

การฉลองชัยในวาระครบรอบ 80 ปีเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของกองทัพสัมพันธมิตรในการยกพลขึ้นบกที่ชายหาดนอร์มังดี เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 1944 ผ่านไปแล้ว … ถ้าเราติดตามการถ่ายทอดสดผ่านช่องทีวีของยุโรป เราจะเห็นบรรยากาศในวันนั้น อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะการปรากฏตัวของผู้นำยูเครน และการไม่เชิญผู้นำรัสเซียเข้าร่วมงาน ขณะเดียวกัน ก็เชิญผู้นำเยอรมันซึ่งเป็นฝ่ายข้าศึกในวันนั้น เข้าร่วมงานด้วย
ในอีกด้านหนึ่ง การจัดงานในวาระครบรอบ 80 ปีมีความสำคัญกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงของการยกพลขึ้นบกในวันที่ 6 มิถุนายน … กำลังพลหลายนายที่ร่วมปฏิบัติการในวันนั้น อยู่ในช่วงอายุ 20 ปีต้นๆ ซึ่งสมมติว่า ทหารคนนั้นอายุ 20 ปีในวันดังกล่าว เขาจะมีอายุครบรอบ 100 ปีในงานฉลองครั้งนี้ ดังนั้น หลายคนจึงมีข้อสังเกตว่า การฉลองด้วยการรำลึกถึงวันดี เดย์ในปีที่ 80 นี้ อาจจะเป็นปีสุดท้ายที่กำลังพลที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ที่จะมีโอกาสร่วมฉลองด้วย ดังจะเห็นได้ว่า ในบางช่วงที่งานบางส่วนล่าช้าออกไปบ้าง ก็เนื่องจากการต้องคอยเช็คสุขภาพของทหารผ่านศึกหลายนายที่จะต้องเข้าร่วมในพิธี เป็นต้น
การฉลองใหญ่ครั้งต่อไปอาจจะเป็นในปี 2029 คือ ปีที่ 85 หรือแน่นอนว่า การฉลองใหญ่จะเกิดในปี 2034 ซึ่งจะเป็นปีที่ 90 ของเหตุการณ์นี้ บรรดาทหารผ่านศึกที่นอร์มังดีอาจจะไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้การรำลึกสงครามในปีที่ 80 มีความหมายอยู่ในตัวเอง และถือเป็นวาระสำคัญของทั้งโลกและยุโรป ดังจะเห็นถึงการเข้าร่วมของประมุขแห่งรัฐราว 25 ประเทศ
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ความสำเร็จของการยกพลขึ้นบกที่ชายหาดที่นอร์มังดี คือ จุดเริ่มต้นของการปลดปล่อยยุโรปออกจากการยึดครองของกองทัพนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และความสำเร็จนี้มีนัยถึง การปูทางไปสู่ชัยชนะของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในเวทีสงครามในยุโรปในเวลาต่อมา
ฉะนั้น ในบริบทของ “ภูมิศาสตร์สงคราม” ผู้คนในเอเชียอาจจะไม่ได้มีความรู้สึกร่วมกับเหตุการณ์ดังกล่าวมากนัก หรือผู้คนในสังคมไทยอาจจะ “ไม่อิน” กับเรื่องราวเหล่านี้เท่าใดนัก เพราะอาจจะดูเป็นเหมือน “เรื่องไกลตัว” ที่อาจจะไม่เหมือนกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเอเชีย กระนั้น ในแง่มุมของประวัติศาสตร์การสงครามของโลกแล้ว การยกพลขึ้นบกในครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนของกระแสสงคราม และกระทบกับสงครามในเอเชียด้วย ความสำเร็จของปฏิบัติการนี้คือ สัญญาณว่าระบอบอักษะเริ่มเข้าสู่จุดของความพ่ายแพ้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เราคงต้องยอมรับในเบื้องต้นก่อนว่า “การรำลึกถึงสงคราม” โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงว่า การต่อสู้ครั้งนั้นเป็นชัยชนะ หรือประสบความพ่ายแพ้ความพ่ายแพ้ก็ตาม ย่อมเป็นเรื่องทางการเมืองในตัวเองเสมอ เพราะการรำลึกเช่นนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงประเด็นทางการเมืองไม่ได้ เนื่องจากการรำลึกเช่นนี้ในส่วนหนึ่งคือ การประกอบสร้างประวัติศาสตร์ และกลายเป็นประวัติศาสตร์การเมืองของเหตุการณ์นั้น
ฉะนั้น การประกอบสร้างให้เป็น “เรื่องราว” ของเหตุการณ์นั้นๆ ย่อมเป็นการเมืองในอีกรูปแบบหนึ่ง หรือที่มักจะกล่าวกันว่า การรับรู้ “เรื่องราว” ทางประวัติศาสตร์คือ กระบวนการสร้างการรับรู้ทางการเมืองนั่นเอง
การรำลึกถึงวันดี-เดย์ในปีที่ 80 จึงมาพร้อมกับสถานการณ์การเมืองชุดใหม่ของยุโรปที่เห็นถึงสงครามยูเครน และปัญหาการคุกคามทางทหารของรัสเซียในยุคปัจจุบัน จึงทำให้การจัดงานในปีที่ 80 เป็นเรื่องทางการเมืองในตัวเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เรากำลังเห็นถึงบทบาทของปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ชายหาดนอร์มังดี ซึ่งว่าที่จริงแล้ว อาจจะต้องยอมรับว่า ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อย้อนกลับถึงการรำลึกถึงเหตุการณ์การยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในยุคสงครามเย็นแล้ว เราจะเห็นถึงการสร้าง “เรื่องเล่าและวาทกรรม” ของเหตุการณ์นี้อย่างชัดเจน … การรบที่ชายหาดนอร์มังดีคือ ภาพแทนของการต่อสู้ระหว่าง “โลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์” เนื่องจากในยุคสงครามเย็นนั้น การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นเรื่องระหว่าง 2 ค่ายอุดมการณ์ โดยมีสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตเป็นรัฐคู่แข่งขัน
ดังนั้น ภาพของการฉลองจึงเสมือนมีทหารอเมริกันเป็นพระเอก มีทหารอังกฤษและทหารแคนาดาเป็นพระรอง และทหารฝรั่งเศสและหน่วยใต้ดินฝรั่งเศสเป็นผู้ช่วย ซึ่งอาจจะสอดรับกับความจริงในทางทหาร เนื่องจากสหรัฐมีบทบาทหลัก จนดูเหมือนเราจะลืมไปว่า จุดเปลี่ยนใหญ่ที่เป็นจุดแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เกิดจากความพ่ายแพ้ใหญ่ของกองทัพนาซีใน “การรบที่สตาลินการ์ด” ในกลางปี 1942-ต้นปี 1943
แต่ด้วยเงื่อนไขของการเมืองระหว่างประเทศแล้ว ชัยชนะที่นอร์มังดีดูจะบดบังชัยชนะของกองทัพแดงในแนวรบด้านตะวันออกที่สตาลินการ์ด เช่นที่เราไม่ค่อยนึกถึง “สงครามรถถังที่คูสค์” ในช่วงกลางปี 1943 ซึ่งเป็นสงครามรถถังที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของกองทัพรถถังของเยอรมันด้วยเช่นกัน
สำหรับในปีที่ 80 ที่มีสงครามยูเครนเป็นสนามรบหลักของยุโรปนั้น การรำลึกครั้งนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกี่ยวโยงเข้ากับปัญหาสงครามในยูเครน … สุนทรพจน์ของผู้นำชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นของสหรัฐ ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ ล้วนมีนัยทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมในการสนับสนุนการต่อสู้ของยูเครน จนอาจกล่าวได้ว่า การรำลึก 80 ปีวันดี-เดย์ เป็นการรวมตัวของชาติพันธมิตรตะวันตกที่แสดงออกอย่างชัดเจนในการต่อต้านการทำสงครามของรัสเซียในยูเครน
ดังนั้นในอีกด้านหนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่งานครั้งนี้ไม่มีการเชิญผู้นำรัสเซีย เพราะการเข้าร่วมงานของรัสเซียเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางการเมือง เนื่องจากภาพแทนของข้าศึกที่นอร์มังดีวันนี้ไม่ใช่กองทัพเยอรมันอีกแล้ว แต่เป็นกองทัพรัสเซียที่กำลังคุกคามยุโรปในปัจจุบันเสมือนบทบาทของกองทัพนาซีเมื่อ 80 ปีก่อนนั่นเอง!
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

