เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

BRN หลัง JCPP! จุดเปลี่ยนสถานการณ์ใต้

24.10.2024

“การเน้นหนักไปในทางการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะละทิ้งการต่อสู้ในรูปแบบอื่นๆ ได้ ตรงกันข้าม ถ้าปราศจากการประสานซึ่งกันและกันของการต่อสู้ในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือไปจากการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธแล้ว การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธก็ไม่อาจจะได้รับชัยชนะ…”
ประธานเหมาเจ๋อตง

 

บทความนี้อยากจะขอเริ่มต้นด้วยข้อสังเกตพื้นฐานว่า สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังเดินมาถึง “จุดเปลี่ยน” ที่สำคัญอีกวาระหนึ่ง โดยมีปัจจัยหลัก 4 ประการในเบื้องต้นเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อน

ประการแรก เราอาจต้องยอมรับว่าหลังจากมีการประกาศถึงสิ่งที่อาจจะเรียกว่า “แผนสันติภาพภาคใต้” ในชื่อที่เรียกกันโดยทั่วไปในสื่อว่า “JCPP” แล้วนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ดูจะเปลี่ยนไปมาก จนอาจต้องถือว่าการปรากฏตัวของ JCPP เป็นหมุดหมายสำคัญในการกำหนดเส้นเวลา จนทำให้เกิด “สถานการณ์ภาคใต้ชุดใหม่” หรือที่อาจเรียกว่า “สถานการณ์ภาคใต้หลัง JCPP”

เพราะหลังจากการเปิดตัวของเอกสารฉบับนี้แล้ว เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่ตามมา

ประการที่สอง การเกิดสถานการณ์ชุดใหม่เช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลของปัจจัย JCPP ดังที่กล่าวแล้ว แต่ในอีกส่วนยังเป็นผลจากบทบาทของ “BRN” ในฐานะของกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งกลุ่มได้แสดงบทบาทเป็นขบวนนำในการต่อต้านรัฐไทยในภาคใต้ เพราะกลุ่มนี้เองก็มีบทบาทโดยตรงที่ทำให้เกิดสถานการณ์ใหม่เช่นกันด้วย

ประการที่สาม สถานการณ์เช่นนี้ยังเป็นผลของการ “ขยายแนวร่วม” ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเอาชนะรัฐในสงครามก่อความไม่สงบ เพราะแนวร่วมเช่นนี้จะเป็นตัวแสดงทางการเมืองอีกส่วน ที่ไม่เพียงแต่ใช้ในการกดดันรัฐเท่านั้น หากยังใช้เป็น “ตัวช่วย” ที่สำคัญของการรุกทางการเมือง

การรุกเช่นนี้จะเกิดไม่ได้เลยโดยปราศจากแรงสนับสนุนของกลุ่มแนวร่วม และกลุ่มแนวร่วมที่มีท่าทีสนับสนุน BRN มีความชัดเจนที่ไม่เพียงปฏิเสธรัฐไทยเท่านั้น หากยังเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับฝ่ายต่อต้านรัฐ และสนับสนุน JCPP

ประการที่สี่ ปัญหาความไม่ชัดเจนของฝ่ายรัฐเอง โดยเฉพาะในบริบททางยุทธศาสตร์ ประกอบกับบุคลากรบางส่วนในกลไกรัฐ และในโครงสร้างการเมืองของฝ่ายรัฐ มีท่าทีโน้มเอียงไปในทางที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐ ซึ่งทำให้การขับเคลื่อนของฝ่ายรัฐประสบปัญหาในตัวเอง แม้รัฐจะมีกำลังที่สูงกว่าในพื้นที่ แต่มิใช่ปัจจัยที่สร้างอำนาจทางการเมืองให้แก่ฝ่ายรัฐได้จริง

 

สถานการณ์ชุดใหม่ในภาคใต้

ด้วยปัจจัย 4 ประการเช่นนี้ เราอาจยอมรับว่าสถานการณ์ในภาคใต้กำลังเดินมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งแล้ว ดังนั้น บทความจะนำเอาภาพของความเปลี่ยนแปลงของภาคใต้ชุดใหม่ โดยเน้นที่บทบาทของ BRN มาเป็นข้อพิจารณาหลัก ซึ่งมีประเด็นต่างๆ ดังนี้

1) การขับเคลื่อนของขบวนการต่อต้านการก่อความไม่สงบในพื้นที่ มีทิศทางของการรุกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปิด “การรุกทางการเมือง” อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหากจัดลำดับเหตุการณ์นับจากการเปิดประเด็นผ่านเอกสาร JCPP ในสื่อแล้ว การรุกของฝ่ายต่อต้านรัฐดูจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนเสมือนในอีกมุมหนึ่ง ฝ่ายรัฐดูจะยังขยับตัวไม่ออกกับงานการเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่าใดนัก

อันมีนัยว่า รัฐไทยกำลังถูกกดดันไม่หยุด

2) การรุกทางการเมืองของขบวนการติดอาวุธ ที่มีนัยหมายถึง กลุ่ม “BRN” ซึ่งประกาศตัวและมีสถานะเป็นคู่เจรจาของรัฐไทยบนโต๊ะเจรจา จึงเท่ากับว่านับจากนี้ กลุ่มดังกล่าวจะต้องถือเป็น “ภัยคุกคามหลัก” ในฐานะของการเป็นขบวนการติดอาวุธหลัก ที่เป็นผู้ก่อเหตุในพื้นที่สามจังหวัด

ดังนั้น ฝ่ายรัฐจึงควรเปิดให้สังคมทั้งภายในและภายนอกรับรู้ร่วมกันว่า BRN คือ ผู้ก่อเหตุร้าย

3) สงครามก่อความไม่สงบที่ดำเนินสู่ปีที่ 21 สะท้อนให้เห็นว่า การเอาชนะด้วย “มาตรการทางทหาร” ของขบวนการติดอาวุธไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร พวกเขาอาจก่อความเสียหายในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะการใช้ “การก่อการร้าย” เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างความกลัวในพื้นที่ ซึ่งการสร้างความกลัวเช่นนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์หลักของกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก

หรืออีกนัยหนึ่งคือการสร้างความกลัวเพื่อให้มวลชนในพื้นที่ไม่กล้าคัดค้าน และในอีกด้านคือ การข่มขวัญเจ้าหน้าที่รัฐให้เกิดความกลัว

 

4) การรุกทางการเมืองเช่นนี้ ทำให้ขบวนการติดอาวุธสามารถเปิด “แนวรบทางการเมือง” ในหลากหลายรูปแบบ อันเท่ากับเป็นสัญญาณที่ชัดมากขึ้น พวกเขามุ่งเน้นการ “เอาชนะทางการเมือง” มากขึ้น เพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐไทย

เพราะเมื่อใดก็ตามที่รัฐสูญเสียความชอบธรรมในสงครามก่อความไม่สงบ รัฐนั้นจะไม่ได้รับการยอมรับจากมวลชน และนำไปสู่ความพ่ายแพ้ในที่สุด

5) แนวรบทางการเมืองของขบวนการติดอาวุธ เชื่อมต่อกับเงื่อนไขของการเมืองไทยใน “ระบบเปิด” หลังการเลือกตั้ง 2566 ได้อย่างลงตัว และการเมืองในระบบเปิดของไทยกลายเป็นเงื่อนไขอย่างดีที่เอื้อต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะการชูประเด็นการ “ถูกรังแกจากรัฐ” และปัญหาการ “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ซึ่งเป็นประเด็นที่ขายได้ง่ายในเวทีสาธารณะ และประเด็นเหล่านี้ในบางส่วนก็ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้เกิดภาพลบต่อรัฐในสายตาของคนในพื้นที่ และในสายตาของสากล

6) แนวรบทางการเมืองของขบวนการติดอาวุธเช่นนี้ เป็นการเพิ่มอำนาจต่อรองโดยตรง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของอำนาจโดยไม่จำเป็นต้องใช้กลไกทางทหาร ในอีกด้านหนึ่ง ปัจจัยเช่นนี้ทำให้ปีกการเมืองของขบวนการติดอาวุธที่เคลื่อนไหวในเวทีเปิด สามารถขยาย “พื้นที่ทางการเมือง” ได้มากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน (เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่เดิมก่อนการเลือกตั้ง 2566) โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่ผ่าน “องค์กรเอกชน” ทั้งในและนอกประเทศ ตลอดรวมถึงเปิดผ่าน “องค์กรในภาคการเมือง” ของระบบรัฐสภา

7) การขยายพื้นที่ทางการเมืองสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จใน “งานแนวร่วม” โดยเฉพาะแนวร่วมที่ดำรงอยู่ในโครงสร้างของระบบการเมืองไทยเอง

