

การเมืองวัฒนธรรม | เกษียร เตชะพีระ
‘การปลดปล่อยจิตสำนึกประวัติศาสตร์ชาติจากรัฐ’ (4)
ถัดจาก Hayden White นักวิชาการคนที่สองซึ่งเสนอข้อคิดทฤษฎี/ปรัชญาประวัติศาสตร์ที่โต้แย้งท้าทายสัจนิยมทางประวัติศาสตร์อย่างน่าสนใจได้แก่ Arthur C. Danto (1924-2013) ศาสตราจารย์ปรัชญาชาวอเมริกัน
– ในบทความเรื่อง “Narrative Sentences”, History and Theory, 2 : 2 (1962), 146-179. เขาเสนอให้สมมุติ “อาลักษณ์ในอุดมคติ” (an ideal chronicler) ผู้สามารถบันทึกทุกสิ่งเอาไว้ได้ขณะที่มันกำลังเกิดขึ้นในอดีต รวมทั้งที่อยู่ในความคิดจิตใจของคนอื่นทั้งหมดด้วย แล้วปุจฉาว่านี่จะเป็น “บันทึกเหตุการณ์ในอุดมคติ” (the ideal chronicle) สมดังฝันหวานของนักประวัติศาสตร์จริงๆ หรือ?
– เขาชี้ว่ามันมีเรื่องราวในอดีตบางอย่างที่มีแต่อนาคตเท่านั้นจะทำให้มันกระจ่างชัดได้
– เช่น สงครามศาสนา 30 ปีในยุโรปกลางระหว่างคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ (1618-1648) ซึ่งมีคนตายราว 4.5-8 ล้านคน จะเห็นได้ว่าเมื่อสงครามปะทุขึ้นในปี 1618 นั้นต่อให้อาลักษณ์ในอุดมคติก็ไม่มีทางรู้ได้ว่า มันจะเป็นสงคราม 30 ปี จนมันสิ้นสุดลง (ต่อมาในอนาคต) แล้วนั่นแหละถึงจะรู้ชัด
ความข้อนี้คล้องจองกับคำถามของธงชัย วินิจจะกูล ต่อผู้สร้างสารคดี Breaking the Cycle หรือ “อำนาจ ศรัทธา อนาคต” (2567) เกี่ยวกับพรรคอนาคตใหม่ ข้อ 3 ที่ว่า :
“คําถามเกี่ยวพันกันอีกข้อก็คือความรู้สึกและความหมายที่เราหลายท่านได้รับจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นถูกกำหนดอย่างมากด้วยชัยชนะของก้าวไกลที่ถูกขัดขวางอย่างหน้าด้านๆ ใช่หรือไม่? ความหมายที่คนจำนวนมากรู้สึกร่วมกันถูกผลิตขึ้นด้วยปัจจัยนอกเหนือจากตัวของภาพยนตร์เองใช่หรือไม่?” (https://www.matichonweekly.com/column/article_777720)
“ปัจจัยนอกเหนือจากตัวของภาพยนตร์เอง” ดังกล่าวก็คืออนาคต (อนาคตที่ก้าวไกลได้คะแนนอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งปี 2566 แต่แล้วก็กลับถูกขัดขวางไม่ให้ตั้งรัฐบาล…อีก) ที่ทำให้เรามอง/อ่านอดีต (อดีตแห่งการเลือกตั้งที่พรรคอนาคตใหม่เข้าร่วมปี 2562 แล้วถูกยุบ) ต่างไปนั่นเอง (อ่านออกมาเป็น cycle)
ด้วยนัยเดียวกันนั้นอนาคต (ม็อบเยาวรุ่น 2563) นี่แหละทำให้ความหมายของอดีต (การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475, การฆ่าหมู่และรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519) เปลี่ยนไป
ในทำนองเดียวกัน ถ้าเกิดรัสเซียยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ใส่นาโต แล้วอเมริกายิงขีปนาวุธนิวเคลียร์โต้ นี่ก็จะไม่ใช่สงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่อาจเป็น WWIII…ซึ่งอนาคตเท่านั้นจะบอกได้
หรือในอนาคต หากมนุษยชาติเอาตัวไม่รอดจากภาวะโลกเดือด ก็คงต้องบันทึกประวัติศาสตร์มนุษยชาติว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ล้มเหลวและทำลายตัวเอง แทนที่จะพัฒนาก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ด้วยการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่สิ้นสุด
และฉะนั้นจึงไม่มีใครคุมขัง-ใส่กุญแจล็อก-ตรึงความหมายของอดีตให้หยุดนิ่งคงที่ได้ตลอดกาลตลอดไป
เวลา/อนาคตย่อมผลิตความหมายใหม่ๆ ให้แก่อดีตและประวัติศาสตร์อยู่เสมอ…ใครยึดกุมมันไว้ให้หยุดนิ่ง ระวัง มันจะร้อนลวกมือ!
