
แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ : ‘แม่หยัวเมือง’ ผู้ก้าวมาจากพระสนมเอก 4 ท้าว

ท้าวศรีสุดาจันทร์ ที่คนไทยโดยทั่วไปมักจะรู้จักกันนั้น หมายถึง พระชายาองค์หนี่งในพระไชยราชาธิราช แห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2077-2089)
และก็เป็นที่รู้กันดีว่า “ท้าวศรีสุดาจันทร์” องค์นี้ ยังเป็น “แม่หยัวเมือง” โดยชื่อตำแหน่งนี้เป็นคำที่กร่อนมาจาก “แม่อยู่หัวเมือง” หรือที่บางท่านเช่น สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงระบุว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “แม่อยู่เมือง” (เสียงสระอู เพี้ยนเป็นเสียงสระอัวได้ เช่น ผู้-ผัว) ซึ่งก็คือ หญิงผู้มีอำนาจ “อยู่หัว” ของ “เมือง” ในทำนองเดียวกันกับคำว่า “พระเจ้าอยู่หัว” เพราะเป็นพระราชมารดาของยุวกษัตริย์ผู้สืบทอดราชบัลลังก์จากพระไชยราชา คือ “พระยอดฟ้า” (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2089-2091)
โดยข้อความบางตอนในกฎมณเทียรบาล ซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ.1903 ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือที่มักจะเรียกกันว่า พระเจ้าอู่ทอง โดยมีข้อความระบุเอาไว้ว่า
“(พระราชกุมาร) อันเกิดด้วยแม่หยัวเมือง เปนพระมหาอุปราช” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ดังนั้น พระยอดฟ้าจึงได้เสด็จขึ้นครองราชย์หลังจากพระไชยราชาสวรรคต และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตำแหน่งแม่หยัวเมือง (บางทีในกฎมณเทียรบาลจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า แม่หยัวเจ้าเมือง) ของท้าวศรีสุดาจันทร์นี้ใหญ่โตถึงเพียงไหน?
โดยหากจะดูตามลำดับศักดิ์ของพระชายาที่ระบุอยู่ในกฎมณเทียรบาลแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตำแหน่งของพระชายาที่เป็นรองเพียงแค่พระอัครมเหสี และพระอัครชายาเท่านั้น โดยเป็นใหญ่กว่าพระสนมทั้งหมด
แต่สิ่งที่คนทั่วไปจดจำเกี่ยวกับ “แม่หยัวศรีสุดาจันทร์” องค์นี้มากที่สุด น่าจะเป็นกรณีที่ถูกกล่าวหาว่า “คบชู้” กับขุนชินราช (เดิมคือ พันบุตรศรีเทพ) ผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นทำนองผู้สำเร็จราชการแทน ยุวกษัตริย์ผู้เสด็จขึ้นครองราชย์ด้วยพระชันษาเพียง 11 ปี แถมต่อมายังได้เสด็จสวรรคตอย่างน่าสงสัย
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาได้ระบุต่อไปว่า จากนั้นขุนชินราชได้กระทำพระราชพิธีราชาภิเษกขึ้นครองราชย์ที่กรุงศรีอยุธยา ในพระนาม “ขุนวรวงศาธิราช” (ครองราชย์ พ.ศ.2091) อยู่ 42 วัน ก่อนจะถูกรัฐประหาร โดยมีขุนพิเรนทรเทพ (ต่อมาจะเสด็จครองราชย์เป็นพระมหาธรรมราชาธิราช หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยา โดยครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2112-2133) เป็นหัวหอกสำคัญ แล้วแผ่นดินจึงค่อยไปตกอยู่กับพระเทียรราชา ซึ่งได้เสด็จขึ้นครองราชย์ในนามของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.2091-2111)
