
รัฐศาสตร์ มสธ. นำตั้งวงถก 3 พรรคการเมืองหลัก ถอดบทเรียนประเทศไทย จากเลือกตั้งนายกฯอบจ.ปี68

“รัฐศาสตร์ มสธ.” ร่วม “คอนราด อาเดนาวร์” เปิดวงเสวนา 3 พรรคการเมืองหลัก ถอดบทเรียนประเทศไทย จากเลือกตั้งนายกฯอบจ.ปี68 เพื่อการปรับปรุงและการพัฒนาการเมืองท้องถิ่น
แม้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นอย่างนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศจะสิ้นสุดลงไปนานแล้ว ตั้งแต่ราวต้นปีที่ผ่านมา แต่การสรุปบทเรียน เสนอมุมมองวิเคราะห์ปัญหา เพื่อใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงระบบเลือกตั้งท้องถิ่นและทำความเข้าใจการเมืองท้องถิ่นในอนาคต ก็มีความจำเป็น
สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) และ มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ ประเทศไทย (KAS) จึงร่วมกันจัดงานเสวนาวิเคราะห์การเลือกตั้ง อบจ. 1 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ในประเด็นเกี่ยวกับ จุดแข็ง ปัญหา และข้อเสนอแนะ ประกอบด้วย นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานฝ่ายกฏหมาย-แกนนำพรรคภูมิใจไทย และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี-อดีตผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ธนศักดิ์ สายจำปา อาจารย์สาขารัฐศาสตร์ มสธ.
พรรคประชาชนย้ำเป้าหมายคือการเปลี่ยนแปลง
นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวว่า บทเรียนจากการเลือกตั้งนายกฯอบจ.ของพรรค จะเห็นได้ว่า การทำงานการเมืองของพรรคเรียบง่ายไม่ซับซ้อน หากจะเอาชนะการเลือกตั้งต้องมีนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชน เราให้ความสำคัญกับการสร้างนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชน จึงให้ความสำคัญกับการรับฟังปัญหาและลงพื้นที่ แต่พอลงไปทำงานพื้นที่จริง พบว่ามันไม่ง่าย ความต้องการของประชาชนมันเอามาทำนโยบายไม่ได้เลย ต้องใช้เวลาหาคำตอบว่าประชาชนต้องการอะไร ต่อมา พอรู้แล้วก็ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่าเราทำได้ เพราะหากเรามีนโยบายจริง แต่ประชาชนไม่เชื่อก็จบ ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าเราจะทำสำเร็จให้ได้ นี่เป็นเรื่องยากที่ยอมรับว่าเราเรายังทำไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาแม้จะทำไม่สำเร็จแบบที่คาดหวัง แต่พรรคประชาชนก็ได้มา 1 เก้าอี้ที่จ.ลำพูน พรรคจะผลักดันให้ที่นี่ทำเป็นตัวอย่างยืนยันว่าเราทำนโยบายได้จริงๆ
นายศรายุทธิ์ ระบุว่า ช่วงแรกๆจะเห็นว่า ทีมงานของพรรคลงไปช่วยเยอะมาก ตอนนี้เหลือเพียงเวลาว่าจะพิสูจน์ว่าเราทำได้จริงไหม เรามีการทำการประชุม Town Hall ให้ประชาชนมีส่วนเข้ามาร่วมออกแบบ โดยเฉพาะความโปร่งใสต่างๆที่เรามีการเตรียมความพร้อมในระบบหลังบ้านให้ประชาชนเห็นได้อย่างจริงจัง ลดขั้นตอนทางเอกสาร ทำให้เห็นว่าการทำงานให้มีประสิทธิภาพทำได้ ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่าการเมืองท้องถิ่นประชาชนสัมผัสได้ เหลือเพียงเวลาและอาจรวมถึงผู้คนด้วยในการพิสูจน์
