เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

อำนาจในการบริโภค และประชาธิปไตยกินได้ | คำ ผกา

08.10.2024

มหากาพย์ของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ แต่เดิมนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตตั้งอยู่บนฐานคิดสามประการด้วยกันคือ

หนึ่ง เศรษฐกิจไทยถดถอยวิกฤตโคม่า จำเป็นต้องใช้ยาแรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และไม่น่าจะมีวิธีไหนที่ดีไปกว่าการใช้เงินจากรัฐบาลเติมลงไปในระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นความสามารถในการบริโภค ใช้กระเป๋าเงินของประชาชนเป็นเครื่องมือในการกระจายเม็ดเงินนี้ออกไปให้กว้างขวาง พูดง่ายๆ คือแจกเงินให้ประชาชนนำไปจับจ่ายใช้สอย

สอง ไหนๆ ก็จะเติมเงินลงในระบบ ควรให้มีผลพลอยได้อย่างอื่น จึงเป็นที่มาของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นั่นคือแทนที่จะจ่ายเป็นเงินสดจะจ่ายในรูปของ “สิทธิการใช้จ่าย” มูลค่าหนึ่งหมื่นบาท

สาม หากทำสำเร็จ ผลลัพธ์สุดท้ายที่จะเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบราชการคือจะใช้โอกาสนี้สร้างแอพพลิเคชั่นที่เป็น one stop service ในการให้บริการประชาชนจากหน่วยงานราชการ เพื่อเปลี่ยนสู่การเป็น E Government ซึ่งมันไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรง ใครเคยไปทำพาสปอร์ต จะรู้ว่าสมัยนี้สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้กระดาษเอกสารแม้แต่แผ่นเดียว

นี่คือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ของนโยบายที่วางแผนไว้

 

แต่เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล ด่านแรกที่เจอคือ การทักท้วงทั้งจากสภาพัฒน์ ทั้งจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งข้อท้วงติงว่าการกู้เงินอาจผิดกฎหมายหากพิสูจน์ไม่ได้ว่าเศรษฐกิจ “วิกฤต” ชนิดที่ต้องกอบกู้อย่าง “เร่งด่วน” หรือไม่

(ทั้งนี้ ฉันจะละเว้น ไม่พูดถึง ศิริกัญญา ตันสกุล จากฝ่ายค้านที่ชัดเจนว่า ค้านนโยบายนี้หัวชนฝา ที่ตัวฉันเองก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันว่าเหตุผลที่เธอค้านคืออะไรกันแน่ เพราะบางวันเธอก็พูดว่า เศรษฐกิจไม่วิกฤต, บางวันเธอก็พูดว่านโยบายนี้เกิดไม่ได้เพราะไม่มีช่องเอาเงินงบฯ มาใช้โดยไม่เสี่ยงคุก, บางวันเธอก็พูดว่าหากรัฐบาลดึงดันจะทำดิจิทัลวอลเล็ตเธอจะไปยื่นฟ้องศาล, บางวันเธอก็พูดว่ารัฐบาลตั้งใจทำนโยบายนี้เพื่อให้มีคนไปร้องว่าผิดกฎหมายแล้วศาลสั่งไม่ให้ทำ รัฐบาลฉวยโอกาสนี้เป็นทางลงที่จะไม่ทำนโยบายนี้ให้สำเร็จ, บางวันเธอก็บอกว่าควรแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง, บางวันเธอก็บอกว่านโยบายคนละครึ่งของประยุทธ์ จันทร์โอชา ดีกว่า, บางวันเธอก็ออกมาท้าทายว่าคอยดูนะ จะไม่มีใครได้เงินหมื่นแม้แต่คนเดียว)

เมื่อถูกทักท้วงเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลต้องถอยไปทำตัวเลขใหม่ สุดท้ายตัดสินใจตัดคนที่รายได้ 70,000 บาทขึ้นไป กับคนที่มีเงินเก็บ 500,000 บาทออก โดยใช้เกณฑ์ว่าคนกลุ่มนี้แม้ได้สิทธิการใช้จ่ายหมื่นบาทก็ไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ (ซึ่งก็โดนคนด่ามาก เพราะคนแก่หลายคนมีเงินเก็บห้าแสนก็จริงแต่ไม่ได้มีรายได้มากนัก บางคนก็มีห้าแสนนั้นเป็นเงินเก็บก้อนเดียวในชีวิตที่ต้องกระเบียดกระเสียรใช้จนตาย)

จบที่คนได้สิทธินี้ประมาณห้าสิบล้านคน ในคอนเส็ปต์เดิมคือเป็นดิจิทัลวอลเล็ต

ทุกอย่างเหมือนจะนิ่งและใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการประกาศให้โหลดแอพพ์ทางรัฐ เพราะจะใช้แอพพ์ในการลงทะเบียนรับสิทธิและยืนยันสิทธิ ยอดคนที่ลงทะเบียนรับสิทธิประมาณ 36 ล้านคน เข้าใจว่าที่เหลือคือคนที่รอลงทะเบียนรับสิทธิแบบไม่มีสมาร์ตโฟน

แต่แล้วฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น จะเป็นเพราะเงินสำหรับดิจิทัลวอลเล็ตสำหรับปีนี้มีแค่แสนห้าหมื่นล้าน และจำเป็นต้องใช้ภายในปีงบประมาณ?

การพยายามหาเงินมาจากแหล่งอื่นมาเติมเพื่อให้ครอบคลุมคนห้าสิบล้านคนสุ่มเสี่ยงที่จะถูกร้อง สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอนโดยใช่เหตุ และจะพลอยให้งานด้านอื่น นโยบายอื่นๆ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนพลอยสะดุดไปด้วย ประกอบกับระบบที่จะรองรับการลงทะเบียนร้านค้าที่รับดิจิทัลวอลเล็ตมาแล้วจะนำมาขึ้นเป็นเงินสดซึ่งน่าจะต้องมีรายละเอียดเพื่อป้องกันช่องโหว่ เช่น ร้านค้าเล็กๆ หากแปรมูลค่าในวอลเล็ตเป็นเงินสดได้ช้าเกินไปอาจจะเกิดปัญหาสภาพคล่อง เป็นต้น

เหล่านี้อาจจะทำให้รัฐบาลกลับไปคิดสะระตะแล้วเห็นว่า ควรนำเงินแสนกว่าล้านนี้ไปแจกให้กลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดก่อน คนละหนึ่งหมื่นบาท และเปิดให้ใช้แบบไม่ต้องมีเงื่อนไข

ไม่ต้องจำกัดว่าต้องใช้ให้หมดภายในหกเดือน ไม่ต้องมีเงื่อนไขว่าห้ามเอาไปใช้หนี้ ห้ามเอาไปซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ต้องเอาไปซื้อของในร้านค้าภายในตัวอำเภอเท่านั้น บนฐานคิดว่า

หนึ่ง คนที่เปราะบางที่สุด เมื่อเงินหมื่นถึงมือ พวกเขาจะนำไปใช้ทันที นั่นแปลว่า การกระจายตัวของเม็ดเงินในวงกว้างจะเกิดขึ้นทันที

สอง เงินหมื่นบาทนี้จะส่งผลในเชิงบรรเทาทุกข์ทางเศรษฐกิจแก่คนเปราะบางมากกว่าคนไม่เปราะบาง

สาม ตัวเลขหนึ่งหมื่นบาท เป็นจำนวนที่มากพอจะเป็นเงินลงทุนเปลี่ยนชีวิต เมื่อเทียบกับการให้เดือนละห้าร้อย เดือนละพัน ที่จะกลายเป็นเบี้ยหัวแตก ซื้อแค่กะปิ น้ำปลา ไข่ไก่

 

สารภาพว่าตัวฉันในฐานะที่เป็นชนชั้นกลางประเมินค่าเงินหนึ่งหมื่นบาทน้อยเกินไป

สำหรับเราเงินหนึ่งหมื่นบาท ไม่ใช่จำนวนเงินที่น้อย แต่ก็ไม่ได้มากขนาดจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในชีวิต

คนชั้นกลางที่อาจจะผ่อนบ้านเดือนละสองหมื่น ผ่อนรถเดือนละหมื่น หรือซื้อน้ำหอมขวดละสามพัน สี่พัน หรือแม้กระทั่งอาจจะใช้เซรั่มบำรุงผิวขวดละหกพัน ย่อมไม่เข้าใจว่าเงินหมื่นเป็นจำนวนที่มีความหมายขนาดไหน

เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงรู้สึก “เฟล” ที่นโยบายอย่างดิจิทัลวอลเล็ต ที่เรามองว่า ไม่ใช่แค่การแจกเงิน แต่เป็นการวางรากฐานโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ เป็นนโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอย่างแยบยล

ส่วนการได้เงินหมื่น หรือการได้คูปองมาจับจ่ายหนึ่งหมื่นบาท เป็นแค่ของแถม เป็นเพียงเงินติดปลายนวม

และตัวฉันเองถึงกับเคยพูดว่า

“นโยบายนี้ถ้าทำไม่ได้ตามที่หาเสียงไว้ใหญ่โตก็ล้มเลิกไปก่อนเถอะ อย่าเพิ่งทำเลย ดันทุรังทำไปครึ่งๆ กลางๆ ให้คนด่าไม่คุ้ม”

ฉันมานั่งตรองดูอีกครั้งก็รู้สึกผิดที่พูดอย่างนี้ เพราะฉันพูดบนพื้นฐานของคนที่ไม่เข้าใจว่าคนที่รอคอยจะได้เงินก้อนนี้ เขาตั้งความหวังไว้ขนาดไหน และการรอคอยของพวกเขามันสลักสำคัญแค่ไหน ฉันซึ่งไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินนั้นคิดอย่างเห็นแก่ตัวมากๆ นั่นคือคิดถึงแต่ตัวเอง ฉันคิดแค่ว่า ฉันในฐานะ “นางแบก” ฉันออกตัวปกป้องนโยบายนี้ไว้เยอะมาก จะค้นดิจิทัลฟรุตพรินต์ไปเท่าไหร่ๆ ก็จะเจอคลิปของฉันพูดว่า

“นี่ไม่ใช่นโยบายแจกเงินๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

ขุดลงไปให้ลึกสุดใจ ฉันต้องยอมรับว่า ฉันเฟลเพราะฉันเสียหน้าเท่านั้นเองที่สุดท้ายดิจิทัลวอลเล็ตเป็นเพียงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินให้คนกลุ่มเปราะบาง ในแบบที่เราเคยเย้นหยันคนอื่นเอาไว้มาก

 

แต่ ณ ตอนนี้ เมื่อฉันเห็นความสุขของเพื่อนร่วมชาติ 14.5 ล้านคนที่ได้รับเงินหนึ่งหมื่นบาทจากรัฐบาลจากภาษีของประชาชน ฉันยอมรับเลยว่า ฉันพร้อมจะเฟลอีกกี่ครั้งก็ได้ ฉันพร้อมจะเสียหน้าอีกกี่ครั้งก็ได้ ฉันไม่แคร์ว่าดิจิทัลฟรุตพรินต์ของฉันจะตามมาหลอกหลอนอย่างไร เพราะการเสียหน้าของฉันเทียบไม่ได้เลยกับความสุข ความหวัง ความปีติที่มันเอ่อล้นออกมาจากคนที่สัมผัสธนบัตรหนึ่งพันบาทสิบธนบัตรนั้น

การแจกเงินครั้งนี้ต่างจากการแจกเงินที่ผ่านมาอย่างไร?

จำช่วงโควิดได้ไหม? ณ ตอนนั้นฉันเรียกร้องมาตลอดว่า รัฐบาลไทยควรทำเหมือนหลายประเทศที่กระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนไปพร้อมๆ กันผ่านการแจกเงินให้ประชาชนทุกคนในจำนวนที่มากพอที่จะให้ชีวิตหรือชดเชยรายได้จากธุรกิจที่เสียหายในช่วงโควิด และเป็นการแจกแบบที่ไม่ต้องมาคัดกรองคนจน ไม่ต้องพิสูจน์สิทธิ์ ไม่ต้องมาแย่งกันลงทะเบียนเหมือนการชิงเปรต

และในที่สุดรัฐบาลไทย ณ เวลานั้นก็ไม่ได้ทำ แต่หันไปทำเราเที่ยวด้วยกัน ทำโครงการคนละครึ่ง ซึ่งมันเป็นการให้แบบกะปริบกะปรอยเหมือนไปยืนฉี่อยู่กลางทะเลทราย ที่ของเหลวมีแต่จะระเหยหายวับไปกับความร้อนและความแห้งแล้ง

นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่รัฐบาลตัดสินใจแน่วแน่ว่า แจกไปเลย ไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องพิสูจน์สิทธิ์ ลงทะเบียน เพราะจะใช้ฐานข้อมูลเดิมที่มีอยู่แล้ว นั่นคือคนที่ถือบัตร “คนจน” กับคนที่ถือบัตร “คนพิการ” และให้เงินหลักหมื่น ไม่ใช่หลักร้อย ไม่ใช่หลักพัน ไม่ได้แบ่งให้เป็นงวดๆ แต่ให้ครั้งเดียวไปเลยหนึ่งหมื่นบาท

 

ป้าน้องคนบ้านสันคะยอมบอกฉันว่า

“นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรารู้สึกว่ามีใครสักคนแคร์เรามากขนาดนี้ รักเรามากขนาดนี้”

และตามที่เราเห็นในข่าว คุณยายอายุ 89 นับเงินมือสั่นๆ บอกว่าจะเอาไปซื้อทุเรียนกิน อยากกินมานานมาก แล้วเราก็เห็นภาพคุณยายกินทุเรียนด้วยความสุขล้นพ้น และใครจะรู้ว่าหากไม่มีเงินหมื่นนี้ ยายจะมีชีวิตอยู่อีกกี่ปี และความฝันแค่อยากกินทุเรียนอาจจะไม่มีเป็นจริงจนตาย

เราเห็นคนที่กดเงินแล้วมีเงินออกมาจริงๆ แล้วเป็นลมไปเลย

เราเห็นคนที่ได้เงินมาแล้วกำแบงก์พันไปตลาดนัดอย่างอกผายไหล่ผึ่งเป็นครั้งแรก

เราเห็นคนแก่กันไปซื้อข้าวสารเป็นกระสอบกลับบ้าน พร้อมกับบอกว่า นี่เป็นการซื้อข้าวสารยกกระสอบเป็นครั้งแรกในชีวิต

เราเห็นคนไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์มือสอง

เราเห็นคนไปซื้อรถตัดหญ้า

ไปซื้อมุ้ง

ไปซ่อมบ้าน พาหลานไปกินหมูกระทะ พาหลานไปกินเคเอฟซี เพราะอยากรู้มานานแล้วว่าไก่เคเอฟซีเป็นยังไง

เราเห็นคนเอาเงินเจ็ดพันบาทไปซื้อเส้นไหมมาทอผ้า

ที่สำคัญเราเห็นคนเอาไปซื้อสมาร์ตโฟนที่ราคาสาม-สี่พันบาท เราซึ่งเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นรุ่นใหม่ๆ ตลอดเวลา เรานึกไม่ออกว่าสมาร์ตโฟนยังเป็นของเกินเอื้อมของคนจำนวนมากในประเทศนี้ และนั่นทำให้เราจินตนาการได้ต่อไปอีกว่า สมาร์ตโฟนนี้จะกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้ชีวิตของเขามีความสุขขึ้น

อาจจะได้ใช้ไลน์ในการแชตกับลูกหลานที่ทำงานอยู่ไกล อาจจะได้หัดไลฟ์ติ๊กต็อก หรืออะไรก็สุดจะหยั่งรู้ แต่ที่แน่ๆ ในยุคสมัยนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสมาร์ตโฟนเหมือนไฟฟ้า ถนน น้ำประปา

มันเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยอะไรเลย

 

บางคนเอาไปใช้หนี้ ซึ่งศิริกัญญาคนเก่งที่สุดของพรรคสีส้มบอกว่า มันจะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ฉันคิดว่า ถ้าเขาเอาเงินหมื่นไปปลดหนี้บ้าง แสดงว่าคนเหล่านั้นจะมีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้นจากรายรับที่ไม่ต้องถูกหักไปใช้หนี้ มีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้นก็เอาไปซื้อของใช้ของกินได้มากขึ้น

สุดท้ายก็วนกลับมาที่การกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ดี ไม่มีทางที่มันจะแปรเป็นอย่างอื่น

บางคนอาจเอาไปกิน เอาไปเที่ยว ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ซึ่งฉันคิดว่า “แล้วไง?” เอาไปใช้ก็ถือว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ ก็บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการนี้แล้ว

ส่วนใครสามารถเอาไปต่อยอดได้ก็ถือเป็นเรื่องดีๆ ของแต่ละบุคคล ที่แน่ๆ เงินนี้ทำให้คนจำนวนมากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น บางคนได้ที่นอนใหม่ บางคนได้ส้วมใหม่ บางคนได้ตู้กับข้าว บางคนได้โต๊ะเขียนหนังสือให้ลูก บางคนได้ค่าเทอมลูก บางคนบอกว่าได้พาหลานไปกินสเต๊กลุงหนวด และนี่เป็นการกินสเต๊กครั้งแรกในชีวิต

สำหรับฉันแค่ประสบการณ์ของเด็กกับรสชาติของอาหารที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแค่ความฝัน และหากเงินหมื่นนี้ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริง

ความคุ้มค่าของเงินหมื่นก็เกิดขึ้นแล้ว

 

ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถามเลยว่าคุ้มไหมกับการเอาภาษีของคนทั้งประเทศไปแจกเงินหมื่นให้คนกลุ่มเประบาง

สำหรับฉันมันคุ้มเกินคุ้ม เงินหมื่นที่คนจนได้ไปไม่ได้หายไปไหน เขานำไปซื้อของทันที บริโภคทันที เงินจากรัฐบาล ไปที่ตู้เอาทีเอ็ม จากตู้เอทีเอ็มไปตลาด ไปที่แม่ค้าหมู ผัก ไข่ ข้าวสาร ไปร้านขายวัสดุก่อสร้าง ไปร้านขายที่นอน ไปร้านขายเครื่องมือกการเกษตร ไปร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปทุกหนทุกแห่ง

นั่นแปลว่า พ่อค้า แม่ขายที่ไม่ได้เงินหมื่น กลับได้เงินหลายหมื่นจากผู้คนที่พากันมาใช้เงินนี้ตอบสนองความต้องการของตนเอง

มากไปกว่านั้น รอยยิ้ม ความสุข ความสมหวัง ฝันที่เป็นจริงของคนนับสิบล้านคนที่เนรมิตได้จากเงินแค่หมื่นเดียว คนนับสิบล้านที่เป็นเพื่อนร่วมชาติของเราที่เป็นชายขอบของชายขอบที่ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบจากความเหลื่อมล้ำปัญหาเชิงโครงสร้างมาหลายทศวรรษ

วันนี้คืนรอยยิ้ม มอบความสุข มอบพละกำลังอำนาจที่เกิดขึ้นผ่านแบงก์พันสิบใบในมือเขากลายเป็นพลังแห่งความหวังที่เขากำหนดได้บนเจตจำนงของเขาเอง

คำว่ารัฐบาลที่แคร์ประชาชน คำว่ารัฐบาลที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง คำว่าความสุขและรอยยิ้มของประชาชนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด มันจับต้องได้เป็นครั้งแรกอย่างเป็นรูปธรรมก็ในชั่วขณะที่มีแบงก์พันสิบใบอยู่มือนั่นแหละ

และอย่าลืมว่านี่เป็นภาษีที่พวกเขาก็จ่ายมาตลอดชีวิตเช่นเดียวกัน

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

ภาษีปนาวุธ ทรัมป์ถล่มข้ามทวีป ทีมไทยแลนด์ร่อแร่
แค่ลมหายใจ ก็รู้ทันใดว่าอ้วน!!
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (12) เจ้านายสนับสนุนรัฐนิยมในสมัยสร้างชาติ
สวนสาธารณะสูงวัย : สังคมภายนอกครอบครัว และบทเรียนจากเฉิงตู
ดาวกับดวงวันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม 2568
อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร ? รู้จักอาชีพยอดฮิต พร้อมต้นแบบที่ประสบความสำเร็จ
33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (131)
เล่าถวาย ‘พระธรรมทูต’ | ธงทอง จันทรางศุ
อนุสาสน์ เทียนวรรณ บทนิยาม ใคร คนหนังสือพิมพ์ ปัญญาชน ไพร่กระฎุมพี
สถานการณ์จริงของผู้สูงอายุในประเทศไทย
ความอดทนอดกลั้น (Tolerance) : คุณธรรมพื้นฐานของโลกร่วมสมัย
พลเมืองไทย พลเมืองโลก ดูจากปัญหาแผนที่ | ธงชัย วินิจจะกูล