

Biology Beyond Nature | ภาคภูมิ ทรัพย์สุนทร
ย้อนรอยประวัติศาสตร์อาวุธชีวภาพสุดสยอง (2)
ช่วงรอยต่อระหว่างสงครามจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง เทคโนโลยีจุลชีพเข้ามามีบทบาทสำคัญอีกครั้งต่อการสงคราม
กรณีชัดสุดคือการวิจัยและพัฒนาการผลิตยาปฏิชีวนะจากการหมักด้วยราเพนิซิเลียมในสเกลอุตสาหกรรมจากฝั่งสหรัฐอเมริกา
ส่วนในด้านการนำไปสร้างเป็นอาวุธโดยตรงก็มีทีมวิจัยของชาติมหาอำนาจแทบทุกชาติพยายามทำ
กรณีฉาวโฉ่โด่งดังที่สุดคือ Unit 731 ของกองทัพญี่ปุ่น ที่ตั้งอยู่ในเขตแมนจูเรีย ช่วงปี 1936-1945 โดยมีฉากหน้าเป็นหน่วยป้องกันโรคระบาดและผลิตน้ำ แต่เบื้องหลังเป็นหน่วยวิจัยลับเพื่อพัฒนาอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพ ประกอบด้วยอาคาร 150 หลัง เจ้าหน้าที่ประจำกว่า 3,000 คน และสามารถคุมขังเชลยสงครามได้กว่า 6,000 คน
เชลยเหล่านั้นถูกนำไปใช้เป็นเหยื่อทดลองจนเสียชีวิตกันไปหลายหมื่นคน
คำให้การของอดีตเจ้าหน้าที่จาก Unit 731 ในศาลคาบารอฟสก์ (Khabarovsk Trials) หลังสงครามพบว่า กองทัพญี่ปุ่นสามารถผลิตเชื้อโรคหลัก 4 ชนิด ปริมาณมหาศาลต่อเดือน ได้แก่ Yersinia pestis (กาฬโรค) 300 กิโลกรัม, Bacillus anthracis (แอนแทรกซ์) 500-700 กิโลกรัม, Salmonella (ไทฟอยด์รวมกับพาราไทฟอยด์) 800-900 กิโลกรัม และ Vibrio cholerae (อหิวาตกโรค) มากถึง 1,000 กิโลกรัม
โรคแต่ละชนิดที่กล่าวมานั้นล้วนมีอัตราการป่วยและการตายสูง
กาฬโรคทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวมโต ติดเชื้อในกระแสเลือด และมีอัตราตายเฉลี่ยถึง 40%
แอนแทรกซ์อาจทำให้เกิดแผลรุนแรง ช็อก และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โดยบางกรณีมีอัตราตายสูงถึง 60%
อหิวาตกโรคทำให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง ไทฟอยด์ก่อให้เกิดไข้สูงต่อเนื่องและระบบทางเดินอาหารอักเสบอย่างรุนแรง
แม้สองโรคหลังจะมีอัตราตายต่ำกว่า แต่ก็สร้างภาระทางสุขภาพและความทุกข์ทรมานมหาศาล นอกจากนี้ หน่วย 731 ยังเพาะพันธุ์หมัดจำนวนมากเพื่อใช้เป็นพาหะนำเชื้อกาฬโรค โดยพวกเขามีเครื่องเพาะหมัดถึง 4,500 เครื่อง ซึ่งสามารถผลิตหมัดได้อย่างน้อย 45 กิโลกรัมในแต่ละรอบการผลิต
กองทัพญี่ปุ่นนำอาวุธชีวภาพเหล่านี้ลองใช้จริงแล้วในหลายเมืองของจีน มีตั้งแต่โปรยตัวหมัดติดกาฬโรคจากเครื่องบิน ใส่เชื้อไทฟอยด์ลงในแหล่งน้ำหรือขนมที่แจกจ่ายแก่ประชาชน ยอดป่วยและผู้เสียชีวิตจากการระบาดอยู่ที่หลายหมื่นถึงหลายแสนคน
ช่วงปลายสงครามที่ญี่ปุ่นใกล้เข้าตาจนก็มีความพยายามที่จะนำเชื้อกาฬโรคไปโจมตีมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐโดยบรรทุกผ่านเรือดำน้ำที่บรรจุเครื่องบินที่สามารถไปโปรยตัวหมัดที่มีเชื้ออยู่ ปฏิบัติการนี้มีชื่อว่า Operation Cherry Blossoms at Night อย่างไรก็ตาม สงครามได้สิ้นสุดลงก่อนที่จะได้มีการดำเนินการจริง
หลังสิ้นสุดสงครามนักวิจัยระดับสูงของ Unit 731 ได้รับการนิรโทษกรรมโดยสหรัฐและสหภาพโซเวียตแลกกับความลับด้านอาวุธชีวภาพและผลการทดลองในมนุษย์ที่ล้ำเส้นจริยธรรมไปไกลจนไม่สามารถทำได้ในสภาวะปกติ

Cr.ณฤภรณ์ โสดา
ในช่วงสงครามเย็นทั้งฝั่งโลกเสรีและคอมมิวนิสต์ต่างเร่งพัฒนาอาวุธชีวภาพ และต่างมีกรณีอื้อฉาวทั้งจากความตั้งใจและอุบัติเหตุ
สหรัฐเริ่มโครงการอาวุธชีวภาพเชิงรุกอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1942 ภายใต้การกำกับของหน่วยงานพลเรือนชื่อ War Reserve Service มีหน่วยวิจัยที่ป้อมเดทริก (Fort Detrick) ในรัฐแมริแลนด์ และในปัจจุบันคือที่ตั้งของสถาบันวิจัยโรคติดเชื้อของกองทัพสหรัฐ (USAMRIID) มีพื้นที่ทดสอบในรัฐมิสซิสซิปปีและรัฐยูทาห์ รวมถึงโรงงานผลิตในรัฐอินเดียนา
เชื้อที่ให้ความสนใจในระยะแรกคือ Bacillus anthracis (แอนแทรกซ์) และ Brucella suis สหรัฐผลิตระเบิดบรรจุสปอร์ของแอนแทรกซ์ได้ถึง 5,000 ลูกที่ค่ายเดทริก แต่ปัญหาด้านความปลอดภัยทางวิศวกรรมทำให้ไม่สามารถขยายกำลังการผลิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้เต็มที่
ช่วงสงครามเกาหลี (1950-1953) สหภาพโซเวียต จีน และเกาหลีเหนือกล่าวหาว่าสหรัฐใช้อาวุธชีวภาพกับเกาหลีเหนือ แม้สหรัฐจะปฏิเสธว่าไม่เคยใช้ แต่ก็ยอมรับอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชนว่ามีโครงการอาวุธชีวภาพเชิงรุก โครงการของสหรัฐขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ โดยมีโรงงานผลิตใหม่ที่รัฐอาร์คันซอ เริ่มโครงการพัฒนาวัคซีน เซรุ่ม และยารักษาสำหรับป้องกันกำลังพลจากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพ
ภายในปลายทศวรรษ 1960 สหรัฐได้ครอบครองคลังแสงชีวภาพที่ประกอบด้วยเชื้อโรค เชื้อพิษ และเชื้อราที่สามารถใช้ทำลายพืชผลจนเกิดภาวะอดอยากได้

Cr.ณฤภรณ์ โสดา
ที่ Fort Detrick มีการสร้างห้องทดลองรูปทรงกลมยักษ์ความจุหนึ่งล้านลิตร เรียกว่า “eight ball” เพื่อจำลองการแพร่กระจายเชื้อในอากาศ โดยอาสาสมัครถูกนำไปสัมผัสกับเชื้อ Francisella tularensis และ Coxiella burnetii เพื่อศึกษาความอ่อนไหวของมนุษย์ต่อเชื้อโรคชนิดต่างๆ และทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนและการรักษา
ในช่วงระหว่างปี 1942-1969 มีรายงานการติดเชื้อจากการทำงานที่ Fort Detrick กว่า 400 ราย
ระหว่างปี 1950-1960 สหรัฐได้ทำการทดลองลับเพื่อทดสอบความเปราะบางของเมืองใหญ่ต่อการโจมตีทางชีวภาพ โดยใช้เมืองชายฝั่งตะวันออกและตะวันตก เช่น นิวยอร์กซิตีและซานฟรานซิสโกเป็นสนามทดสอบจริง มีการปล่อยเชื้อจำลองในพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อศึกษาผลกระทบของแสงแดดและสภาพอากาศต่อการมีชีวิตรอดของเชื้อ
ปฏิบัติการของกองทัพเรือสหรัฐภายใต้ชื่อ Operation Sea Spray ในปี 1950 มีการพ่นแบคทีเรียชนิด Serratia marcescens และ Bacillus globigii จากเรือกวาดทุ่นระเบิดในอ่าวซานฟรานซิสโกเป็นเวลาหกวัน แบคทีเรียสองชนิดนี้ถูกเลือกมาใช้เพราะพวกมันผลิตรงควัตถุสีแดงและดำเห็นชัด สามารถติดตามการกระจายตัวได้ง่าย และในขณะนั้นไม่เคยมีรายงานว่าสามารถก่อโรคในมนุษย์
ผลการเก็บตัวอย่างจาก 43 จุดทั่วเมืองและเขตชานเมือง พบว่าเชื้อแบคทีเรียได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ในตัวเมืองซานฟรานซิสโก แต่ยังลามไปถึงพื้นที่รอบข้าง ผู้คนในพื้นที่ที่ถูกพ่นเชื้อ ล้วนต้องสูดละอองสปอร์ของแบคทีเรียเข้าไปหลายล้านหน่วย
หนึ่งสัปดาห์หลังจากการทดลอง มีผู้ป่วย 11 รายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ด้วยอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
และเมื่อตรวจตัวอย่างปัสสาวะ แพทย์ก็พบว่าเชื้อมี “เฉดแดง” ผิดปกติ
การติดเชื้อ Serratia ในคนปกติแล้วหายากมาก จนมหาวิทยาลัยต้องทำการสืบสวนอย่างละเอียดว่าเชื้อแดงสดนี้มาจากไหน
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ระบุเชื้อได้ ก็พบว่าเหตุการณ์นี้เป็น “การระบาดในคนครั้งแรกที่ถูกบันทึกไว้ของ Serratia marcescens” ผู้ป่วยรายหนึ่ง ซึ่งอยู่ในช่วงพักฟื้นหลังผ่าตัดต่อมลูกหมากเสียชีวิต
กองทัพได้ดำเนินการทดสอบในลักษณะเดียวกันนี้ในอีกหลายเมืองทั่วสหรัฐอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองทศวรรษ จนกระทั่งประธานาธิบดี Richard Nixon ออกคำสั่งยุติการวิจัยอาวุธชีวภาพทั้งหมดในปี 1969 และการทดลองในซานฟรานซิสโกไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเลยเกือบสามทศวรรษหลังจากเกิดเหตุการณ์
ครอบครัวผู้เสียชีวิตฟ้องร้องรัฐบาลกลางในปี 1981 ต่อสู้กันในชั้นศาลไปจนถึงศาลฎีกา แต่สุดท้ายคำร้องนี้ก็ตกไป ด้วยเหตุผลว่าแบคทีเรียที่ใช้ในการทดสอบไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ป่วย

Cr.ณฤภรณ์ โสดา
ฝั่งสหภาพโซเวียตได้พัฒนาโครงการอาวุธชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติภายใต้ฉากหน้าว่าเป็น “อุตสาหกรรมจุลชีววิทยา” ในปี 1973 รัฐบาลโซเวียตได้จัดตั้ง Biopreparat ในฐานะหน่วยงานเภสัชกรรมพลเรือน แต่ในความเป็นจริงคือ องค์กรอาวุธชีวภาพขนาดมหึมา ช่วงทศวรรษ 1980 Biopreparat มีนักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่มากถึง 25,000-30,000 คน กระจายอยู่ตามไซต์ลับต่างๆ ทั่วประเทศ
พวกเขาไม่เพียงแค่พัฒนาเชื้อโรคร้ายแรงอย่างฝีดาษ แอนแทรกซ์ กาฬโรค โบทูลินัม วัคซีนไวรัส VEE ฯลฯ ให้มีฤทธิ์รุนแรงขึ้น แต่ยังสามารถผลิตได้ในระดับตันต่อรอบ
ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ในช่วงปลายยุค 70 พวกเขาเริ่มสร้างสายพันธุ์เชื้อที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะและวัคซีน และภายในปี 1980 ก็สามารถทำให้ไวรัสฝีดาษหนึ่งในโรคที่มนุษยชาติหวาดกลัวที่สุดกลายเป็นอาวุธชีวภาพได้สำเร็จ
ความลับเริ่มเปิดออกจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญโศกนาฏกรรมสเวียดลอฟสก์ (Sverdlovsk) เดือนเมษายน 1979 ประชาชนที่อาศัยอยู่ใต้ลมของสถานีวิจัยทหารด้านจุลชีววิทยาล้มป่วยจากการติดเชื้อแอนแทรกซ์ทางเดินหายใจ มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 64 ราย (บางรายงานบอกว่าอาจมากกว่า 100 คน) รวมถึงสัตว์เลี้ยงและปศุสัตว์จำนวนมากในแนวทิศทางลม
เจ้าหน้าที่โซเวียตรีบออกแถลงการณ์ว่าเกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ปนเปื้อน แต่หน่วยข่าวกรองและนักวิทยาศาสตร์ฝั่งตะวันตกไม่ปักใจเชื่อ
หลายปีต่อมา หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน ออกมายอมรับความจริงว่า เหตุการณ์นี้คือการรั่วไหลโดยไม่ได้ตั้งใจของสปอร์แอนแทรกซ์ที่ถูกพัฒนาเป็นอาวุธชีวภาพจากห้องแล็บทหาร
คำยืนยันนี้ยังสอดคล้องกับข้อมูลจากผู้แปรพักตร์อย่าง Ken Alibek (อดีตรองผู้อำนวยการ Biopreparat) ซึ่งเปิดเผยว่า โครงการอาวุธชีวภาพของโซเวียต ไม่เคยหยุด แต่กลับยิ่งทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้นตลอดช่วงยุค 1980

Cr.ณฤภรณ์ โสดา
การสิ้นสุดของสงครามเย็นต้นทศวรรษที่ 1990 พร้อมกับการเริ่มต้นของยุคไบโอเทค เทคโนโลยีจีโนม ชีวสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และปัญญาประดิษฐ์
ทำให้ทั้งปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ และขีดความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยีด้านอาวุธชีวภาพและการรับมือเปลี่ยนไปจากเดิมมาก
การก่อการร้าย และอาชญากรรมที่ผสมผสานทั้งโลกชีววิทยาและโลกของข้อมูลจะหน้าตาเป็นอย่างไร ติดตามต่อตอนหน้า