

จีน-ไทย ไม่ได้เริ่มความสัมพันธ์ครั้งแรกสมัยกรุงสุโขทัย ตามที่ท่องจำเป็นมรดกตกทอดมานานมาก เพราะกรุงสุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย
นอกจากนั้น ยังมีสิ่งคลาดเคลื่อนอีก ดังนี้
[1.] คนไทยไม่ได้อพยพมาจากอัลไต-น่านเจ้า
[2.] คนไทยไม่ได้อพยพมาจากทางใต้ของจีน
[3.] พ่อขุนรามคำแหงไม่เคยไปเมืองจีน และจักรพรรดิจีนไม่เคยให้ช่างจีนทำเครื่องถ้วยเคลือบสังคโลกที่สุโขทัย
ดร. สืบแสง พรหมบุญ เมื่อ 50 ปีมาแล้ว เป็นนักวิชาการไทยศึกษาวิจัยพบว่า พ่อขุนรามคำแหงไม่เคยไปเมืองจีน ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกทางประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐ พ.ศ.2513 ต่อมาพิมพ์เป็นเล่มชื่อ ความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการระหว่างจีนกับไทย (มูลนิธิโครงการตำราฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2525)
จีน- ไทย หลายพันปีมาแล้ว
คนจำนวนหนึ่งในจีนกับในไทย มีการไปมาหาสู่รู้จักติดต่อกันราว 3,000 ปีมาแล้ว (ก่อนสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ และก่อนไทยรู้จักติดต่ออินเดีย) พบหลักฐานสนับสนุนเป็นเครื่องใช้สอยในพิธีกรรมของคนชั้นนำ เช่น
1. หม้อสามขา พบในที่ฝังศพตามแนวทิวเขาตะวันตก ตั้งแต่กาญจนบุรีลงไปทางภาคใต้ แล้วทอดยาวถึงมาเลเซีย
2. ภาชนะสำริดวัฒนธรรมฮั่น พบริมแม่น้ำน่าน อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์
ภาษาและวัฒนธรรมไท-ไต ทางใต้ของจีน
ทางใต้ของจีนแถบลุ่มน้ำแยงซี “ไม่จีน” เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว หมายถึงไม่เป็นดินแดนจีน ดังนี้
1. พื้นที่ทางใต้ของจีน “ไม่จีน” แต่เป็นตอนบนสุดของอุษาคเนย์โบราณที่ต่อเนื่องพื้นที่ของฮั่น เพราะพบกลองสำริดที่มณฑลยูนนาน ซึ่งไม่ใช่วัฒนธรรมฮั่น แต่เป็นวัฒนธรรมร่วมอุษาคเนย์
2. เอกสารจีนบอกชัดเจนว่าทางใต้ของจีนเป็นดินแดนของพวกคนป่าเถื่อน หมายถึง “ไม่ฮั่น” และ “ไม่จีน” ได้แก่ หมาน, ฮวน, เย่ว์ เป็นต้น คนพวกนี้จำนวนไม่น้อยใช้ภาษาไท-ไต เป็นภาษากลางทางการค้า

พิธีกรรมหลังความตายเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องขวัญของจีน ทหารดินเผาในหลุมขุดค้นสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี เมืองซีอาน มณฑลส่านซี [ภาพจากหนังสือ จิ๋นซีฮ่องเต้ ประกอบนิทรรศการพิเศษฯ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2562]
ขวัญ “วัฒนธรรมร่วม” จีน-ไทย
จีน-ไทย มีทั้งส่วนวัฒนธรรมร่วม และส่วนที่ไทยรับจากจีน ซึ่งยากจะแยกว่าตรงไหนเป็นส่วนไหน?
ขวัญ เป็นวัฒนธรรมร่วมจีน, ไทย และอุษาคเนย์ [อาจมีที่อื่นอีก] มากกว่า 3,000 ปีมาแล้ว
คนแต่ละคนในความเข้าใจและความเชื่อของไทยสมัยก่อน ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
[1.] ส่วนที่เป็นตัวตน เรียก มิ่ง คือ ร่างกายอวัยวะต่างๆ และ
[2.] ส่วนที่ไม่เป็นตัวตน เรียก ขวัญ คือ ไม่มีรูปร่าง
ไทย ว่า ขวัญ ส่วนจีน ว่า หวัน [กวางตุ้ง] ฮุ้น [แต้จิ๋ว] [จากหนังสือ ไทย-จีน ของ พระยาอนุมานราชธน (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2479) พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.2505 หน้า 93]
พิธีกรรมหลังความตาย มีส่งขวัญคล้ายกันทั้งไทยและจีน เจีย แยนจอง [นักปราชญ์จีนเรื่องไท]
(จากหนังสือ “คนไท” ไม่ใช่ “คนไทย” แต่เป็นเครือญาติชาติภาษา โดย เจีย แยนจอง สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2548 หน้า 86)
คนจีนโบราณไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด [ตามพุทธศาสนา] แต่เชื่อว่าคนตายแล้วขวัญยังอยู่ มีสถานะเป็นเจ้าประจำวงศ์ตระกูล [คำจีนว่า “เจียสิน” เสียงแต้จิ๋วว่า “เกซิ้ง”]
ขวัญของคนจีน มี 2 ประเภทอยู่รวมกัน ได้แก่
หุน [คำไทยว่า ขวัญ] เป็นฝ่ายหยาง หรือฝ่ายจิต มีความนึกคิด และมีอารมณ์ ซึ่งเป็นสมรรถนะทางจิต
พ่อ [แปลว่า ภูต] เป็นฝ่ายหยิน หรือฝ่ายกาย มีความเคลื่อนไหวทางกาย แต่ไม่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งเป็นสมรรถนะทางกาย
เมื่อคนตกใจ หรือเจ็บป่วย ขวัญ 2 ประเภทจะออกจากร่างชั่วคราว ครั้นคนตาย ขวัญ 2 ประเภทออกจากร่าง โดยหุน (ขวัญ) จำญาติมิตรได้ แต่พ่อ (ภูต) ถ้าขาดหุนอยู่ด้วยจะกลายเป็นผีดิบ ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
[สรุปจากบทความเรื่อง “ป้ายสถิตวิญญาณจากจีน สู่ราชสำนักไทย” ของ ถาวร สิกขโกศล ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2559 หน้า 161]
ขวัญ, กงเต็ก
ความเชื่อเรื่องขวัญของจีน จึงมีประเพณีฝังศพครั้งที่ 2 ทำให้ขุดพบกองทหารดินเผาในสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี ซึ่งเป็นต้นทางประเพณีกงเต็ก ดังนี้
1. เมื่อหัวหน้าเผ่าตาย บรรดาบริวารต้องถูกทำให้ตายแล้วฝังดินในหลุมศพเดียวกัน
2. ต่อมาปั้นหุ่นคนแทนเหล่าบริวารที่เป็นคนจริง ฝังร่วมหลุมศพพระราชา
3. หลังจากนั้นเผากระดาษแทนปั้นหุ่นคน แล้วเรียก “กงเต็ก” สืบจนทุกวันนี้
[สรุปจาก (1.) บทความเรื่อง “กงเต็ก” ของ วรศักดิ์ มหัทธโนบล พิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2542 หน้า 70 และ (2.) หนังสือ กงเต็ก พิธีศพชาวจีนแต้จิ๋ว ของ ธรรญาภรณ์ วงศ์บุญชัยนันท์ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2550 หน้า 8-9] •
| สุจิตต์ วงษ์เทศ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022