หรือในอีกด้านหนึ่งคือ ขบวนการติดอาวุธนี้สามารถขยายแนวร่วมได้อย่างมากหลังเลือกตั้ง 2566 และแนวร่วมเหล่านี้แสดงบทบาทอย่างชัดเจนในการเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกดดันรัฐบาล

ในอีกทาง กลไกแนวร่วมเช่นนี้ยังใช้ในการกดดันข้าราชการ และหน่วยปฏิบัติในพื้นที่อีกด้วย เพราะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติในพื้นที่นั้น ไม่มีทางที่ทาน “แรงกด” ของอำนาจจากองค์กรแนวร่วมของฝ่ายต่อต้านรัฐ ที่มาในรูปแบบต่างๆ ได้เลย

 

8) แนวร่วมที่สำคัญของขบวนการติดอาวุธในสงครามก่อความไม่สงบ/สงครามก่อการร้ายทั่วโลกคือ การสร้าง “แนวร่วมในเวทีสากล” ดังจะเห็นได้ว่า JCPP ที่ทางกลุ่ม BRN นำมาใช้ในการกดดันรัฐไทยโดยผ่านกระบวนการเจรจา เป็นผลผลิตด้วยการนำเข้าจากเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์

หรือที่กล่าวกันว่า ข้อเสนอ JCPP เป็นผลผลิตจากองค์กรเอกชนจากประเทศดังกล่าว ซึ่งมิได้มีนัยว่ารัฐไทยควรขับไล่องค์กรเหล่านี้ออกนอกประเทศ เช่นในแบบที่ผู้นำจีนและรัสเซียดำเนินการ เพราะในความเป็นจริงแล้ว รัฐไทยไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะกระทำการในลักษณะเช่นนั้นได้ สภาวะเช่นนี้จึงเป็นภาพสะท้อนถึง “สงครามแนวร่วมในสากล” ที่รัฐไทยจะต้องตระหนักไว้เสมอ

9) ในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เชื่อว่ารัฐบาลของประเทศทั้งสองไม่มีส่วนในการให้ความสนับสนุนต่อขบวนการติดอาวุธในภาคใต้อย่างแน่นอน อีกทั้งโดยหลักการแล้ว เชื่อว่ารัฐบาลของยุโรปไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะให้การสนับสนุนต่อการก่อความไม่สงบหรือการก่อร้ายในไทยอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลในยุโรปล้วนมีท่าทีที่ชัดเจนในการต่อต้านการก่อการร้ายของกลุ่มติดอาวุธ ดังเช่นที่รัฐเหล่านี้ล้วนเผชิญกับปัญหานี้ เช่น การก่อการร้ายในเยอรมนีหรือในฝรั่งเศส เป็นต้น

10) ในสภาวะเช่นนี้ การเจรจาระหว่างผู้แทนของรัฐไทยและผู้แทนของ BRN จึงเป็น “สงครามการเมือง” ในตัวเอง การช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมืองในส่วนหนึ่งคือ การกดดันให้ผู้แทนของรัฐไทยยอมรับผลผลิตจากเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ โดยเฉพาะการกดดันผ่านกลไกแนวร่วมทั้ง “บนโต๊ะ-ใต้โต๊ะ” เจรจา

ฉะนั้น รัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญกับปัญหาสงครามการเมืองของโต๊ะเจรจา และต้องตระหนักอย่างมากว่า

จุดสุดท้ายของชัยชนะในสงครามก่อความไม่สงบอยู่บนโต๊ะเจรจา ไม่ใช่อยู่ในสนามรบเช่นที่ผู้นำทหารบางส่วนหรือบรรดา “สายเหยี่ยว” คิดด้วยความไร้เดียงสา

 

11) น่าสนใจอย่างมากว่า ผู้นำรัฐบาลชุดก่อน “รับรู้” เพียงใดต่อการดำเนินการที่เยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ ถ้ารับรู้แล้ว เขาได้ให้การรับรองต่อผลเช่นนั้นอย่างไร และมีคำถามตามมาในอีกส่วนว่า JCPP ที่เกิดจากการดำเนินการของคณะผู้เจรจาชุดก่อนมีสถานะที่ “ผูกพัน” ต่อการกำหนดนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่เกิดหลังเลือกตั้ง 2566 เพียงใด

เพราะต้องยอมรับว่า ข้อเสนอ JCPP ที่เกิดนั้น มาจากการดำเนินการในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ถ้าเช่นนั้นแล้ว รัฐบาลชุดปัจจุบันจะ “ยอมจำนน” และปล่อยให้ JCPP ลากรัฐไทยไปตามที่กลุ่มก่อความไม่สงบต้องการหรือไม่?

12) ถ้ายอมรับว่า กลุ่ม BRN เป็นภัยคุกคามหลักทางด้านความมั่นคง โดยเฉพาะปฏิบัติการก่อการร้ายในพื้นที่ด้วยการลอบสังหาร วางระเบิด และวางเพลิง ฝ่ายรัฐควรต้องเปิดเผยข้อมูลของกลุ่มนี้ และแนวร่วมทั้งในเวทีสาธารณะทั้งในและนอกประเทศ

รัฐบาลชุดปัจจุบันควรจะต้องพิจารณาทบทวนความเชื่อในแบบของรัฐบาลชุดก่อน ที่เชื่อว่าข้อมูลข้าศึกเป็นเรื่อง “ลับมาก” จนไม่อาจเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้บ้าง อันทำให้ในรัฐบาลที่ผ่านมา คำว่า “BRN” จึงกลายเป็น “คำต้องห้าม” ในทางความมั่นคง

 

ประเด็นพ่วง

13) ในสงครามการเมือง ผู้ปฏิบัติงานของรัฐไทยต้องมีความชัดเจนที่จะไม่ทำลายความชอบธรรมของตัวเอง กล่าวคือ ข้าราชการทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหารจะต้องไม่ทำตัวให้กลายเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ให้กับการก่อความไม่สงบ

14) ปัญหา “มะเร็งร้าย” ที่เป็นปัจจัยใหญ่ของความพ่ายแพ้ของฝ่ายรัฐคือ “การคอร์รัปชั่น” และเชื่อมโยงโดยตรงกับการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ อันเป็นผลจากการทุ่มงบประมาณจำนวนมากให้กับการต่อสู้ ดังนั้น รัฐจะต้องคิด “ปิดเหมืองทอง” ในจังหวัดชายแดนใต้ และทำให้กระบวนการใช้งบประมาณของรัฐเกิดผลตอบแทนที่มากที่สุดกับประชาชนในพื้นที่

15) ความสัมพันธ์ที่ดีกับมาเลเซียเป็นปัจจัยสำคัญในการยุติสงคราม เพราะความร่วมมือจากมาเลเซียจะมีส่วนอย่างมากในการกดดันขบวนการติดอาวุธ อีกทั้งในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในการคิดที่เปลี่ยนผู้อำนวยความสะดวกไปเป็นประเทศอื่นตาม “ความพอใจส่วนตัว” ของบางคนที่มีอิทธิพลในคณะฝ่ายไทย

ผู้นำไทยในระดับต่างๆ ต้องยอมรับความจริงในบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ว่า การต่อสู้กับปัญหาสงครามในภาคใต้นั้น ไทยไม่อาจละเลย “ปัจจัยมาเลเซีย” ได้แต่อย่างใด!

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

‘เสียดินแดน’ เป็นประวัติศาสตร์มโน
The Good, the Bad and the Ugly 20 ปี เล่นการเมือง ในหุบเหว
เลือกตั้งเมียนมา วิถีที่สวนทางกับสันติภาพ
พรรคอเมริกา ทางเลือกใหม่มะกันชน กับเส้นทางสุดหิน
‘อานันท์ ปันยารชุน’ ย้อนอดีตยุค ‘ปลายสงครามเย็น’ ก่อนเปิดม่านสัมพันธ์ ‘ไทย-จีน’
‘ว่าน’ ธนกฤต เปิดใจรักครั้งใหม่ เรียบง่ายและลงตัว กับ ‘สารวัตรบีบี’ พ.ต.ต.หญิง ศรัญญา
‘สงฆ์ไทย’ กลับหลังหัน ‘นิพพาน’ เส้นทางที่ไม่มีอยู่จริง
‘AI’ ปฏิวัติงานสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 2 นำร่อง ทางออกวิกฤต ‘พงส.’ ไทย
ผ่าปฏิบัติการล่า ‘ก๊ก อาน’ นักธุรกิจ-ส.ว.สนิท ‘ฮุน เซน’ หัวโจกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปปง.ลุยยึดทรัพย์พันล้าน
ดาวกับดวง ประจำวันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม 2568
การ์ตูน “สะดุดยิ้ม by พล”
การ์ตูน “อรุณ วัชระสวัสดิ์”