นอกจากนี้ Danto เสนออีกด้วยว่า ประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ที่เราประสบพบผ่านยังถูกปรับแต่งให้มีความหมายใหม่ด้วยแนวคิดใหม่ (new concept)
พอเราประยุกต์แนวคิดใหม่นี้เข้ากับประสบการณ์ในอดีต (conceptualization) ประสบการณ์เหล่านั้นก็เปลี่ยนไป เกิดความหมายใหม่ขึ้นมา สิ่งที่เราดำรงชีพผ่าน-การดำรงชีพของเรา-สิ่งที่ถูกกระทำต่อเราล้วนเปลี่ยนความหมายไป
กล่าวเฉพาะในบริบทประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย concepts ใหม่เหล่านี้ก็เช่น imagined community, geobody, network monarchy, royal hegemony, royal-nationalism, deep state, Bhumibol consensus, monarchized military, virtual absolutism, etc.
ความหมายใหม่ของประวัติศาสตร์รัฐชาติไทยถูกสร้างด้วยการประยุกต์แนวคิดใหม่เหล่านี้ในงานของครูเบ็น, นิธิ, ธงชัย, ดันแคน แมคคาร์โก, ชนิดา ชิตบัณฑิตย์, เออเชนี เมรีโอ, พอล แชมเบอร์ส เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าอดีตไม่ได้หยุดนิ่งคงที่ตายตัวในลักษณะถูกจัดตั้งความหมายมาพร้อมแค่ให้เราไปค้นพบ หากแต่ความหมายคือสิ่งที่เรายัดเยียดให้อดีตจากปัจจุบันต่างหาก
และเนื่องจากปัจจุบันเดินหน้าไปสู่อนาคตที่เราทำนายไม่ได้เบ็ดเสร็จอย่างไม่หยุดยั้ง ความหมายของอดีตจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้ประวัติศาสตร์งอกเงยความหมายใหม่ออกมาไม่สิ้นสุดเช่นกัน
เช่น คนไทยเป็นโรคฝีในท้องมานมนาน ทว่า เมื่อมีแนวคิด “วัณโรค” (tuberculosis) ขึ้น ความหมายของโรคนี้ในอดีตก็เปลี่ยนไป เกิดการหาข้อมูลใหม่ ตั้งคำถามใหม่ วินิจฉัยใหม่ เข้าใจใหม่กับประสบการณ์โรคในอดีตเหล่านั้น ฯลฯ
นักวิชาการคนสุดท้ายที่ผมขออ้างอิงมาเป็นตัวช่วยข้าม [กรอบสัจนิยมทางประวัติศาสตร์] ได้แก่ Louis Mink (1921-1983) ศาสตราจารย์ปรัชญาประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน
– ในบทความ “Narrative Form as a Cognitive Instrument”, Historical Understanding (Cornell, 1987), 129-49. มิงค์เสนอว่าเรื่องเล่านั้นเราไม่ได้ดำรงชีวิตผ่านมัน แต่เราเล่ามันต่างหาก
