ลึกแต่ไม่ลับ | จรัญ พงษ์จีน
สัญญาณ “ปรับทัพ”
สําหรับสถานการณ์ในตอนนี้ ยังขอโฟกัสไปที่การปรับคณะรัฐมนตรี ดังที่บอกไปเมื่อฉบับก่อนว่า แม้ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีจะอมพระกี่สำนักมายืนยัน “ยังไม่ปรับในตอนนี้หรอกค่ะ” แต่เงื่อนไขทุกอย่างสุกงอม ผีใกล้ถึงป่าช้า ทุกสิ่งทุกอย่างประสบพบพานกับตกต่ำในทุกด้าน ส่งสัญญาณต่อการพังทลายหลายประการ
หาก “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ไม่ชิงลงมือปรับทัพ เปลี่ยนตัวนักเตะใหม่มาเสริมแกร่ง เพิ่มความแหลมคม ก็ต้องเปลี่ยนโค้ช หรือระเบิดทีมทิ้งสถานเดียว ดังนั้น เชื่อหัวเณรเรืองได้เลยว่า จะมีการจัดแถว ครม.ใหม่กันในเร็ววันนี้ น่าจะหลัง “พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ผ่านวาระแรก” ในระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม เอาเป็นว่า “ไม่น่าจะเกินกลางเดือนกรกฎาคม” เลือกใช้บริการด้วยสูตร “ปรับเล็ก”
ไล่ดูรายชื่อเสนาบดีที่จะโดนปรับออก ตามที่ปรากฏเป็นข่าวกลับมาถูกต้องตรงเผงกับผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ที่ประกอบด้วยเจ้ากระทรวง “คลัง-พาณิชย์-เกษตรและสหกรณ์-สำนักนายกรัฐมนตรี”
ถอดรหัสความคิดเห็นที่ประชาชนอยากให้ปรับออก ที่ตอบผ่าน “นิด้าโพล” แชมป์คือกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีที่นั่งว่าการชื่อ “นายพิชัย นริพทะพันธุ์” ร้อยละ 57.02 ที่ปรากฏว่า เจอกับภาวะการส่งออกที่ตกต่ำ ของเดิมก็หนักเป็นทุนอยู่แล้ว การประกาศปรับภาษีนำเข้า ที่ไทยถูกตอบโต้จากสหรัฐอย่างแรงในอัตราร้อยละ 37 เพิ่มกว่าเดิม 3 เท่าตัว ส่งผลกระทบหนักมาก ไทยจะเผชิญกับปัญหาการส่งออกที่ลดลง ดังนั้น การที่ “เสี่ยแดง” มีชื่อติดโผเบอร์แรกที่จะโดนเช็กบิล จึงไม่เกินจากความเป็นจริง
ในสัดส่วนของโควต้าเพื่อไทย ตามด้วย “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผลงานก็ยังไม่มีอะไรปังสักอย่าง แจกเงินดิจิทัลกี่เฟสต่อกี่เฟสก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ที่เจ็บปวดที่สุด เวิร์ลด์แบงก์คาดการณ์จีดีพีในประเทศอาเซียน ไทยอยู่รั้งอันดับบ๊วยสุด ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 6.1 เวียดนาม ร้อยละ 6.0 อินโดนีเซีย ร้อยละ 5.1 มาเลเซีย ร้อยละ3.9 กัมพูชา ร้อยละ 4.0 ลาว ร้อยละ 3.5 ไทยแค่จิ๊บๆ 1.6 ใครเป็นนายกฯ ก็ย่อมควันออกหู
ขณะเดียวกันในขั้วของเพื่อไทย “นายสรวงศ์ เทียนทอง” แม้จะมีชื่อเป็นเลขาธิการพรรค และไม่มีชื่อติดทำเนียบนามของ “นิด้าโพล” แต่ล่าสุดโดนขึ้นบัญชีสำรองที่จะโดนเปลี่ยนตัวแล้วเหมือนกัน ยังดีที่ให้เวลาแก้มือพิสูจน์ตัวเอง
ทั้งนี้ ผลมาจากมีการสรุปสถิตินักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 จากวันที่ 1 มกราคม-30 เมษายน มีจำนวนทั้งสิ้น 12 ล้านคน เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์กับช่วงเดียวกันของปีก่อนติดลบร้อยละ 26 แม้ถือว่าน้อยมากก็จริง แต่เมื่อสำรวจนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวไทย ยังพบว่าจีนมากที่สุด 1.6 ล้านคน แต่ปริมาณลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง
ขนาดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบว่านักท่องเที่ยวจากมาเลเซียมาเที่ยวเมืองไทยมากกว่าจีน ที่หายวับไปกับตา เหลือยอดเพียง 3 แสนคนเศษ กลับไหลทะลักไปทัวร์เวียดนามกันมากกว่าเกือบ 7 แสนคน เป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกที่คนจึนไปเที่ยวเวียดนาม ตัวเลขสูงกว่ามาเมืองไทย
“รมต.บอย” ก็ต้องหาทางกู้วิกฤตให้ได้ ไม่งั้นตัวเองจะพลอยติดร่างแหไปด้วย ในการปรับ ครม.
อยู่ดีไม่ว่าดี ติดร่างแห ดำเนินตามกฎ “อนิจจังแห่งความไม่เที่ยง” สถานการณ์เกิดความแปรปรวน ต้องแหกด่านมะขามเตี้ยตามคนเพื่อไทยอีกราย และทำท่าจะสาหัสมากกว่า แบบไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อ ได้แก่ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน งานเข้าหนัก ถาโถมมารวดเร็วดุจแสง ดั่งลม แต่ละลูกแต่ละดอกแพรวพราวระยับจับไม่อยู่ กรณี ป.ป.ช.นิมนต์ไปรับทราบข้อกล่าวหาการติดสติ๊กเกอร์ชื่อตัวเองบนถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ทั้งที่เป็นถุงยังชีพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง กรณีนี้มือระดับนี้พอจะหลีกเลี้ยวลดหย่อนรับมือได้
แต่ชอยส์ที่ “นายสนธิญา สวัสดี” นักร้องนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ยื่นหลักฐานต่อสำนักงาน ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบ “บิ๊กตุ๋ย” เนื่องจากเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น บจ.รพีโสภา และบริษัทอื่นรวม 4 บริษัท อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 187 ประกอบ พ.ร.บ.หุ้นส่วนและหุ้นของคณะรัฐมนตรี และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561
โดนเข้าดอกนี้ต้นไทรใหญ่ต้องเอนไหวดุจต้นอ้อ หนักหนาอยู่แล้ว ยังถูกนักร้องระดับโกลเด้นซอง “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” นักเคลื่อนไหวอีกรายกระซวกลำไส้ที่หมายเดิมซ้ำ เข้ายื่นหลักฐานต่อ “กกต.” ให้ตรวจสอบว่าความเป็นรัฐมนตรีของ “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” มีเหตุสิ้นสุดลงหรือไม่
“เรืองไกร” ยื่นให้ตรวจสอบว่า “รัฐธรรมนูญมาตรา 170(5) และมาตรา 187 วรรคหนึ่ง” บัญญัติว่า “ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือ 187”
พร้อมยก “มาตรา 187″ ระบุว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือไม่คงไว้ซึ่งหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นฯ ตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นลูกจ้างของบุคคลใด”
จากนั้นลากลายแทงไล่ละเอียดถี่ยิบตั้งแต่วันได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2567 ถึงปัจจุบันในรัฐบาลที่มี “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ซอยเอกสารให้ดูชม มากถึง 8 ข้อ
จบที่บทสรุปว่า เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 187 และเป็นเหตุว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170(5) หรือไม่
ยังไม่เพียงเท่านั้น วันที่ 6 พฤษภาคม “ไกรภพ นครชัยกุล” อดีตหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตื และคณะสมาชิก รทสช. แห่นาคเข้าทำเนียบ ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร” พร้อมข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ให้ปลด “นายพีระพันธุ์” ออกจากตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.พลังงาน
เรียกว่างานเข้ารัวๆ และเข้าในช่วงเวลาสำคัญซะด้วย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022
