่ผู้คนสนใจกันนัก และต่างอยากได้มาครอบครองไว้ในชาติของตนเอง?

แต่อันที่จริงแล้ว ปราสาทตาเมือนธมตั้งอยู่ที่ตรงบริเวณ “ช่องเขา” ซึ่งก็เปรียบเสมือนทางด่วนให้ผู้คนในสมัยโบราณสัญจรไปมาระหว่างที่ราบสูงโคราช กับที่ราบลุ่มตนเลสาบเขมรได้โดยไม่ต้องไปอ้อมเทือกเขาพนมดงรัก (เขมรเรียก พนมดงเร็ก) ให้เสียเวลา

และนั่นก็คงจะเป็นเหตุผลให้มีการสร้าง “ปราสาท” หลังต่างๆ ตั้งอยู่ที่บริเวณช่องเขาเหล่านี้ โดยเฉพาะช่องเขาที่สำคัญ อันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักในโลกโบราณ ซึ่งก็หมายรวมถึง “ปราสาทตาเมือนธม” ซึ่งตั้งอยู่ที่ “ช่องตาเมือน” ด้วยนั่นแหละ

นอกจากนี้แล้ว ใกล้ช่องตาเมือนยังมีการสร้าง “ปราสาทตาเมือน” (บางครั้งเรียก ปราสาทตาเมือนบายกรีม) และปราสาทตาเมือนโต๊จ ในช่วงก่อน พ.ศ.1800 เล็กน้อย ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1724-1758 แต่บ้างก็ว่าถึง พ.ศ.1761) กษัตริย์แห่งวงศ์มหิธรปุระ ซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจเดิมของราชวงศ์เดิมอยู่แถบพิมาย อีก 2 หลัง

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นผู้สถาปนาเมือง “นครธม” หรือเมืองพระนครหลวง ขึ้นทับเมืองพระนครเดิม จารึกของพระองค์ยังได้กล่าวถึง “ราชมรรคา” ซึ่งมักจะแปลกันว่าคือ ถนนของพระราชา ที่พระองค์ได้สร้าง “วหนิคฤหะ” (แปลตรงตัวว่า บ้านที่มีไฟ) ขึ้นเป็นที่พักสำหรับคนเดินทาง (หรือที่นักวิชาการมักเรียกโดยกันในชั้นหลังว่า ธรรมศาลา) บนราชมรรคา และยังสร้างศาสนสถานประจำ “อโรคยศาล” ที่ในจารึกเรียกว่า “สุคตาลัย” ไว้บนถนนของพระราชาที่ว่านี้ด้วยเหมือนกัน

เมื่อเปรียบเทียบจากรูปแบบของอาคารแล้ว “ปราสาทตาเมือน” ก็คือ “ธรรมศาลา” (วหนิคฤหะ ตามจารึก) ส่วนปราสาทตาเมือนโต๊จก็คือ “สุคตาลัย” ประจำอโรคยศาล ดังนั้น พื้นที่บริเวณที่ตั้งของกลุ่มปราสาทตาเมือน ที่ช่องตาเมือนนี้ จึงตั้งอยู่ในเส้นทางคมนาคม ที่จารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เรียกว่า “ราชมรรคา” นั่นเอง

เอาเข้าจริงแล้ว ความเห็นของอายโมนิเยร์ในเรื่องนี้จึงอาจจะไม่สามารถใช้อธิบายถึงโลกในยุคเก่าก่อนสมัยที่อายโมนิเยร์เข้ามาในอุษาคเนย์ได้แน่ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วคนโบราณท่านจะมาสร้างปราสาทใหญ่โตเอาไว้ในบ้านป่า ที่ร้างไร้ผู้คนทำไมกันเล่าครับ?

แต่นอกเหนือจากการที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณช่องเขา อันเป็นเส้นทางคมนาคมโบราณแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้มีการสร้าง “ปราสาทตาเมือนธม” ขึ้นมานั้น ก็เป็นเพราะพื้นที่บริเวณที่ตั้งของปราสาทแห่งนี้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ใน “ศาสนาผี” มาก่อน

เมื่อพิจารณาจากรูปแบบศิลปะของปราสาทตาเมือนธมแล้ว นักประวัติศาสตร์ศิลปะหลายท่านลงความเห็นว่า ควรเป็นงานรุ่นพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1553-1593) ผู้ครองราชย์ที่เมืองพระนคร แต่อาจจะมีเชื้อสายของราชสกุลของชาวจามปาผสมอยู่ในสายพระโลหิต

การค้นพบจารึกตาเมือนธม 4 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการถวายที่ดิน ปักหลักเขตของศาสนสถาน ตลอดจนการถวายสิ่งของบูชาเทพเจ้า กับจารึกตาเมือนธม 5 ที่อ้างถึงการถวายสิ่งของ และข้าทาสให้กับเทพเจ้า ซึ่งต่างก็พบในเขตปราสาทตาเมือนธม โดยมีปีมหาศักราชระบุตรงกับเรือน พ.ศ.1556 และ 1563 ตามลำดับ อันเป็นปีในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ก็ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่า ปราสาทแห่งนี้สร้างในรัชสมัยของพระองค์

อย่างไรก็ตาม ปราสาทตาเมือนธมสร้างครอบทับอยู่บน “ลานหิน” และมีรูปเคารพประธานของปราสาทเป็น “ศิวลึงค์” ซึ่งโกลนขึ้นจากหินบนลานหินดังกล่าว โดยถือกันว่าเป็น “สวยัมภูวลึงค์” คือศิวลึงค์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ที่พวกพราหมณ์นับถือว่าเป็นศิวลึงค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์

โดยนัยยะแล้ว “สวยัมภูวลึงค์” ที่ปราสาทตาเมือนธมนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งของลานหิน เพราะส่วนฐานของตัวหินที่ตัดแต่งให้เป็นรูปศิวลึงค์นี้ ก็ยังเป็นหินก้อนเดียวกันกับลานหิน ไม่ได้ถูกตัดแยกขาดออกมาจากลาน

เราจึงอาจเห็นร่องรอยได้อย่างไม่ยากเย็นนักว่า มีการนับถือลานหินนี้มาก่อนหน้าที่จะมีการสร้างปราสาทตาเมือนธมขึ้นในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1

ซึ่งก็ดูจะสอดรับกันดีกับหลักฐานของจารึกหลักอื่นๆ ที่พบในปราสาทแห่งนี้ เช่น จารึกตาเมือนธม 9 ที่มีมหาศักราชระบุตรงกับปี พ.ศ.1421 ที่ชี้แจงถึงที่ดินของศาสนสถานตามทิศต่างๆ ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 3 (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.1393-1420) และภายหลังจากที่พระองค์สวรรคตไปแล้ว

น่าสังเกตด้วยว่า จารึกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 3 นั้น มักจะเอ่ยถึงการที่พระองค์ทรงไปจับช้าง (คล้องช้าง?) และบนลานหินที่ปราสาทตาเมือนธมนี้ก็มีลายสลักรูปช้างอยู่บนลานหิน ซึ่งก็เป็นไปได้ด้วยว่า เป็นลวดลายที่มีมาก่อนการสร้างปราสาท

และ “ช้าง” ก็เป็นสัตว์ที่สำคัญ และเฮี้ยนศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาผีของอุษาคเนย์ ดังจะเห็นได้จาก “ผี” ที่สำคัญที่สุดในศาสนาผี ก็คือ “ผีปะกำ” (ในโองการแช่งน้ำเรียก พระกรรมบดีปู่เจ้า”) ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับช้าง

อนึ่ง ปราสาทหลายหลังซึ่งสร้างขึ้นในพื้นที่ต่อเนื่องกับเทือกเขาพนมดงรักนี้มักมีลายสลักรูปช้างอย่างน่าสนใจ เช่น ปราสาทวัดพู ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศลาว ก็มีการสลักหินธรรมชาติก้อนใหญ่ ด้วยลายสลักบางๆ เป็นรูปช้าง จนทำให้ดูราวกับว่าหินก้อนนั้นก็คือช้างทั้งตัว หรือหน้าบันที่ปราสาทประธานของปราสาทพระวิหาร ก็สลักรูปพระอิศวรฟ้อนรำ (อย่างที่แขกพราหมณ์เรียกว่า พระศิวะนาฏราช) ทรงวีณาในพระหัตถ์ และเหยียบอยู่บนหัวช้าง เป็นต้น

จารึกตาเมือนธม 1 ดูจะเป็นจารึกที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของลานหินที่ปราสาทตาเมือนธมมากที่สุด เพราะเป็นจารึกที่สลักลงบนลานหิน เช่นเดียวกับที่มีการสลักรูปช้างลงไปบนลาน โดยจารึกดังกล่าวมีเนื้อความกล่าวถึงการบูชาพระศิวะ กำหนดอายุจากรูปแบบตัวอักษรได้ว่า จารขึ้นเมื่อช่วงระหว่าง พ.ศ.1100-1200 นับเป็นจารึกที่เก่าที่สุดที่พบในปราสาทแห่งนี้ และก็แสดงให้เห็นถึงการใช้ลานหินแห่งนี้โดยนัยยะเชิงพิธีกรรม และความเชื่อที่มีมาก่อนการสร้างตัวปราสาทหลายร้อยปี

น่าสังเกตด้วยว่า ในจารึกตาเมือนธม 5 ระบุชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของปราสาทแห่งนี้ว่า “กมรเตง ชคัต ศิวบาท” ทั้งที่ภายในปราสาทประธานเป็น “สวยัมภูวลึงค์” ไม่ใช่ “ศิวบาท” คือ “รอยบาทของพระศิวะ” เสียหน่อย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราอาจเทียบเคียงจากอะไรคล้ายๆ กันในศาสนาพุทธ คือ “รอยพระพุทธบาท” เพราะหากจะว่ากันตามตำนานเรื่อง รอยพระพุทธบาททั้ง 5 รอย ที่พระพุทธเจ้าได้เคยประทับเอาไว้ตามคัมภีร์ของฝ่ายพุทธแล้ว พระคัมภีร์ที่ชื่อ ปปัญจสูทนี ในปุณโณวาทสูตร นั้นระบุว่า พระพุทธเจ้าได้ประทับรอยพระพุทธบาทลงบน “ก้อนหิน” ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบนฝั่งแม่น้ำนัมมทา หรือบนยอดเขาสัจจพันธ์คีรี เขาสุวรรณบรรพต เขาสุวรรณมาลิก เขาสุมนกูฏ และเมืองโยนก

และ “ก้อนหิน” โดยเฉพาะหินก้อนใหญ่นั้น เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาผีโบราณทั่วทั้งโลก แน่นอนว่ารวมไปถึง “ลานหิน” ด้วย

เป็นไปได้ว่า ก่อนหน้าที่จะมีการสร้างปราสาทตาเมือนธมนี้ ได้มีการใช้ “ลานหิน” บริเวณดังกล่าวเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาผีมาก่อน ต่อมาเมื่อมีการยอมรับเอาศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาแล้ว ก็ได้มีการเปลี่ยนพื้นที่ลานหินดังกล่าวจับบวชเข้าเป็นพราหมณ์ ดังปรากฏมีจารึกที่มีข้อความบูชาพระศิวะบนลานหินมาตั้งแต่ช่วง พ.ศ.1100-1200 แล้ว

แถมยังเป็นไปได้อีกว่า จะมีการใช้แนวคิดเรื่องพระศิวะเคยมาประทับรอยพระบาทเอาไว้ที่ลานหินแห่งนี้ ในทำนองเดียวกับความเชื่อเรื่องพระพุทธบาท ดังปรากฏมีชื่อ “กมรเตง ชคัต ศิวบาท” เพื่อโอนถ่ายความศักดิ์สิทธิ์ของลานหินจากศาสนาผี มาเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

แต่ต่อมาก็ได้มีการสร้างปราสาทตาเมือนธมขึ้นคร่อมทับอยู่บนลานหินแห่งนี้ แล้วดัดแปลงรูปทรงบางส่วนของลานหิน ให้เป็น “สวยัมภูวลึงค์” แต่ยังใช้ชื่อเรียกตามชื่อเดิมที่มีมาก่อนว่า “กมรเตง ชคัต ศิวบาท” นั่นเอง



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ฟังเสียง ‘เยาวชน’ | ปราปต์ บุนปาน
“One Plan” โมเดลใหม่ ขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกพื้นที่
ตลาด..ชีวิตและความหวัง | เรื่องสั้น : มีนา ฟ้าศุกร์
ทำเล
ไม้ดัดในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร | กวีกระวาด : สิริวตี
ดาวกับดวงวันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม 2568
‘กฤษฎีกา-เพื่อไทย’ มองต่างมุม ไพ่ในมือรักษาการนายกฯ ผ่าทางตัน ‘ยุบสภา’ ได้หรือไม่ได้
ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
‘ภูมิธรรม’ จัดแถวมหาดไทย ล้างบาง ‘สิงห์น้ำเงิน’ ประเดิมย้าย 2 อธิบดีเข้ากรุ จับตา ‘เขากระโดง’ เปิดแผล ‘ปราสาทสายฟ้า’
แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ
สวนสาธารณะสูงวัย : สังคมภายนอกครอบครัว และบทเรียนจากเฉิงตู