– เราประสบพบผ่านสิ่งต่างๆ ทว่า เราหาได้ประสบพบผ่านมันแบบเรื่องเล่าไม่ เรื่องเล่าคือสิ่งที่เรายัดใส่ประสบการณ์เหล่านั้นทีหลัง (after the facts) เพื่อให้ความหมายแก่มันอีกที
– ความเป็นจริงนั้นโกลาหลอลหม่าน เรื่องเล่าช่วยจัดระเบียบให้แก่ความเป็นจริงนั้น
– ฉะนั้น ประสบการณ์ชุดเดียวจึงอาจมีระเบียบที่จัดให้แก่มันได้หลายแบบ

Arthur Danto
เราอาจสรุปประมวลได้ว่าผลลัพธ์โดยรวมทางแนวคิดข้อเสนอของ Hayden White, Arthur Danto และ Louis Mink ก็คือทฤษฎีประวัติศาสตร์แบบเรื่องเล่า (Narrative Theory of History) โดยสรุปรวบยอดความคิดหลักที่แตกต่างกันได้ตามตาราง :
– ขณะที่สัจนิยมทางประวัติศาสตร์ยึดมั่นถือมั่น “อดีตอย่างที่มันเป็น” ทั้งแง่ภาววิทยาและญาณวิทยา
– ทฤษฎีประวัติศาสตร์แบบเรื่องเล่ามีท่าทีกำกวมแบ่งรับแบ่งสู้แตกต่างกันต่อ “อดีตอย่างที่มันเป็น” ในแง่ภาววิทยา ทว่า ปฏิเสธการยึดมั่นถือมั่น “อดีตอย่างที่มันเป็น” ในแง่ญาณวิทยา
– ส่วนแนวคิดสัมพัทธนิยมแบบโพสต์โมเดิร์นนั้นปัดปฏิเสธการยึดมั่นถือมั่น “อดีตอย่างที่มันเป็น” ทั้งสองแง่
ทั้งนี้ การสมาทานทฤษฎีประวัติศาสตร์แบบเรื่องเล่าไม่ใช่การให้ไฟเขียวแก่ข่าวปลอม, ข่าวลวง, ข่าวผิดพลาด ไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้ปฏิเสธประสบการณ์ ไม่ได้ปั้นแต่งปลอมแปลงข้อมูลข่าวสาร
มันเหมือนการเดินเข้าไปในหอจดหมายเหตุ มีเอกสารเป็นกล่องๆ เต็มไปหมด แต่เอกสารหลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อมูลดิบ กระจายกันอยู่ ไม่ได้จัดเรียบเรียงเป็นเรื่องเป็นราว
คุณ/นักประวัติศาสตรจับมันปะติดปะต่อเข้าด้วยกันเป็นเรื่องเป็นราว (ซึ่งเรื่องราวที่ว่าไม่ได้มีอยู่แต่เดิมใน กล่องเอกสารของหอจดหมายเหตุเอง ชนิดที่ให้นักประวัติศาสตร์ล้วงมือลงไปแล้วหยิบบทที่ 1 สำเร็จรูปออกมาจากกล่องได้)
คุณ make sense กับมัน, articulate มัน, มองมันจากมุมที่เฉพาะเจาะจง, มีตอนต้น-ตอนกลาง-ตอนจบ นี่คือรูปแบบเค้าโครงเรื่องเล่าที่คุณยัดเยียดใส่เหล่าข้อมูลดิบที่ว่า
ประวัติศาสตร์จึงเป็นพหูพจน์ มีได้หลายเรื่องเล่า หลายมุมมอง ทว่า ไม่มีวิวตาพระเจ้าที่เห็นหมดครอบคลุมทุกอย่างทุกแง่มุมจากอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตแบบอกาลิโก
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022