นายศรายุทธิ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ หลายคนเข้าใจผิดว่าเราทำงานหนักแต่ทำไมไม่ชนะ อยากให้ลองคิดว่าเลือกตั้งใหญ่ ไปหาเสียงเลือกตั้งที่ไหน นายกฯก็คนเดียวกัน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ไปไหน คนก็รู้ว่านี่คือผู้สมัครชิง นายกฯประเทศไทย แต่อบจ.มันต่างกัน อย่างในเขตเมืองคนเยอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเลือก นายกฯอบจ.คนเดียวกัน แม้แกนนำจะลงพื้นที่ไปช่วยหาเสียง ก็ส่งผลบ้าง แต่ไม่ได้มีนัยยะขนาดนั้น แค่ทำให้คนตื่นตัวบ้าง ยิ่งกว่านั้นบางครั้งมันไปสร้างภาพความเข้าใจผิดได้ว่าอาจชนะ สรุปคือมันมีผลแน่ แต่ไม่ได้มากเท่าระดับชาติ
“ต้องย้ำว่าการทำการเมืองท้องถิ่นของพรรคประชาชน มีรากฐานทางอุดมการณ์ โดย ความคิดของพรรคประชาชน ตั้งต้นมาจากการพยายามจะเปลี่ยนแปลง เราตั้งคำถามว่า ถ้าปล่อยให้เป็นแบบเดิมประเทศจะไปต่อยาก หากไม่ทำอะไรประเทศจะไม่มีอนาคต ทุกวันนี้เด็กเกิดน้อยเพราะความไม่มีอนาคตนั่นเอง การมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องหลักของพรรค เราต้องเปลี่ยนความคิดคนให้ได้ ชวนคนมาเปลี่ยนแปลงให้ได้ และเชื่อว่าทุกๆคนมีพลังในการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องใช้คนเยอะ ในสภาต้องใช้คนไปโหวตกฏหมายสำคัญ เราต้องการคนที่มุ่งมั่น อยากเปลี่ยนแปลง ส่วนท้องถิ่น เป็นพื้นที่ของคนที่ไม่ได้อยากเป็น สส. ก็สามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงได้ ตนเองก็ไม่ได้มีจุดหมายอยากทำงานการเมืองจึงทำงานเบื้องหลังแบบที่เป็นอยู่” นายศรายุทธิ์ ระบุ
นายศรายุทธิ์ กล่าวต่อว่า ในระดับท้องถิ่นผู้สมัครก็ต้องเอาหลักการของพรรคไปใช้กับท้องถิ่น ทั้งการรับฟังความเห็นเพื่อให้เกิดนโยบายที่เหมาะสมเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง การชนะเลือกตั้งท้องถิ่นต้องใช้ทั้งผู้สมัคร นโยบาย และเวลา เชื่อว่าจะชนะได้ ส่วนการเมืองบ้านใหญ่เชื่อว่าในอนาคตจะอ่อนลงเรื่อยๆ บ้านใหญ่จะน้อยลงจากปัจจัยการเติบโตของเมือง วันนี้ปัญหาประเทศหนักหนาสาหัสจนทำให้ความปรารถนาต่อการเปลี่ยนแปลงมีมากขึ้น ชัดเจนขึ้น เชื่อว่า อนาคตคนจะเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงมากกว่าตัวบุคคล โดยต้องสร้างและออกแบบระบบอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในท้องถิ่นด้วย
“ส่วนเรื่องการประจายอำนาจหรือการยุติรัฐรวมศูนย์ พรรคประชาชนชัดเจน และดำเนินการมาแล้ว แต่ไม่สำเร็จเพราะพรรคอื่นไม่เอากฏหมายเหล่านี้ นักการเมืองส่วนใหญ่ไม่ตอบสนอง” นายศรายุทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย

รับ บ้านใหญ่เปลี่ยนรูปแบบ แต่ยังทรงพลัง
ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานฝ่ายกฏหมาย และแกนนำพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ในส่วนของภูมิใจไทยต้องเรียนตรงๆว่า ภูมิใจไทยไม่ส่งผู้สมัครสักจังหวัดเดียว แต่ในความจริงก็ต้องยอมรับว่ามันมีสายสัมพันธ์อยู่ ผู้สนับสนุนการชิงนายกฯอบจ.หลายจังหวัดอาจเป็นกลุ่มเดียวกับพรรค สำหรับคนที่มีสายสัมพันธ์อันดี กับพรรคภูมิใจไทย ตอนนี้มีนายก อบจ. ประมาณ 30 จังหวัดที่สามารถประสานงานร่วมกันได้ บทเรียนสำคัญอันหนึ่งของการเลือกตั้งอบจ.ครั้งที่ผ่านมาคือต้องยอมรับว่า วันนี้นโยบายถือเป็นเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่างนครศรีธรรมราช ที่นายกฯคนเก่า นั่งเก้าอี้มานานสืบต่อกันมาในครอบครัว แต่ทีมของภูมิใจไทยลงไป พร้อมกับการคิดเรื่องนโยบายที่แตกต่างตรงกับความต้องการในพื้นที่ไปด้วย ที่สุดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง สามารถเอาชนะแชมป์เก่าได้
นอกจากนี้เรายังเรียนรู้จากบทเรียนของพรรคอื่นเช่นกรณีของพรรคประชาชน เราก็เรียนรู้เรื่องการทำพื้นที่หาเสียงทางโซเชียลมีเดีย
นายศุภชัย กล่าวต่อว่า เรื่องสำคัญสำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่นคือการกระจายอำนาจ วันนี้ต้องกลับมาคิดเรื่องภาพใหญ่ของเรื่องนี้แล้ว เพราะท้องถิ่นแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกันมากทั้งพื้นที่และทรัพยากร วันนี้ประเทศไทยอัตราการเกิดน้อย สังคมไทยกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ท้องถิ่นต่อไปก็ต้องคิดเรื่องการดูแลคนแก่ การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเพื่อได้ดูแลปัญหาต่างๆมันต้องรีบทำแล้ว แต่ติดขัดที่ปัญหาเรื่องอำนาจ ส่วนกลางยังหวงอำนาจ วันนี้นายกฯอบจ. เป็นจำเลยอยู่ในศาลจำนวนมาก คนมองผ่านอาจจะคิดว่าเพราะนักการเมืองท้องถิ่นโกง ทั้งที่จริงๆบางทีเขาไม่ได้โกง แต่หลายคนผิดพลาดในทางเอกสาร เคยได้ยินมาว่าวันนี้มีนายกฯอบจ.ภูเก็ตคนเดียวที่ยังไม่เคยขึ้นศาล นอกนั้นขึ้นกันหมด
ส่วนประเด็นการเมืองเรื่องบ้านใหญ่นั้น นายศุภชัย ระบุว่า บ้านใหญ่ในนัยยะของตนเอง ขอยกตัวอย่างนายกฯอบจ.ศรีสะเกษ ส่วนตัวมองว่าเขาเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีความเป็นบ้านใหญ่แบบที่คนคิดอะไรเลย เขามีความใกล้ชิดชาวบ้าน เป็นที่ถูกอกถูกใจของประชาชนจำนวนมาก การเลือกตั้งนายกฯอบจ.ครั้ง
ล่าสุด ขนาดนายทักษิณ ชินวัตร และแกนนำพรรคเพื่อไทยทั้งพรรค ลงไปช่วยหาเสียงให้คู่แข่ง ก็ยังไม่สามารถเอาชนะนายกฯอบจ.ศรีสะเกษคนปัจจุบันที่ลงในนามส่วนตัวได้
นายศุภชัย กล่าวต่อว่า หรือที่เคยคิดว่าเชียงใหม่มีชินวัตรเป็นบ้านใหญ่ แต่พอพรรคอนาคตใหม่เข้าไป ชินวัตรก็แพ้ได้ ความเป็นบ้านใหญ่ปัจจุบันมันก็มีอะไรไปทับซ้อน เปลี่ยนแปลงไปมาก อย่างปทุมธานี นนทบุรี ก็แปรเปลี่ยนไปได้หมด บ้านใหญ่ยังมีอิทธิพลอยู่ในระดับเดิม แต่อาจลงไปในระดับอำเภอและตำบล อย่างกรุงเทพฯ ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับบ้านใหญ่แล้ว ยืนยันว่าในที่สุดแล้ว ประชาชนเขาเอาตามนโยบาย
