
บางอย่างในความรักของเรา (10) เรื่องของปิ่น (2) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด
อนุสรณ์ ติปยานนท์
บางอย่างในความรักของเรา (10)
เรื่องของปิ่น (2)
อาจจริงดังว่าไม่มีความปกติใดที่ดำเนินไปได้ตลอดกาล หาไม่แล้ว มันคงไม่มีคำว่า “ความผิดปกติ” อยู่ในศัพท์สามัญทั่วไป ความรักระหว่างฉันกับเขาที่แลดูราบรื่น ดำเนินไปอย่างเงียบสงบ ไร้อุปสรรคใดๆ นั้น แท้จริงแล้วกลับมีหลุมภัยอันหายนะรออยู่เบื้องหน้า และหลุมภัยแห่งหายนะหาได้อุบัติขึ้นอย่างไร้ที่มา หากแต่ว่ามันกลับดำรงรออยู่อย่างเงียบเชียบ
หลุมภัยที่ว่านั้นมาจากคนใกล้ตัวของฉัน มาจากพ่อของฉันเอง
บันทึกของฉันเมื่อถึงตอนนี้ ฉันเขียนหัวข้อของมันว่า “อุปสรรค” แต่แล้วฉันก็ขีดฆ่าคำคำนี้ทิ้งเสีย ฉันเลือกคำว่า “วิบากกรรม” มาใช้แทน เพราะฉันพบว่าอุปสรรคนั้นเป็นเรื่องของข้อจำกัดเพียงเล็กน้อยที่เรานั้นหากตั้งสติแล้วก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้
แต่วิบากกรรมนั้นเป็นเรื่องสำคัญ
มันคือโครงสร้างใหญ่ของบางสิ่งที่ตรึงเราไว้กับที่ก่อนจะเล่นงานเราจนสาแก่ใจ และแล้วมันก็จะจากเราไปคล้ายดังไม่เคยทำร้ายหรือทำอันตรายใดๆ แก่เรามาก่อนเลย
วิบากกรรมของฉันก็เป็นเช่นนั้นไม่ต่างกัน
หนังสือดูจะเป็นวิบากกรรมขนาดใหญ่ การที่เราทั้งคู่ถูกร้อยรัดเข้าด้วยกันผ่านทางวัตถุสามัญธรรมเช่นนี้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนดังได้อยู่ใกล้ชิดกันแทบทุกขณะ ทุกครั้งที่ฉันหยิบหนังสือเล่มโปรดขึ้นอ่าน ฉันจะนึกถึงเขา ทุกครั้งที่ฉันหยิบหนังสือที่น่าสนใจขึ้นอ่าน ฉันจะนึกว่าเขาจะได้อ่านมันแล้วหรือไม่ ทุกครั้งที่ฉันพบกับข้อความที่น่าประทับใจ ฉันจะจดมันไว้ก่อนจะอวดมันให้เขาได้อ่าน โลกแห่งการอ่าน การเขียน การมีหนังสือครอบครองของฉันได้มีเขาเป็นส่วนร่วมแล้วอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง
การนำพาใครบางคนเข้ามาในชีวิตของเรานั้น หาใช่เรื่องที่ยากเย็น แต่การนำพาใครบางคนออกไปจากชีวิตนั้นกลับเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งยวด
เมื่อฉันรู้สึกว่าเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันแล้ว คลื่นแห่งวิบากกรรมก็ก่อตัวของมันขึ้นอย่างเงียบเชียบ เมื่อพ่อของฉันหยิบหนังสือจากกองหนังสือที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานั้นขึ้นอ่าน คำถามหลายคำถามเป็นคำถามที่ยากจะตอบ
อาทิ เมื่อพ่อหยิบหนังสือนวนิยายเรื่องสงครามและสันติภาพของลีโอ ตอลสตอย พ่อก็จะมาพร้อมกับคำถามที่ว่า “ลูกอ่านหนังสือของพวกรัสเซียด้วยกระนั้นหรือ”
เมื่อพ่อหยิบหนังสือนวนิยายเรื่องบ้านของปาจินขึ้นอ่าน พ่อก็จะพร้อมกับคำถามที่ว่า “ลูกอ่านหนังสือของพวกจีนแดงด้วยหรือ?”
เมื่อคำตอบของฉันอยู่ที่ว่าเพื่อนคนหนึ่งของฉันเป็นผู้แนะนำหนังสือเหล่านี้ พ่อก็จะเลิกคิ้ว ทำน้ำเสียงไม่พอใจว่ามีหนังสืออีกมากในโลกที่ควรค่าแก่การอ่านกว่านั้น
เมื่อฉันออกจากบ้านในวันหยุดเพื่อไปสอนหนังสือเด็กในสลัม พ่อก็จะมาพร้อมกับคำถามว่า “ลูกสนใจกิจกรรมเหล่านี้ด้วยหรือ?” เมื่อคำตอบของฉันอยู่ที่ว่าเพื่อนคนหนึ่งของฉันเป็นผู้ชักชวน พ่อก็จะทำสีหน้ากังวลสงสัยก่อนจะตามติดมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่ามีกิจกรรมอื่นที่น่าสนใจมากกว่านั้น “ลูกอยากเรียนขี่ม้า ยิงธนูหรือเทนนิส พ่อก็จะจัดหาครูแลสถานที่ฝึกให้”
แต่เมื่อฉันบอกว่าฉันไม่สนใจกิจกรรมเหล่านั้นเลย พ่อก็จะเดินจากฉันไปด้วยท่าทีที่เป็นศัตรู
พ่อไม่ได้เป็นศัตรูกับฉัน พ่อเป็นศัตรูกับโลกของฉันที่มีเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งต่างหากเล่า
ท่าทีของพ่อที่ตั้งตนเป็นศัตรูนั้นแข็งกล้าขึ้นตามกาลเวลา โดยเฉพาะเมื่อฉันบอกกับพ่อว่าเขาเป็นเพื่อนชายที่สนิทที่สุดคนเดียวของฉันในช่วงเวลานั้น พ่อเริ่มตั้งคำถามว่าเขาเป็นใคร พ่อและแม่ของเขาเป็นใคร โรงเรียนเก่าของเขาชื่ออะไร อยู่แห่งหนไหน คำถามที่ไร้ความจำเป็นที่จะตอบ พ่อไม่ได้สนใจคำตอบเหล่านั้นหรอก พ่อสนใจเพียงว่าเมื่อฉันตอบอะไรออกมา พ่อจะทำท่าทีดังว่ามีบางสิ่งที่ดีกว่านั้นอยู่เสมอ
ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว แม่เป็นแม่บ้านที่แม้จะจบการศึกษาขั้นสูงในระดับมหาวิทยาลัยแต่พ่อผู้เป็นข้าราชการทหารก็สามารถบังคับให้แม่กลายเป็นแม่บ้านได้อย่างไม่มีทางเลือกหลังการแต่งงาน “พ่อบอกกับแม่ว่า ถ้ามีใครู้ว่านายทหารอย่างเขายังต้องให้เมียไปทำงานนอกบ้านเพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่าย เขาจะเสียหน้าสักเพียงใด”
ฉันฟังเรื่องเล่าที่ว่านี้ด้วยความรู้สึกงุนงง ก็คนเราทุกคนมีคุณค่าจากการทำงานมิใช่หรือ แม่ที่เรียนจบด้านภาษาฝรั่งเศสควรได้งานทำเป็นล่าม เป็นนักแปล เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ทำงานในสถานทูต หรือทำอะไรบางอย่างที่ทำให้แม่ได้แสดงความสามารถส่วนตน หาใช่การเดินไปมาอยู่ในบ้าน เล่นกับสัตว์เลี้ยง ไปตลาดตอนเย็น ทำอาหารมื้อค่ำ เข้านอนและเริ่มต้นใหม่ในวิถีชีวิตแบบเดิมเช่นทุกวัน
การบังคับให้วิถีชีวิตของแม่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของพ่อก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างมากกับวิถีชีวิตของฉันที่พ่อดูจะไม่อาจบังคับบัญชาสิ่งใดได้ ฉันผู้เป็นลูกสาวคนเดียวได้รับการตามใจตั้งแต่เด็กทำให้พ่อรู้ดีว่าการบังคับหรือฝีนใจสิ่งใดในยามนี้ย่อมไม่ต่างจากการหยุดรถที่วิ่งด้วยความเร็วสูงบนถนนหลวง
พ่อทำได้เพียงแสดงท่าทางไม่พอใจ และเมื่อท่าทางที่ว่านั้นไม่ได้รับการตอบสนอง พ่อก็ขยายความไม่พอใจขึ้นทุกทีและโยนความไม่พอใจเหล่านั้นไปที่เขา
ทางหนึ่งที่พ่อคิดขึ้นว่าจะหยุดความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขาลงได้คือการทำให้ฉันและเขาได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันให้น้อยที่สุด แน่นอนในชั้นเรียนพ่อย่อมไม่อาจพรากจากเราสองคนออกจากกันได้
แต่หลังเลิกเรียน พ่อแทบจะขอร้องให้ฉันกลับบ้านกับพ่อ แต่ฉันปฏิเสธ ในช่วงเช้าฉันเดินทางมาโรงเรียนกับพ่อ ดังนั้น ในช่วงเย็น ฉันจึงต้องการเวลาอิสระสำหรับการทบทวนบทเรียนกับเพื่อนร่วมชั้น กับการทำกิจกรรม กับการใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างที่ควรจะเป็น
แม้ว่าพ่อจะไม่พอใจกับคำโต้แย้งนี้ของฉัน แต่พ่อก็ยอมรับมัน การแข็งขืนกับฉันนั้นอาจให้ผลในทางอื่นซึ่งพ่อดูจะเข้าใจมันได้ดี
แต่กระนั้นพ่อก็หาได้ลดละความพยายามที่จะแยกเขาออกจากฉัน
พ่อใช้วิธีผูกมิตรกับผู้ปกครองคนอื่นของเพื่อนฉัน ฝากฝังพวกเขาให้เป็นหูเป็นตาแทน
นอกจากนี้ พ่อยังผูกมิตรกับครู กับทุกคนที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับแผนการของพ่อ
พ่อขอให้ฉันพาเขามาที่บ้านซึ่งฉันปฏิเสธ เพราะรู้ดีว่าเขาจะต้องเจอกับสายตาเช่นไร
ตลอดเวลาสามปีในชั้นมัธยมปลาย ฉันพาเขาหลบเลี่ยงจากพ่อได้จนถึงวันสอบวันสุดท้ายที่พ่อบอกฉันว่าจะพาฉันไปเลี้ยงฉลอง
และในเย็นวันนั้นเองที่ผู้ชายสองคนที่สำคัญต่อชีวิตของฉันได้พบกันเป็นครั้งแรก
การพบกันครั้งนั้นส่งผลให้หลายสิ่งเปลี่ยนไป ความต้องการที่จะเข้ามหาวิทยาลัยที่อยู่คนละสถานที่ของเราจบลง เขายืนกรานว่าจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกับฉันซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องยาก สำหรับนักเรียนในโรงเรียนชั้นนำอย่างพวกเรา การจะเข้ามหาวิทยาลัยใดแทบไม่มีข้อจำกัดเลย เราทั้งคู่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างสะดวกเป็นนักศึกษาใหม่พร้อมกัน ทว่า ชีวิตในมหาวิทยาลัยกลับดูพรากเราจากกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่ช้าก็เร็วฉันพบว่ามีหลายสิ่งน่าสนใจ น่าค้นหามากกว่าการจมอยู่กับตัวหนังสือ
ฉันเริ่มต้นคบหาเพื่อนที่ต่างจากวิถีชีวิตแบบเดิม ในขณะที่เขายังคงจมอยู่กับการอ่านและตัวหนังสือ อีกทั้งยังมีมุมอ่านหนังสือส่วนตัวในหอสมุด ในขณะที่ฉันพึงใจกับการเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่และการไปออกกำลังกายตามสถานออกกำลังกาย
เขาพึงใจกับการไปดูภาพยนตร์ศิลปะตามสถานวัฒนธรรมต่างๆ ในขณะที่ฉันชอบจับกลุ่มกับเพื่อนใหม่ไปชมภาพยนตร์ชั้นนำจากฮอลลีวู้ดที่เพิ่งเข้าโรงภาพยนตร์ล่าสุด
เขาทุ่มแรงกายไปกับการออกค่ายพัฒนาชนบทและการทำกิจกรรม ในขณะที่ฉันถูกชักจูงให้เข้าสู่งานสังคม
ฉันเริ่มต้นสมัครเป็นนางแบบตามบริษัทที่ดูแลนางแบบต่างๆ เริ่มต้นทดสอบหน้ากล้องสำหรับการแสดงเล็กๆ น้อยๆ เราทั้งคู่ห่างเหินกันไปทีละน้อย ทีละน้อย ซึ่งแม้ทั้งหมดนี้ฉันจะรู้ตัว แต่ฉันก็พึงใจให้มันเป็นไปเช่นนั้น
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้สร้างความพึงพอใจให้กับพ่อของฉัน พ่อดูจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าเราทั้งสองคนน่าจะมีความแตกต่างกันมากมาย
พ่อพรากฉันไปจากเขา และฉันพรากเขาไปจากโลกของฉันอีกทีหนึ่ง
เรื่องราวทั้งหมดนี้คงจบลงด้วยการพรากจากกันของเราหากแม่ของฉันจะไม่ล้มป่วยลง
การล้มป่วยลงของแม่ด้วยโรคที่เรื้อรังและอันตรายและสาหัสในอาการ ทำให้ฉันนึกถึงเขา ทำให้ฉันปรารถนาให้เขาอยู่ใกล้ชิดฉัน
ในช่วงเวลานั้นเองที่ฉันพบว่าฉันปรารถนาให้เขาอยู่เคียงข้างฉันมากกว่าใดอื่น แต่เขากลับหายตัวไป ฉันติดต่อเขาไม่ได้ โทรศัพท์ที่บ้านของเขาไม่มีคนรับสาย ในมหาวิทยาลัยไม่มีใครได้พบเห็นเขา เพื่อนทุกคนบอกว่าเขาไม่ได้เข้าชั้นเรียน
ฉันอยากตรงไปที่บ้านของเขา กระชากตัวเขาออกจากที่หลบซ่อนและโอบกอดเขาไว้ให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ฉันก็ไม่รู้จักบ้านของเขา ฉันพบว่าฉันรู้จักเขาน้อยกว่าที่เป็น
ฉันจมอยู่ในห้องพักผู้ป่วย นอนอยู่บนเตียงเล็กๆ ของผู้เป็นญาติ เฝ้าดูอาการของแม่ที่ทรุดหนักลงทุกทีพร้อมกับคำถามว่าเขาหายไปไหน
คำถามดังกล่าววนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันนานนับสัปดาห์และนานนับเดือน
จนในที่สุดฉันก็คิดว่าฉันก็หมดหวัง ฉันคิดว่าเขาได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยไปแล้ว เดินทางห่างไกลออกไปจากดินแดนที่เราคุ้นเคย
ฉันจมอยู่กับสิ้นหวัง
และในยามสายวันหนึ่งนั้นเอง เขาก็เดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย เดินผ่านสายตาเย็นชาของพ่อฉัน ไปหยุดลงที่ข้างเตียงของแม่ฉัน
เขายืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ในขณะที่ฉันร้องไห้อย่างดูเหมือนจะไม่มีทางหยุดยั้ง •