เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

ทดสอบ ‘Hi-Lander 2.2 MAXFORCE’ ดีแมคซ์ยกสูง 4 ประตู ‘ทั้งแรง-ขับสนุก’

17.05.2025

ด้วยชื่อชั้นและคำร่ำลือกับเครื่องยนต์รุ่นใหม่ “MAXFORCE” จากค่ายอีซูซุ

ทำให้ผมตัดสินใจติดต่อไปยังบริษัท ตรีเพชรอีซูซูเซลส์ ประเทศไทย หยิบยืมรถรุ่นนี้มาทดสอบ

ได้มาเป็นรุ่น ดีแมคซ์ Hi-Lander CAB4 2.2 MAXFORCE

ปิกอัพ 4 ประตูยกสูง

อันดับแรกเดินวนรอบตัวรถที่สูงใหญ่ ที่เด่นโดดขึ้นมาเลยไม่พ้นกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ 3D Geometric Design ตกแต่งด้วยสีเทาดำ และโครเมียมดำ

ไฟหน้า ISUZU Vision Bi-LED พร้อมระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ Multifunctional Daylight

พร้อมระบบไฟหน้า Follow-me-home และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED

ไฟท้ายเป็นแบบ Winglet Signature LED ทรง 3D ให้ความหรูหรา

กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า

เสา B-Pillar ตกแต่งด้วยสีดำเงา Blackout Film มีบันไดข้าง

ฝาท้ายและกระบะท้ายดีไซน์แบบตัว H พร้อมสปอยเลอร์ในตัว มีระบบช่วยผ่อนแรงเปิด-ปิด

กันชนท้ายแบบ Integrated สีเดียวกับตัวรถ

ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์แบบ Turbine Spiral รัดด้วยยางขนาด 265/60 หน้ากว้างมากขึ้น เพิ่มสมรรถนะการยึดเกาะถนน

เปิดประตูพร้อมเหวี่ยงตัวขึ้นรถ ห้องโดยสารออกแบบภายใต้แนวคิด “High-Class & Sophisticated”

แผงคอนโซลหน้าเป็นแบบ Sharp Horizontal Layers ใช้วัสดุตกแต่ง Piano Black และ Chrome Satin Silver

แดชบอร์ดหน้าหุ้มด้วยหนัง และที่พักแขนกลางหุ้มด้วยหนัง

มือเปิดประตูภายในห้องโดยสารเป็นสีเงิน Satin Chrome

เบาะนั่งแบบ CoolMax Seat Fabric ช่วยระบายอากาศได้ดี สามารถปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง

เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง

มีช่องเก็บเอกสารด้านหลังเบาะนั่งคู่หน้า และที่แขวนสัมภาระด้านหลังเบาะหน้าผู้โดยสารตอนหน้า

เบาะนั่งด้านหลังเป็นแบบพับยกขึ้นได้ 60:40 และยังสามารถพับพนักพิงได้

มีที่วางแขนตรงกลางเบาะนั่งด้านหลังพร้อมที่วางแก้วน้ำ

พวงมาลัยตรงหน้าหุ้มหนัง ปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น มีสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียง

มาตรวัดเป็นแบบ Super Vision พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID สี TFT ขนาด 7 นิ้ว และระบบแนะนำการเปลี่ยนเกียร์ GSI (Genius Sport Shift)

ตรงกลางหน้าจอสัมผัส Infotainment Display ขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay

มีระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth ระบบ WiFi Mirroring ช่องเชื่อมต่อ AUX และช่องเชื่อมต่อ USB

ระบบเสียง Dynamic Surround Sound พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual Zone ในรุ่นสูง พร้อมระบบกรองฝุ่น PM 2.5

มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

ช่องชาร์จ USB Type-C และช่องเสียบไฟ 12V รวมถึงช่องชาร์จ USB Type A / Type C 2 ตำแหน่ง

ระบบกุญแจเป็นแบบ Smart Keyless Entry พร้อมปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ และระบบสตาร์ตรถด้วยรีโมต

ภาพรวมบอกได้ว่าหากอยู่ด้านในแยกยากว่าเป็นปิกอัพหรือเอสยูวีกันแน่

กดปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ เสียงคำรามเข้ามาในห้องโดยสารประมาณหนึ่ง แต่เงียบกว่ารุ่นเก่าพอสมควร

เกียร์อัตโนมัติขนาดกำลังเหมาะจับกระชับมือดี

เช่นเดียวกับเบาะนั่งโอบแผ่นหลังได้แนบสนิท ช่วยได้มากเวลาเข้าโค้งหรือกระชากเปลี่ยนเลน

อัตราเร่งในช่วงออกตัวทำได้ดี และไหลไปยาวๆ ไม่มีสะดุด

เข้าใจแล้วว่าทำไมเครื่องยนต์รุ่นนี้ถึงขึ้นชื่อลือชานัก

พลิกดูสเป๊กเครื่องยนต์รหัส RZ4F-TC ขนาด 2.2 ลิตร ซึ่งเข้ามาแทนที่เครื่องยนต์ 1.9 BluePower เดิม

แบบดีเซล 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผัน E-VGS และ Intercooler

กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที เพิ่มขึ้น 13 แรงม้าจากรุ่นเดิม

แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที เพิ่มขึ้น 50 นิวตัน-เมตร จากรุ่นเดิม

ที่สำคัญคือแรงบิดในรอบต่ำเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 56%

แรงบิดที่มากขนาดนี้ไม่แปลกใจทำไมอัตราเร่งตีนต้นถึงแรง และตอบสนองทันใจ

ส่วนระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบ REV TRONIC ให้อัตราทดเกียร์ต่อเนื่องในทุกช่วงความเร็ว

การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลและไหลลื่นมากขึ้น เมื่อเทียบกับเกียร์อัตโนมัติลูกเดิม

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบดับเบิลวิชโบนพร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง

ด้านหลังแหนบซ้อน Long Span Leaf Spring ปรับจูนใหม่เพิ่มความนุ่มนวลมากขึ้นขึ้น ลดอาการเด้งของท้ายรถ และการทรงตัวมั่นคงขึ้น

แต่นี่คือการเปรียบเทียบกับรถปิกอัพด้วยกันนะครับ

ทริปนี้ออกตะลุยทั้งในเมืองและเขตปริมณฑล แม้ตัวรถจะสูงใหญ่แต่ไม่เทอะทะ และเป็นข้อดีเมื่อขับขี่ในเมือง เพราะความสูงทำให้ประเมินสถานการณ์ด้านหน้าได้ดีขึ้น

ด้วยความสูงของตัวรถ ผมจึงไม่ได้เน้นขับเข้าโค้งสวิงสวายมากนัก เพราะแม้จะมีออปชั่นตัวช่วยติดตั้งมาให้เพียบ แต่คิดว่าไม่น่าเหมาะ

ตัวช่วยเด่นๆ อาทิ ระบบความปลอดภัย ADAS (Advanced Driver-Assistance Systems) ที่ทำงานร่วมกับกล้องหน้าคู่ 3D Imaging Stereo Camera

เรดาร์ และเซ็นเซอร์รอบคัน ซึ่งมีฟังก์ชั่นความปลอดภัยที่หลากหลาย

เช่น ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go, ระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน (LKAS), ระบบเตือนมุมอับสายตา และระบบเตือน/เบรกเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง เป็นต้น

การขับขี่นอกเมืองจับสังเกตอาการของเกียร์ ส่งกำลังได้ลื่นดี แทบไม่ต้องรอรอบ

อาการกระเด้งน้อยลงชัดเจน ช่วงเปลี่ยนเลนไม่โยนตัวมาก

ขณะที่พวงมาลัยจูนน้ำหนักได้พอดี ถอยเข้าที่จอดรถในห้างไม่หนักมาก

ส่วนการขับขี่บนย่านความเร็วสูงยังมั่นคง

อีกจุดเด่นคือรัศมีวงเลี้ยวอยู่ที่ 5.7 เมตร ถือว่าไม่มากเกินไป

ดีแมคซ์ Hi-Lander CAB4 MAXFORCE มี 9 รุ่นย่อย ทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ รวมถึงรุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ให้เลือกด้วย

สนนราคาเริ่มต้น 885,000-1,164,000 บาท •

 

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]

 

 

 

 

 

 



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

“อนุทิน” ย้ำ หากถูกยึด มท. พร้อมเป็นฝ่ายค้าน – ประกาศก้อง ศักดิ์ศรีภูมิใจไทย ไม่ยอมให้ใครปู้ยี้ปู้ยำ
ประเทศที่ (ยัง) ก่อสร้างไม่เสร็จ อ่านประเทศไทยผ่านงบฯ ปี’69 และช่องทางรับทรัพย์ของผู้รับเหมาก่อสร้าง
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ผลประโยชน์ของใครบ้าง?
ชิงเก้าอี้ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ผู้สมัคร 7 ราย ดีกรีไม่ธรรมดา ตัวจริงมีเพียงหนึ่งเดียว!!
เอกชนห่วง ‘เขย่า ครม.’ กลางคัน งานสะดุด-ฉุดเชื่อมั่นนักลงทุน
ชีวิตทางเลือก | ธงทอง จันทรางศุ
Songs in The Key of Life : ก่อนเวลาจะผ่านไป
จาก No Man’s Land สู่ This Land is My Land
เด็กที่ชินกับรสขม VS ผู้ใหญ่ที่สิ้นหวังกับการเปลี่ยนแปลง
ปฏิทินกับประชาธิปไตย : เมื่อเสียงข้างมากปะทะกับสิทธิ์ข้างน้อย
ประเมินสถานการณ์ ไทย-กัมพูชาจาก RLI
ดาวกับดวง อังคารที่ 17 มิถุนายน 2568