“โดยสรุป แม้การเมืองมีพลวัตรเปลี่ยนแปลง แต่การเลือกตั้งท้องถิ่น บ้านใหญ่ยังมีผลชี้ขาดทางการเมืองได้อยู่” นายศุภชัย กล่าวทิ้งท้าย

อบจ.ท้องถิ่น เชื่อมการเมืองระดับชาติชัด
ด้าน ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี อดีตผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า บทเรียนของพรรคเพื่อไทยในศึกเลือกตั้งนายกฯอบจ. พบว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้มันมันเชื่อมโยงกับการเมืองระดับชาติชัดเจนที่สุด เพราะตามนิยมแล้วการเมืองคือเรื่องของการจัดสรรอำนาจและทรัพยากร การเลือกตั้งนายกฯอบจ.ในอดีต พรรคเพื่อไทยไม่เคยส่งผู้สมัครในนามพรรคมาก่อน แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่พรรคเพือ่ไทยส่งผู้สมัครในนามพรรค มีบุคคลสำคัญของพรรคลงพทื้นที่ช่วยปราศรัยหาเสียง รวม 16 จังหวัด ผลลัพท์คือได้มา 10 จังหวัด ก็ถือว่าสำเร็จ เพราะได้มาเกินครึ่ง แต่หากให้วิเคราะห์ก็มีบางมุมที่ควรแลกเปลี่ยน
ณัฐวุฒิ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าวิธีคิดของประชาชนในการเลือกตั้งระดับชาติและท้องถิ่นไม่เหมือนกัน ในการเลือกตั้ง สส. คนพิจารณาเรื่องนโยบาย ผลงาน และแนวทางของพรรค รวมถึงกระแสสังคมผ่านสื่อสารมวลชนช่องทางต่างๆ แต่ในการเลือกตั้งท้องถิ่น เหตุผลสำคัญในการตัดสินใจเลือกของประชาชนอยู่ที่ความสัมพันธ์ การคบหา พึ่งพากันของผู้สมัคร เขาดูว่าผู้สมัครคนนี้จับต้องได้ไหม พึ่งพาได้ไหม เมื่อความสัมพันธ์เป็นแบบนี้ ภาพที่ปรากฏจึงเห็นได้ว่า ผู้สมัครที่ผูกพันธ์กับท้องถิ่น มีแต้มต่อ และมีโอกาสได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง เข้าไปทำหน้าที่
ณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ถามว่าพรรคการเมืองมีผลมากแค่ไหนในการส่งผู้สมัคร ก็ตอบว่ามี เพราะพรรคการเมืองมีเครือข่ายที่ส่งผลต่อการสร้างพลังทางการเมืองในท้องถิ่น อย่างพรรคเพื่อไทย มีตนเอง นายทักษิณ ชินวัตร ฯลฯ ไปปราศรัยหาเสียง ก็พบว่าผลงานเดิมๆที่พรรคไทยรักไทยเคยทำไว้ปี 2544 มันยังอยู่ในใจประชาชน ชาวบ้านที่มาพบ เขายังพูดถึง นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรก กองทุนหม่บ้าน ดังนั้น การสู้กันด้วยผลงาน หาเสียงด้วยยโยบาย มันมีการรับรู้ต่อประชาชนจริงๆ เพราะมันอยู่นานและมีผลต่อวิถีชีวิตของคนจริงๆ
“ในทัศนะตนเองมองว่านโยบายไทยรักไทยมันสอดรับกับวิถีประชาชน หลายยโยบายเคารพต่อประชาชนเจ้าของอำนาจ นโยบายของไทยรักไทยในปี 2544 คือการยกระดับประชาชนในการรักษาพยาบาล ไม่ต้องสละศักดิ์ศรีความเป็นคนเพราะเพียงไม่มีเงิน ตอนเราปักป้ายหาเสียง คนก็ตั้งคำถามว่าเป็นไปได้หรือ? ซึ่งในที่สุดมันเป็นจริงได้ เช่นเดียวกับนโยบายกองทุนหมู่บ้านที่สอดรับกับวิถีทางประชาธิปไตย เพราะมันต้องผ่านการคิดโครงการอนุมัติกันในชุมชน แน่นอนมันมีทั้งคนที่สำเร็จและไม่สำเร็จ แต่หลักใหญ่ใจความมันคือการกระจายโอกาสเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ดังนั้นการเอาการเมืองระดับชาติไปโยงกับท้องถิ่น มีผลต่อกัน มิใช่ไม่มี” ณัฐวุฒิ กล่าวยืนยัน
และว่า “การเลือกตั้ง อบจ.ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน จึงส่งผู้สมัคร ภูมิใจไทยก็ส่ง แม้จะเป็นแบบไม่เป็นทางการ ส่วนตัวไม่เห็นด้วยหากจะบอกว่า รัฐบาลส่วนกลางอย่าไปยุ่งท้องถิ่น ตรงกันข้าม กลับเห็นว่าทั้งสองส่วนต้องเชื่อมกันให้ติด อย่างไรก็ตามต้องยึดหลักด้วยว่า หากฝ่ายการเมืองใดเข้ามามีอำนาจก็ไม่ควรแบ่งแยก พวกใครพวกมัน เลือกตั้งเสร็จแล้ว คนกุมอำนาจส่วนกลาง ต้องมองกลไกท้องถิ่นเหมือนกัน เป็นทีมประเทศไทยเหมือนกัน ส่วน วิธีคิดในการกระจายงบประมาณต้องตอบโจทย์ประชาชน การเมืองวันนี้คนเข้ามายืนในสนามต้องรู้ว่ากำลังทำเรื่องใหญ่ ต้องกล้ากระจายอำนาจ หยิบยื่นอำนาจ โอกาส และทรัพยากรให้ท้องถิ่น
ส่วนประเด็นเรื่องบ้านใหญ่กับการเลือกตั้งนายกฯอบจ.นั้น ณัฐวุฒิ เห็นว่า “มีวิธีคิดบางมุมที่บอกว่าการเมืองท้องถิ่นต้องปฏิเสธบ้านใหญ่ หรือมองบ้านใหญ่ว่าถ่วงรั้งประชาธิปไตย เพราะถ้าบ้านใหญ่หมายถึงผู้มีอิทธิพล พวกนี้ก็อย่าไปคบ แต่ถ้าบ้านใหญ่หมายถึงคนที่เราสัมผัสมาอีกแบบ เขาเป็นคนใจใหญ่ กล้าคบกล้าให้ ช่าวบ้านเดือดร้อนคนเหล่านี้พึ่งพาได้ จับต้องได้ เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย หากนิยามบ้านใหญ่เป็นแบบหลัง เขาไม่ควรเป็นจำเลยในระบอบประชาธิปไตย แต่คือความจริงอันเป็นวิธีของประชาชน คนที่ถูกเรียกบ้านใหญ่เขาแค่ใจกว้าง โตมากับการช่วยเหลือผู้คนจนได้รับการเชื่อถือ เมื่อเสนอตัวเป็นผู้แทนท้องถิ่น จึงได้รับการตอบสนอง หลายคนที่ตนเองเคยสัมผัส ชาวบ้านเขาเห็นมาตั้งแต่ไม่มีอะไร คนพวกนี้เขานั่งอยู่ในหัวใจประชาชน ประชาชนเขาสัมผัสได้ว่าไม่ปลอม ในสนามบ้านใหญ่ในมิติของตนเองจึงจะยังมีไปอีกนาน แต่บ้านใหญ่ชนิดข่มเหงคนอื่น นับวันจะยิ่งแคบลงๆ นี่คือวิถีที่เป็นจริงในสังคมไทย
ณัฐวุฒิถึงประเด็นเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่นโดยไม่มีการเลือกตั้งล่วงหน้าว่า “ยืนยันไม่สนับสนุนการตัดสิทธิประชาชน การเลือกตั้งล่วงหน้าท้องถิ่นควรกำหนดให้มีขึ้น เพราะสิทธิทางการเมืองเป็นสิทธิตามกำเนิด ใครจะแพ้หรือชนะกับการให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้า ประชาชนไม่ควรเสียเปรียบตรงนี้ เพราะแม้ไม่ได้อยู่ที่บ้านเกิด แต่การยืนยันเอาชื่อไปไว้ที่บ้านก็เป็นการยืนยันเจตจำนงทางเมืองของประชาชนแล้วว่าเขาจะใช้สิทธิที่บ้าน”
“สังคมไทยต้องคิดเรื่องการรักษาอำนาจอธิปไตยให้มีเต็มมือตลอดเวลา และจงอย่าละวางต่อการวิจารณ์วิธีทางทางการเมืองที่ลิดรอนประชาธิปไตยของประชาชน” นาย ณัฐวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย


