
MatiTalk วงการหนังไทย ในสายตาผู้กำกับมากฝีมือ บุญส่ง นาคภู่ ‘วูบวาบ มีสีสัน แต่ไม่ยั่งยืน’ คนดู-การเมืองไทย ยังพายเรือในอ่าง?

รายงานพิเศษ
MatiTalk วงการหนังไทย
ในสายตาผู้กำกับมากฝีมือ บุญส่ง นาคภู่
‘วูบวาบ มีสีสัน แต่ไม่ยั่งยืน’
คนดู-การเมืองไทย ยังพายเรือในอ่าง?
“จริงๆ โดยรวม ผมรู้สึกว่ามันวูบวาบ วงการหนังไทยเป็นอย่างนี้มานานแล้ว คือหนังเรื่องไหนได้เงิน ก็แห่ทำแบบนั้น คือเป็นเค้กอันหอมหวานที่คนภายนอกมองแล้วอยากจะลิ้มลองบ้าง แต่เมื่อได้ลองก็พบกับความจริงว่ามันไม่ง่าย เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของคนดู ซึ่งในความรู้สึกผมมันไม่ยั่งยืน” บุญส่ง นาคภู่ ผู้กำกับภาพยนตร์อิสระและนักแสดงมากฝีมือ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ MatiTalk ทางมติชนสุดสัปดาห์
แล้วทำอย่างไรถึงจะยั่งยืน บุญส่งชี้ว่า อย่างแรก คนดูต้อง stable ต้องเรียกร้องคุณภาพจริงๆ ไม่ใช่เรียกร้องรสชาติ และอุตสาหกรรมหนังต้องเป็นระบบมากกว่านี้ ซึ่งตอนนี้อุตสาหกรรมเป็นแบบ พวกใครพวกมันอยู่
ส่วนตัวของผมทำหนังแบบเล็กๆ มานานมากแล้ว เริ่มทำหนังอินดี้ ปี 2553 ‘คนจนผู้ยิ่งใหญ่’ จนถึงบัดนี้ ซึ่งช่วงมีคุณต้น (จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ แห่งโก๋ฟิล์ม) มาแชร์ เพราะว่าเราเห็นจิตวิญญาณซึ่งกันและกัน แต่ก่อนหน้านั้นผมดิ้นรน เงินทำหนังก็ไม่มี ไม่เคยมีค่าตัวในฐานะผู้กำกับฯ 10 ปีกว่า ซึ่งผมก็พยายามผลักดันเท่าที่ทำได้ในแบบปัจเจกชน ไม่มีโปรดิวเซอร์ ผมก็ทำได้แค่นั้น
ไปเมืองคานส์ก็ไม่ได้หรอก แต่ที่ผ่านมาก็ไปได้แทบทุกเรื่อง แต่เป็นเทศกาลเล็กๆ มันก็ไม่ได้รางวัลหรอก มันก็ไม่มีอะไรเติบโตเป็นเกียรติ และแล้วไงต่อ ผมก็ต้องดิ้นรนในประเทศนี้อยู่ดี เพราะว่าประเทศนี้มันไม่มีระบบส่งเสริมให้คนทำหนังได้ตลอดรอดฝั่งจนรู้สึกเหนื่อย แล้วอายุมากขึ้น
ดังนั้น ถ้าผมไม่บ้าจริงๆ แล้วปล่อยให้ผมทำแบบนี้ไปผมก็คงจะแผ่วไปในที่สุด และสุดท้ายผมก็อาจจะกลายเป็นนักเขียนหนังสือ ดัดแปลงหนังเป็นนิยายดีกว่า ทางออกสำหรับคนทำหนังตัวเล็กในประเทศนี้
: สิ่งที่หล่อเลี้ยงและเป็น Energy
ทุกวันนี้ผมถามตัวเองมาตลอดเวลาว่าเราทำหนังทำเพื่ออะไร เรารักอะไรในหนัง “เงิน ชื่อเสียง” ก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นชื่อเสียงระดับโลกซึ่งยังไม่ได้ก็มีบ้าง
แต่ว่าจริงๆ แล้วพลังการอยากทำหนังทุกวันนี้มันมาจาก passion มากกว่า
ผมสนุกมากในตอนทำหนัง ได้ออกกอง ไปเขียนบท ปรับบทหน้ากอง
ทุกวันที่เราลุกขึ้นมาทำหนัง เพราะเราอยากทำหนังจริงๆ และผมมีเรื่องเล่าเยอะมาก สต๊อก 40 กว่าเรื่องไม่เคยลด เพราะว่าไม่ได้ทำ (หัวเราะ)
เรื่องเล่าเกี่ยวกับแม่ผม เราสะเทือนใจ อยากจะเล่าใหม่
ไปที่ไหนเราเห็นคนทุกข์คนยากก็อยากเล่าอีกแล้ว ซึ่งทุกวันนี้เราคิดภาพเป็นหนังหมด
: Streaming ในมุมของ Filmmaker
Streaming มันเกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ต เป็นทางออกของคนทำหนัง ถ้าสามารถทะลุทะลวงเข้าไปมันก็เป็นทางออก
แต่มันไม่ง่าย เพราะถ้าคุณทำหนังไม่ดีพอ ไม่มีกระแสพอ หน้าหนังไม่แข็งแรง Streaming ที่ไหนเขาก็ไม่ซื้อ
ดังนั้น ไม่ใช่มันไม่ใช่โอกาสสำหรับคนทำหนังทุกคน มันแค่บางคนเท่านั้น
ที่สำคัญสุดมันเป็นระบบ public หมายความว่าคนดูทั่วไปเป็นรสนิยมสาธารณะ คนต้องสนใจเป็นแนวหนังตลาด
แต่ถ้าเป็นหนังทางเลือกรสชาติพิเศษก็คงยาก ไม่ง่าย
ถ้าเข้าไปได้ก็ราคาถูก
: Micro Cinema โรงหนังทางเลือกในประเทศนี้?
ปรากฏการณ์โรงหนังตอนนี้ ดูเหมือนมันจะกลับมาถ้ามองแค่เปลือก เพราะหนังไทยได้เงิน 100 ล้านไม่ยากนักและบ่อยด้วย ปีละ 3-4 เรื่อง ทุกคนก็อยากจะทำหนังเพื่อฉายโรง แต่หนังที่จะได้ฉายโรงหนังและได้เงินนั้นก็เป็นหนังที่มีลักษณะบางอย่าง ไม่ใช่หนังทั่วๆ ไป หนังที่มีอลังการทางสายตา ต้องทำให้คนเต็มอิ่มในการดู ใช้คำว่า ‘spectacular’
แต่ว่าถ้าเกิดเราเป็นหนังเล็กๆ เป็นหนังทางเลือกรสชาติใหม่ โรงหนังจะทำงานกับเรายังไง โรงหนังจะไม่มองด้วยซ้ำไป เพราะโรงหนังโดย basic กติกาคือมีพื้นที่ฉายหนัง ต้องการคนดูเยอะๆ แล้วจะได้กำไร เพราะต้องแบ่ง 50% คนทำหนังเขาอ้างว่าต้นทุนสูงซึ่งก็เข้าใจ แล้วเขาก็บีบจนกระทั่งไม่เหลืออะไร คุณฉายได้แต่ว่า 2 โรงนะ รอบ 11:00/22.00 ใครจะดู? เขากลั่นแกล้งเราด้วยวิธีนี้ มีน้ำใจนิดหน่อย “เป็นเรื่องของโรงหนังใหญ่กับคนทำหนังตัวเล็กๆ”
คนทำหนังตายแน่นอน จะรอดต่อเมื่อโรงหนังคุณต้องใจกว้างและมองภาพรวม คุณเป็นโรงหนังทำธุรกิจในเมืองไทยต้องเอื้ออำนวยพื้นที่ให้กับหนังไทย
แต่เป็นการเรียกร้องโดยอุดมคติ จะมีใครมาเรียกร้องให้เรา หรือจะให้โรงหนังมีสำนึกเองหรือ ไม่มีทาง เป็นสิ่งที่ฝันกลางวันในประเทศนี้
ในตลาดการค้าเสรีที่รัฐบาลก็อ่อนเปลี้ยทำอะไรไม่ถูก ไม่มีสำนึก ไม่เข้าใจศิลปะหนัง ไม่เข้าใจศิลปะ ไม่เข้าใจวัฒนธรรม หรือ Soft Power เมื่อไม่เข้าใจ คุณก็ส่งเสริมเราไม่เป็น คุณก็ไปสู้อะไรบางอย่างให้
แต่ว่าเราจะอยู่ยังไงท่ามกลางประเทศเป็นอย่างนี้ ‘ไมโครซินีม่า’ เป็นทางออก แต่ไมโครซินีม่าก็ถูกผูกขาดด้วยกฎหมายล้าหลัง ทั้งเรื่องขนาด ข้อกำหนดเกี่ยวกับระบบความปลอดภัย
ดังนั้น โรงหนังไมโครซินีม่าจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่แก้กฎหมายนี้ แต่ถามว่าใครจะแก้กฎหมาย ใช้เวลาแค่ไหนและไม่มีความจริงใจคุณจะแก้ได้เหรอ ลำพังสมาคมผู้กำกับฯ คนเดียวก็ทำไม่ได้กับการแก้กฎหมายฉบับนี้ มันต้องคนทำหนังทั้งวงการด้วยซ้ำไป ต้องสู้และถามกลับว่า ใครจะสู้เพื่อใคร
ตอนนี้วงการหนังทุกคนต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างเดียว คนดูทุกคนไม่มีเวลาแค่ 3 วัน การดูหนังต้องรอเวลาในการจัดจังหวะชีวิตเพื่อไปดูหนัง มันจึงปิดโอกาสคนดูหนังและปิดโอกาสคนทำหนังด้วย ที่สำคัญสมาคมผู้กำกับฯ เป็นคนเคาะกะลาให้หมาตื่น ทำให้มีการเจรจาให้สาธารณะรับรู้
ถามว่าใครตาย จริงๆ หนังไทยโดยรวมที่จะตาย เพราะหนังไทยมันมีไม่กี่เรื่องที่ 100 ล้าน บริษัทหนังไทยมีไม่กี่บริษัท หนังไทยที่เอกเทศที่มันไม่มีพื้นที่มันอยู่ไม่ได้ ถ้าคุณไม่ช่วยกัน
: Soft Power ในสายตาบุญส่ง นาคภู่ ช่วยอะไรในวงการหนัง
มัน misunderstanding ตั้งแต่นิยาม Soft Power ไม่ต้องพูดถึงวิธีการส่งเสริม รัฐบาลคุณเข้าใจ Soft Power หรือเปล่า คุณคิดว่า Power ของ Soft Power คืออะไร และคุณเข้าใจหนังหรือเปล่า หนังทำงานยังไงคุณรู้ไหม ถ้ารัฐบาลไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็จะส่งเสริมหนังไม่ได้ การดูหนังในโรงคือพิธีกรรมการล้างสมองระดับ personal ใครมี background ชีวิตยังไงเปิดดูหนังในความมืดด้วยลำพังตัวเอง
Soft Power คืออะไรกันแน่ มันเป็นอะไรก็ได้ ความดีงาม คุณค่าบางอย่างที่เห็นแล้วรู้สึกมันยิ่งใหญ่งดงามและทำงานทางจิตใจ มันไม่ทำงานทางปาก หู ถามจริงจิตใจคนจะเปลี่ยนได้เร็วหรือ มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
ฉะนั้น การส่งเสริมคุณต้องใช้เวลา
: ฝากอะไรคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้าสู่วงการภาพยนตร์
คนรุ่นใหม่ ต้องบอกว่าคุณโชคดีที่เกิดมาในยุคที่เทคโนโลยีการทำหนังถึงขีดสุด มันทำหนังไม่ยุ่งยาก แค่มีความฝัน คุณอยากเป็นผู้กำกับฯ เขียนบท เล่าเรื่อง คุณทำได้ทันที แต่ถ้าเราวิเคราะห์คนรุ่นใหม่จริงๆ ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่มักจะเป็นคนที่เป็นเด็กถูกสปอย ไม่เห็นว่าอะไรยากก็รู้สึกมันง่ายไปหมด แล้วมันก็ไม่มีรากด้วย คือ แค่บางคน ถามว่ารู้จัก สรพงศ์ ชาตรี ท่านมุ้ย แจ๊สสยามไหม ไม่รู้จัก! คนรุ่นใหม่ไม่ใช่ทุกคนหรอก ส่วนใหญ่ค่อนข้างไร้ราก การไร้รากคุณโตไม่ได้ เพราะกว่าที่จะมีวงการหนังมาถึงทุกวันนี้มันมาจากคนรุ่นเก่าที่บุกมาก่อน ถึงแม้ยังไม่สำเร็จก็ตาม แต่มันมีวงการหนังไทยเกิดขึ้นก่อนคุณจะมาอยู่ที่นี่
ประการถัดมา ด้วยความที่มันง่ายเกินไป คนรุ่นใหม่มองว่าการทำหนังเป็นเรื่องง่าย เพราะระบบเทคโนโลยีมันช่วยหมด แต่จริงๆ แล้วการทำมันยากมาก คุณอย่าได้ประมาทเรื่องนี้เด็ดขาด
มันจะมีผู้กำกับฯ ในระดับฮอลลีวู้ดที่จู่ๆ ทำหนังเรื่องแรกแล้วดังเลย แต่มันเปรียบกับคนไทยไม่ได้ เพราะอเมริกามันส่งเสริมศิลปะมานาน มีลู่ทางการศึกษาเต็มหมด
ถามว่าคนรุ่นใหม่เมืองไทยหนังเรื่องแรกดังได้ไหม ถ้าคุณไม่มีการสั่งสมทางวัฒนธรรมแบบนั้น คุณอย่าประมาทเด็ดขาด และที่สำคัญหนังมันทำงานกับคน มันสร้างมาจากชีวิตคน ฉะนั้น คุณจะต้องเข้าใจชีวิตจริงๆ แต่ว่าคนหนุ่ม-สาวจะเข้าใจชีวิตได้ยังไง เขาก็เข้าใจชีวิตในแบบของเขา คนทำหนังเรื่องแรกบางคนไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำไป
ผมทำหนังมา 20 กว่าปีผมยังไม่เข้าใจหนังคืออะไร ทุกครั้งที่ทำแม่งท้องเสีย
: ฝากถึงคนดูหนัง
ผมเคารพคนดูนะครับ แต่คนดูต้องเคารพคนทำหนังด้วย สำหรับผมคนดูถูกสปอยมาตลอดเวลาในประวัติศาสตร์หนังไทย คนดูถูกยกย่องในฐานะผู้มีเงิน คนดูต้องได้รับการปฏิบัติที่ดีที่สุด ขณะเดียวกันโลกก็กับสปอยคนดูด้วย ตอนนี้คนดูสมาธิสั้นขึ้นเรื่อยๆ และมีสิทธิ์ในการที่จะดูอะไรเต็มไปหมดในโลกออนไลน์ จนกระทั่งมีทางเลือกเยอะจนไม่รู้จะเลือกอะไร
แต่คนดูไม่ถูกพัฒนาเลย ไม่เคยมีนโยบายอะไรที่พัฒนาคนดูเลย คนดูเติบโตขึ้นตามลำพังภายใต้การสปอยของคนทำหนัง เพราะฉะนั้น ผมอยากเรียกร้องให้คุณดูพัฒนาตัวเอง คุณอย่าพอใจอะไรง่ายๆ และถ้าเกิดมันมีอะไรดีๆ ก็ส่งเสริม โดยเฉพาะคนทำหนัง เพราะว่าคนดูเป็นองคาพยพสำคัญมากในวงการหนัง วงการหนังเติบโตได้เพราะคนดู
ถ้าคนดูพัฒนาขึ้น อย่าเหมือนการเมืองไทย การเมืองไทยไม่ไปไหน พายเรือในอ่าง เพราะคนไทยยังไม่ตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพคนไทย ยังไม่ตระหนักถึงประชาธิปไตยจริงๆ คนไทยยังสนใจอามิส สินจ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่งั้นเราเห็นทุกวันนี้ไหม การเมืองเลือกตั้งแล้วก็พัง
จริงๆ มันไม่ใช่แค่นั้น มันมีองคาพยพเยอะมากที่ทำให้การเมืองไทยไม่ไปไหน และบางอย่างเราแตะไม่ได้
วงการหนังก็เหมือนกัน คนดูก็ต้องพัฒนาพัฒนาไปด้วยกัน แล้ววงการหนังจะเติบโตอย่างแน่นอน
ชมคลิป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022