

บทความในประเทศ
จูราสสิค โพลิติกส์
: Rebirth
ไม่ต้องแปลกใจหาก “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ต้องถูกสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่ในสัปดาห์นี้
เพราะแม้ไม่ใช่นักรัฐศาสตร์ก็คาดเดาได้-มีการพูดกันมานานแล้วว่าเพื่อไทยอาจต้องเจอภาวะ “นิติประหาร” ถูก “การเมืองจูราสสิค” จัดการ โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมืออีกรอบ
รู้กันอยู่ว่า ภาวะ “นิติประหาร” คือปัญหาใหญ่ในทาง “หลักการ” แต่เป็นเรื่อง “ปกติ” ในสังคมไทย
หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ไม่นาน เราก็มีนายกฯ ที่ถูก ภาวะ “นิติประหาร” เล่นงานต่อเนื่องมาแล้วหลายคน
เอาเฉพาะแค่ที่เกี่ยวโยงกับการเมืองตระกูลชินวัตรก็เช่น นายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, นายเศรษฐา ทวีสิน, ยุบพรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน, พรรคไทยรักษาชาติ
อันที่จริงนายทักษิณ ชินวัตร เอง ก็ถูกภาวะ “นิติประหาร” จากคณะรัฐประหารปี 2549 เล่นงาน เช่นกัน
หาก น.ส.แพทองธาร ถูกสั่งให้พ้นจากเก้าอี้อีกคนก็จะกลายเป็นนายกฯ คนที่ 5 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่มีประเทศโลกประชาธิปไตยที่ไหนเขาทำกันแบบนี้
เกิดคำถามตัวโตๆ กับระบบนิติรัฐประเทศไทย
จะบอกว่า น.ส.แพทองธาร ยิงปืนใส่ขาตัวเองก็ไม่ผิด เพราะเจ้าตัวก็ออกมายอมรับและขอโทษ เข้าใจแล้วว่าวิธีการที่ตัวเองใช้ คำพูดที่เกิดขึ้นระหว่างการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน เป็นเรื่องไม่เหมาะสมและถูกต้อง
แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลให้ฝ่ายการเมืองใด ใช้กระบวนการ “นิติประหาร” เข้าจัดการ น.ส.แพทองธาร
เพราะมันส่งผลร้ายทางการเมืองมากกว่า จากการไปช่วยขยายอำนาจทางการเมืองของฝ่ายตุลาการ เหนือฝ่ายบริหาร อันเป็นปัญหาหนักมากอยู่แล้วให้รุนแรงขึ้นไปอีก
คำถามต่อมามีว่า น.ส.แพทองธาร จะกลับมาเป็นนายกฯ เช่นเดิมได้ไหม?
มุมวิเคราะห์วันนี้เห็นตรงกันหลายสำนักว่า “โอกาสน้อย” ไปจนถึงเป็นไปได้ยาก
ในภาพกว้าง หากย้อนกลับไปดูสายธารประวัติศาสตร์การเมืองไทย บทเรียนที่ฝ่ายขั้วอำนาจเก่าอนุรักษนิยมไทยปฏิบัติต่อเพื่อไทยและพลังฝ่ายประชาธิปไตย ก็จะพบว่าการรุกคืบเข้ายึดคืนอำนาจรัฐจากรัฐบาลเพื่อไทย เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
หากครั้งนี้จะเกิดขึ้นอีก จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดจากที่คาด
เพื่อไทยอาจจะมองว่าเส้นทางการเมืองของตนเองวันนี้ เดินคู่ไปด้วยกันได้กับฝ่ายอำนาจเก่า แต่ปัญหาคือพลังอนุรักษนิยมอาจจะไม่ได้คิดกับเพื่อไทยแบบนั้น
ตรงกันข้าม จากการพ่ายแพ้ในเกมการเมืองที่ฝ่ายอำนาจเก่าออกแบบ เพื่อไทยจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกำจัดศัตรูการเมืองตัวจริง
แม้จะไม่ไว้ใจ แต่ก็จำเป็น
เมื่อกำจัดศัตรูการเมืองสำคัญสำเร็จ คราวนี้จึงถึงคราว “รุกคืบ” เอาคืนอำนาจพรรคเพื่อไทย
กรณีคลิปเสียงของฮุน เซน จึงปรากฏขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ฝ่ายอนุรักษนิยมไทยใช้เป็นข้ออ้างนำ “รัฐบาล น.ส.แพทองธาร” สู่ภาวะ “นิติประหาร” ทางการเมือง อีกครั้ง
และเพื่อเป็น “บันไดอีกหนึ่งขั้น” ของการรุกคืบทางอำนาจต่อ “พลังใหม่ในการเมืองไทย”
ต้องไม่ลืมด้วยว่า 2 พ่อลูกชินวัตร ยังมีภาระทางกฎหมายอีกมาก
นายทักษิณ ยังมีคดี 112 ในศาลอาญา แม้จะอยู่ในชั้นสืบพยานแต่ก็ใกล้จะจบ พร้อมๆ กับ คดีป่วยทิพย์ชั้น 14 ในศาลฎีกาฯ ที่ศาลยกขึ้นมาไต่สวนเอง ทั้ง 2 กรณี ก็มีความเสี่ยงอาจจะถูกกลับเข้าคุกทั้งคู่
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร วันนี้เต็มไปด้วยคนจองกฐิน เล็งนำ น.ส.แพทองธารเข้าสู่ลาน “นิติประหาร” หลายกรณี ทั้งกรณีคลิปเสียง, แม้แต่ตำแหน่ง รมว.วัฒนธรรม ยังถูกยื่นสกัด ตั้งแต่ยังไม่เข้ากระทรวง
สภาวะการเมืองไทยวันนี้จึงเข้าสู่ภาวะ ใกล้จะ “ตีบตัน” ไม่ต้องหวังว่าจะพูดเรื่องการเมืองในอนาคตที่ดีจะเป็นแบบไร
โจทย์ที่คุยกันวันนี้ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องจะทำอย่างไรให้ไม่เกิดรัฐประหาร
จะทำอย่างไรให้ไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง
จะทำอย่างไรให้การเมืองไทยไม่ “จูราสสิค”
รัฐบาลเพื่อไทยพยายามแก้เกมความชอบธรรมตกต่ำด้วยการปรับ ครม. แต่ดูเหมือนไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากฝ่ายใดเลย
แทนที่จะกู้วิกฤต ความเห็นส่วนใหญ่กลับมองการปรับ ครม.นี้เป็นการต่างตอบแทนทางการเมืองมากกว่า
อันนี้ที่จริงความเป็น ครม.ครอบครัว-หรือ ครม.เครือญาติ ไม่ใช่เรื่องผิด (เหมาะสมหรือไม่ก็อีกเรื่อง) แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าของการปรับ ครม.คือรัฐบาลถูกตั้งคำถามว่าจะปรับ ครม.ไปเพื่อทำอะไร?
จะดำเนินนโยบายใด ภายในระยะเวลาเมื่อไหร่?
จะสร้างความหวังทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แบบเป็นรูปธรรม พาประเทศออกจากวิกฤตได้อย่างไร พาสังคมไทยพ้นภาวะคอปริ่มน้ำได้อย่างไร?
แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็น? รัฐบาลตอบคำถามเหล่านี้ไม่ชัด!
มีคำถามต่อมาว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะเดินต่ออย่างไร?
1.รัฐบาล น.ส.แพทองธาร เดินหน้าต่อ …ไปตายเอาดาบหน้า
รอคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ลงไปต่อสู้ในกระบวนการทางกฎหมาย ถ้ารอดก็เบาตัว
แต่ปัญหาของการต่อสู้ในสมรภูมิการเมืองนี้คือ การเสียเวลาและโอกาสของประเทศ เนื่องจากจะยังมีคดีความตามมาอีกมาก
แม้รอดจากการตัดสินในรอบนี้ ก็ต้องเจอม็อบฝ่ายขวาอาละวาด เจอสารพัดนักร้องจ้องเล่นงาน ครั้นจะขยับบริหารอะไรหน่อยก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก การเมืองไร้เสถียรภาพ เศรษฐกิจขาดความเชื่อมั่น หนักลงไปอีก
2. รอให้ศาลสั่งพ้นจากเก้าอี้นายกฯ หรือลาออก แล้วให้ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ ต่อ
ปัญหาตามมาก็คือรัฐบาลเพื่อไทยจะขับเคลื่อนแก้ปัญหาประเทศได้อย่างไร ภายใต้อำนาจและความชอบธรรมที่เป็นอยู่ในขณะนี้
นโยบายเรือธงก็ทำสำเร็จได้ยากเพราะไม่มีทรัพยากร แม้หวังดีจะอยู่ต่อเพื่อแก้ปัญหา แต่หากท้ายที่สุดยังเป็นเช่นเดิม จะเสียหายยิ่งกว่าเดิม ไม่นับต้องถูกภาวะ “นิติประหาร” เล่นงาน พร้อมๆ กับม็อบอนุรักษนิยม
อย่าลืมว่าปัญหาสำคัญของม็อบฝ่ายอนุรักษนิยมคือเรียกร้องการรัฐประหาร แกนนำก็ประกาศโต้งๆ บนเวที พยายามขับเคลื่อนให้คนเห็นด้วยว่ารัฐประหารไม่น่ากลัว จะรัฐประหารก็ทำไป แค่อย่าเอาพลเอก มาเป็นนายกฯ
3. ให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ แคนดิเดตที่เหลือเป็นนายกฯ
กรณีได้ชื่อว่าไม่ก่อให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองจริง แต่ต้องแลกมาด้วยการทำข้อตกลงทางการเมืองครั้งใหม่ นอกจากสูญเสียเก้าอี้สำคัญ เพื่อไทยจะเสียหายทางการเมืองอีกมาก
หนทางนี้มีข้อดีคือลดการเคลื่อนไหวฝ่ายอำนาจเก่าต้านรัฐบาลไว้ได้ แต่ข้อเสียคือ “เครือข่ายอนุรักษนิยมขั้วอำนาจเก่า-อำนาจทางทหาร” จะขยายตัว สะสมกำลังจนกลายเป็นฝ่ายต้านประชาธิปไตยจนยากจะปฏิรูปในอนาคต
4. ยุบสภา
หากเลือกหนทางนี้เพื่อไทยจะได้ชื่อว่ายังช่วยรักษาพื้นที่ทางการเมืองของประชาชนไว้ ด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชน
เพื่อไทยยังได้ชื่อว่าเป็นผู้รักษาระบอบ ผ่าทางตันทางการเมือง และยังคงอยู่ในสถานะ “เหยื่อของโครงสร้างการเมืองจูราสสิค” แม้จะพยายามเดินเกมแบบประนีประนอมทางการเมืองแล้วก็ตาม
แต่แน่นอน ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือเพื่อไทยจะได้เก้าอี้ลดลง นี่คือเหตุผลที่ทางเลือกนี้ไม่ง่ายนักสำหรับเพื่อไทย
เพราะตัวเลขจากนิด้าโพลมันโชว์จริงๆ ว่าคะแนนนิยมเพื่อไทย ไปต่อได้ยาก
เพื่อไทยวันนี้ต้องเจอกับสภาวะรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ต้องเจอกับเกมในสภาจากฝ่ายแค้น ไม่นับปัญหาในพรรค เช่น กลุ่ม ส.ส.อีสานเริ่มก่อหวอดจากการไม่ได้รับการตอบแทนอย่างยุติธรรม
ปัญหาพรรคร่วมฯ ขัดแย้งภายใน ปัญหาราชการเกียร์ว่าง ปัญหาไทย-กัมพูชา ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก ราคาพลังงาน กำแพงภาษีสหรัฐ ปัญหานักลงทุนขาดความเชื่อมั่นจนหุ้นดิ่ง
ด้านการเมืองวันนี้รัฐบาลกำลังเจอกับกระแสม็อบเริ่มจุดติด ปัญหากองทัพรุกคืบขยายอำนาจภายใต้การยินยอมของเพื่อไทย
ปัญหาภาวะ “นิติประหารทางการเมือง” ที่รอบดขยี้เพื่อไทยอยู่
“จูราสสิค โพลิติกส์ : Rebirth” กลับมาอีกครั้ง โดยมีเหยื่อรายแรกคือ “รัฐบาลเพื่อไทย” เหยื่อรายต่อไปคือ “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน”
คำสั่งให้พักปฏิบัติหน้าที่คือ สัญญาณอันตราย ของการรุกคืบเพื่อรุกฆาต
แม้จะถูกรุกให้ถอย แต่วันนี้ตัวแสดงหลักยังเป็น “รัฐบาลเพื่อไทย” ขึ้นอยู่กับว่าจะถอยไปทางไหน
ทางที่รักษา “หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน” หรือ “ลดทอนความสำคัญหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน” ?
จะตัดตอน “จูราสสิค โพลิติกส์” ไม่ให้มัน “Rebirth” ยังทำได้
แต่ต้องอาศัยความกล้าหาญ “ระดับสูง”