ที่ผมต้องระบุถึงชื่อ “ศรีสุดาจันทร์” นี้อย่างละเอียดเป็นเพราะว่า ชื่อที่ว่านี้ไม่ใช่ชื่อตัวหรอกนะครับ แต่เป็นชื่อตำแหน่งของพระสนมสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยาต่างหาก
ดังนั้น ในรัชสมัยอื่นๆ ก็อาจจะมีผู้ครองตำแหน่งท้าวศรีสุดาจันทร์ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้ถูกจดบันทึกเอาไว้ในพระราชพงศาวดารของกรุงศรีอยุธยา (ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรนัก เพราะพงศาวดารของไทยมักที่จะพูดถึงกษัตริย์ที่เป็นผู้ชาย มากกว่าที่จะพูดถึงใครคนอื่นอยู่แล้ว)
ตําแหน่งท้าวศรีสุดาจันทร์นี้ มีระบุอยู่ใน “พระไอยการนาพลเรือน” ซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ.1998 อันเป็นช่วงที่ห่างจากยุคที่แม่หยัวท้าวศรีสุดาจันทร์มีชีวิตอยู่ไม่ถึง 100 ปีดีนัก โดยปรากฏร่วมอยู่กับตำแหน่งพระสนมอื่นๆ อีก 3 ตำแหน่งซึ่งควรจะมีศักดิ์ศรีเสมอกัน ดังข้อความที่ว่า
“ท้าววรจันที่สมเด็จพระพี่เลี้ยง นา 1000 แม่เจ้า แม่นาง แลนางท้าวพระสนมเอกทั้ง 4 คือ อินทรสุเรนทร 1 ศรีสุดาจัน 1 อินทรเทวี 1 ศรีจุลาลักษ 1 นาคละ 1000” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
ข้อความข้างต้นระบุว่า “ท้าวศรีสุดาจันทร์” นั้น เป็นหนึ่งในพระสนมเอกทั้ง 4 ท้าว ซึ่งต่างก็มีมีศักดินา 1,000 เท่ากันกับกับ ท้าววรจันที่สมเด็จพระพี่เลี้ยง ซึ่งมากกว่า “นางพระสนมสัตรีกำนัล” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ) ทั้งหลาย ที่ในพระไอยการนาพลเรือนเล่มเดิม ระบุว่ามีศักดินา 800 โดยเขียนเป็นข้อความอยู่ต่อจากที่ระบุถึง พระสนมเอกทั้ง 4 ท้าว
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอิลามศึกษา ควบตำแหน่งผู้สนใจศึกษาคำในภาษาไทย ที่ยืมมาจากภภาษาอาหรับ และภาษาเปอร์เชีย อย่าง คุณดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ ได้เคยอธิบายถึงที่มา และความหมายของอะไรที่เรียกว่า “สนม” ในโลกภาษาไทย เอาไว้ในหนังสือที่มีชื่อว่า “ความสัมพันธ์ของมุสลิม ทางประวัติศาสตร์ และวรรณคดีไทย” เอาไว้ว่า
“สนม จากศัพท์เปอร์เซีย ซัน -Zun- แปลว่า ผู้หญิง ซะนานะฮฺ -Zananah- แปลว่า อย่างผู้หญิง เทียบกับคำไทยก็ตรงกับ ‘ฝ่ายใน’ ที่เรียกในกฎมณเทียรบาลว่า ‘ประเทียบ’ ในทำเนียบศักดินาสมัยพระบรมไตรโลกนาถมีกรมหนึ่งเรียกว่า ‘กรมสนมพลเรือน’ อยู่ในพวกราชสำนัก (กระทรวงวัง) มีตำแหน่งสมุห์บัญชีเป็นที่ ‘หมื่นฉะนานัน’ ถือศักดินา 600 คำ ‘ฉะนานัน’ น่าจะเป็นคำเดียวกับ ซะนานะฮฺ’ คำเปอร์เซีย”
หมายความว่า ทั้งท้าววรจันที่สมเด็จพระพี่เลี้ยง และพระสนมเอกทั้ง 4 ท้าว จึงควรจะเป็นหัวหน้าของพระสนมทั้งหลาย ที่มีศักดินาต่ำกว่านั่นแหละครับ
จากข้อความในพระไอยการนาพลเรือน จะเห็นได้ว่า ตำแหน่ง “ท้าวศรีสุดาจันทร์” นี้ควรจะมีฐานันดรศักดิ์ต่ำกว่าตำแหน่ง “แม่หยัว” ซึ่งในกฎมณเทียรบาลให้ความสำคัญมากกว่าบรรดาพระสนมทั้งหลาย โดยเป็นรองเพียงแค่พระอัครมเหสี และพระอัครชายา เท่านั้น
ดังนั้น ท้าวศรีสุดาจันทร์ในสมัยพระไชยราชาธิราชนั้น จึงควรจะดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในสนมเอกทั้ง 4 ท้าวมาก่อน จนเมื่อประสูติพระโอรสคือ พระยอดฟ้า จึงได้พระราชทานตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้น คือให้เป็น “แม่หยัวเมือง” ตามที่ในกฎมณเทียรบาลระบุไว้ว่า คือตำแหน่งมารดาของพระมหาอุปราช นั่นเอง
แต่ก็ไม่ใช่ว่า ตำแหน่ง “ท้าวศรีสุดาจันทร์” จะไม่สำคัญหรอกนะครับ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นตำแหน่งหนึ่งในสนมเอกทั้ง 4 ของกรุงศรีอยุธยาเลยทีเดียว
ตามปรัมปราคติในศาสนาพุทธ โดยเฉพาะพุทธศาสนาแบบเถรวาทนั้น มีความเชื่อว่า “พระอินทร์” ผู้เป็นราชเหนือทวยเทพทั้งหลายบนสวรรค์ มีพระชายาอยู่ 4 องค์ ได้แก่ นางสุธรรมา, นางสุชาดา, นางสุนันทา และนางสุจิตรา ดังปรากฏความอยู่ใน “มฆมาณพชาดก” อันเป็นชาดกเรื่องหนึ่งในนิบาตชาดก หรือที่มักจะเรียกกันว่า พระเจ้า 500 ชาติ
ชนชาวกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนถึงผู้คนในยุคต้นกรุงเทพฯ เอง ก็ดูจะรู้จักชาดกเรื่องนี้ (หรืออาจจะรู้เพียงว่า พระอินทร์มีชายา 4 องค์ก็ได้) พอสมควรเลยทีเดียว ดังปรากฏมีกลอนเกี่ยวกับเรื่องนี้บทหนึ่งรวมอยู่ใน “จินดารมย์คำกลอน” อันเป็นหนังสือที่รวบรวมกลอนเก่า ที่น่าเชื่อว่า บทกลอนทั้งหลายในหนังสือเล่มนี้ต่างก็ประพันธ์ขึ้นในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา-ต้นกรุงเทพฯ ดังมีคำกลอนบทหนึ่งว่า
“อมรินทร์ปิ่นดาวดึงสา เป็นจอมโจกเทวาทุกราศี
เถลิงอาสน์บัณฑุเรืองรุจี ชายามีสี่จอมถนอมเธอ”
ที่สำคัญคือ ยังมีภาพเขียนเรื่อง “มฆมาณพชาดก” อยู่ในหอไตรฯ ที่วัดระฆังโฆษิตาราม กรุงเทพมหานคร ที่มีประวัติอ้างว่า หอไตรฯ หลังนี้ เป็นเรือนพักเก่าของรัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าตากสิน ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์
การที่ภายในหอไตรฯ หลังนี้เขียนภาพเล่าเรื่องของมฆมาณพ อันเป็นเรื่องราวที่ว่าด้วย เศรษฐีผู้มีภรรยา 4 คน ได้บำเพ็ญบารมีจากการสร้างสาธารณูปโภค เช่น ศาลาที่พักต่างๆ จนกระทั่งได้เสวยชาติเป็นพระอินทร์ และชายาทั้ง 4 หลังจากที่เสียชีวิตไป จึงมีนัยยะทางพิธีกรรม และความเชื่ออย่างน่าสนใจ
โดยเฉพาะเมื่อปรัมปราคติเรื่องพระอินทร์มีชายา 4 องค์ ดูจะไม่เป็นที่แพร่หลายนักในอินเดีย หรือในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (ซึ่งเชื่อว่า ชายาของพระอินทร์คือ นางศจี หรืออินทราณี) แต่กลับเป็นที่นิยมในกรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์เป็นพิเศษ
ดังนั้น จึงชวนให้คิดไปได้เช่นกันว่า ความนิยมเรื่องพระอินทร์มีชายา 4 องค์ในสยามนั้น เป็นผลสะท้อนมาจากธรรมเนียมในการอภิเษกชายา หรือพระสนม 4 คน ที่เกี่ยวข้องกับการบรมราชาภิเษก หรือความเป็นจักรพรรดิราช (คือเปรียบเทียบกับการเป็นราชาเหนือหมู่เทพทั้งหลาย เหมือนกับพระอินทร์)
ตำแหน่งพระสนมเอก 4 ท้าว จึงมีบทบาทสำคัญอย่างน้อยก็ในแง่ของอุดมคติ และความเชื่อ ซึ่งจะมีอิทธิพลเป็นอย่างยิ่งในเชิงพิธีกรรมต่างๆ ดังนั้น ถึงแม้ว่าตำแหน่ง “ท้าวศรีสุดาจันทร์” จะเป็นตำแหน่งที่เล็กกว่า “แม่หยัวเมือง” แต่ก็เป็นตำแหน่งสำคัญตามพิธีการความเชื่อของกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเสียกรุง ครั้งที่ 1 (มีต่อ) •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต



