
กำเนิดจริยศาสตร์เชิงวิวัฒนาการ (4) ลัทธิดาร์วินเชิงสังคมถึงกาลอวสาน

Agora | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์
วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
www.facebook.com/bintokrit
กำเนิดจริยศาสตร์เชิงวิวัฒนาการ (4)
ลัทธิดาร์วินเชิงสังคมถึงกาลอวสาน
ลัทธิดาร์วินเชิงสังคมถือกำเนิดขึ้นที่อังกฤษ นำโดยนักสังคมวิทยาชื่อก้องอย่าง “เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์” แต่สเปนเซอร์เป็นหัวหอกเฉพาะแนวคิดทางสังคมเพียงอย่างเดียว หาได้มุ่งเน้นไปที่รายละเอียดทางวิทยาศาสตร์
บทบาทในการต่อยอดแนวคิดพันธุศาสตร์กับทฤษฎีวิวัฒนาการไปสู่สังคมนั้นอยู่ที่นักคิดอีกคนหนึ่งคือ “เซอร์ ฟรานซิส กัลตัน” (Sir Francis Galton, 1822-1911) นักชีววิทยา นักจิตวิทยา และนักพันธุศาสตร์ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่ง “Eugenics” ซึ่งหมายการปรับปรุงพันธุ์ บำรุงพันธุ์ หรือสุพันธุศาสตร์
กัลตันเป็นบุคคลร่วมยุคสมัยเดียวกับดาร์วิน ทั้งคู่เป็นญาติห่างๆ กันและมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง เขาอายุน้อยกว่าดาร์วิน 13 ปี และมากกว่าสเปนเซอร์เพียง 2 ปี
อิทธิพลของกัลตันต่อสังคมก็คือแนวคิดเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ที่ขยายจากพืชกับสัตว์มาสู่คน อันที่จริงความคิดเรื่องการคัดสรรและปรับปรุงพันธุ์มนุษย์มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อย่างเช่นในสมัยกรีกโบราณ งานของเพลโตเรื่อง Republic ก็กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ทว่า การปรับปรุงพันธุ์มนุษย์ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในสังคมอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลยจนกระทั่งเข้าสู่ยุคของดาร์วิน จากการที่กัลตันนำแนวคิดทางพันธุศาสตร์มาพัฒนาต่อจนเป็นรูปเป็นร่างให้เห็นอย่างเด่นชัด
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความพยายามผ่านกฎหมายบังคับทำหมันแก่ผู้ที่ถูกอ้างว่ามีลักษณะไม่พึงประสงค์ แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดในเรื่องนี้เล็ดลอดผ่านสภาไปได้ ทำให้ท้ายที่สุดแนวคิดการปรับปรุงพันธุ์มนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในอังกฤษ ทว่า กลับไปเจริญเติบโตอยู่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแทน
โดยมีการออกกฎหมายบังคับทำหมันมนุษย์ที่สหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1907 และบังคับใช้กับผู้คนมากมาย
เช่น กรณีของ “แครี บัค” (Carrie Buck) ในปี ค.ศ.1927 ที่ถูกศาลฎีกาสหรัฐอเมริกาพิพากษาให้ต้องทำหมันเนื่องจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นคนปัญญาอ่อน
นอกจากเรื่องการปรับปรุงพันธุ์มนุษย์แล้ว แนวคิดลัทธิดาร์วินเชิงสังคมยังได้รับการตอบรับจากนักคิดคนสำคัญของอเมริกาด้วย ตัวอย่างเช่น “วิลเลียม เกรแฮม ซัมเนอร์” (William Graham Sumner, 1840-1910) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันผู้สนับสนุนลัทธิดาร์วินเชิงสังคม สนับสนุนการแข่งขันเสรี และต่อต้านรัฐสวัสดิการ เขาเห็นว่าการที่ผู้คนแข่งขันกันเพื่อสร้างฐานะ สะสมทรัพย์สิน และขยับสถานภาพทางสังคมให้สูงขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เนื่องจากช่วยลดจำนวนประชากรที่อ่อนแอและผู้คนที่บกพร่องทางศีลธรรมให้น้อยลงได้
ในเวลาต่อมาลัทธิดาร์วินเชิงสังคมที่พัวพันกับแนวคิดเรื่องการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์มนุษย์อย่างแยกไม่ออกก็ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันในเยอรมนี เมื่อลัทธินาซีและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ขึ้นสู่บัลลังก์อำนาจ
นาซีเป็นตัวการสำคัญที่รณรงค์แนวคิดนี้ให้แพร่หลายไปทั่วแผ่นดินอินทรีเหล็ก ผ่านสื่อโฆษณาชวนเชื่อจำนวนมากที่หลั่งไหลออกมาสู่สาธารณชนตลอดช่วงเวลาที่นาซียังคงดำรงอิทธิพลอยู่
ผลที่ตามมาก็คือการเหยียดเชื้อชาติขนานใหญ่ อคติทางชาติพันธุ์ที่รุนแรงจนกลายเป็นความเกลียดชัง
กระทั่งนำมาสู่ข้ออ้างในการก่อสงคราม การสร้างจักรวรรดิ และลุกลามไปถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวกับชาติอื่นๆ
เคราะห์ยังดีที่สุดท้ายนาซีก็พ่ายแพ้ ส่งผลให้ลัทธิดาร์วินเชิงสังคมล่มสลาย
ฝันร้ายจากการสังหารหมู่ชาวยิวครั้งใหญ่และบ้านเมืองที่พินาศย่อยยับหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ทำให้แนวคิดนี้กลายเป็นลัทธิอันตรายที่ไม่มีใครอยากเอ่ยถึง
การสิ้นสุดของสงครามโลกจึงเป็นการปิดฉากลัทธิดาร์วินเชิงสังคม แนวคิดการปรับปรุงพันธุ์มนุษย์เสื่อมความนิยมอย่างฉับพลัน และทำให้จริยศาสตร์เชิงวิวัฒนาการยุคแรกยุติลงไปด้วย
อวสานของจริยศาสตร์เชิงวิวัฒนาการยุคแรกไม่ได้มาจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว
แต่ยังมาจากข้อโจมตีทางตรรกศาสตร์ที่หาใครมาโต้แย้งไม่ได้ ข้อโจมตีดังกล่าวมี 2 ประการซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน
ข้อแรกคือ “ปัญหาของสิ่งที่เป็นกับสิ่งที่ควร” (Is-ought problem) อันมีต้นทางมาจากนักปรัชญาสายวิมุตินิยม (Skepticism) ชาวสกอตแลนด์นามว่า “เดวิด ฮูม” (David Hume, 1711-1776) ซึ่งเขียนหนังสือปรัชญาเล่มสำคัญชิ้นหนึ่งชื่อ “A Treatise of Human Nature” ออกมาในช่วงปี 1739-1740 ก่อนดาร์วินเกิดราวๆ 69 ปี
ฮูมไม่ได้โต้ดาร์วินและสเปนเซอร์โดยตรง เพราะเขาตายไปตั้งแต่ก่อนทั้งคู่จะเกิด แต่งานของฮูมชี้ให้เห็นถึงปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างการยกข้ออ้างแบบบรรยาย (Descriptive) แต่ปิดท้ายกลับได้ข้อสรุปเชิงบรรทัดฐาน (Normative) หรือเชิงกำหนด (Prescriptive) ออกมา คือพรรณนาว่าอะไรเป็นอะไร เสร็จแล้วก็สรุปว่าสิ่งนั้นควรเป็นอะไรนั่นเอง ลักษณะเช่นนี้คือการอ้างเหตุผลที่ผิดพลาดหรือตรรกะวิบัติแบบหนึ่ง
ตัวอย่างเช่นการอ้างเหตุผลเรื่อง “โสกราตีสต้องตาย” ที่นักเรียนปรัชญาแทบทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนี้
ข้ออ้าง (1) All men are mortal. (คนทุกคนต้องตาย)
ข้ออ้าง (2) Socrates is a man. (โสกราตีสเป็นคน)
ข้อสรุป Therefore, Socrates is mortal. (ดังนั้น โสกราตีสต้องตาย)
ข้อความในประโยคข้างต้นบรรยายว่าอะไรเป็นอะไร หากข้ออ้างจริง ข้อสรุปที่ได้ก็จริงและจริงแท้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัยด้วย เนื่องจากข้อสรุปนั้นอนุมานมาจากข้ออ้าง
การสรุปเช่นนี้ได้ข้อสรุปต้องเป็นส่วนหนึ่งของข้ออ้าง ไม่เกินไปกว่าข้ออ้างที่มีอยู่
ในข้ออ้างนั้นเป็นประโยคบรรยายใช้คำว่า is หรือ are ข้อสรุปที่ได้ก็ต้องเป็น is หรือ are ด้วยจึงจะถูกต้องและสมเหตุสมผล
ซึ่งต่างกับข้ออ้างของจริยศาสตร์เชิงวิวัฒนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลัทธิดาร์วินเชิงสังคมแบบที่สเปนเซอร์เชื่อ ซึ่งมาจากรูปแบบการอ้างเหตุผลว่า
ข้ออ้าง (1) All men are mortal. (คนทุกคนต้องตาย)
ข้ออ้าง (2) Socrates is a man. (โสกราตีสเป็นคน)
ข้อสรุป Therefore, Socrates ought to die. (ดังนั้น โสกราตีสสมควรตาย)
การยกชื่อโสกราตีสขึ้นมาเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น เพื่อให้เห็นโครงสร้างการอ้างเหตุผลว่าเป็นอย่างไร จะเปลี่ยนจากโสกราตีสเป็นคานธี เป็นเลสลี่ จาง เป็นนาย ก นาย ข นาย ค หรือใครก็ตาม การอ้างเหตุผลเช่นนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถสรุปว่าอะไรคือสิ่งที่ “ควร” ออกมาจากข้ออ้างที่บรรยายว่าอะไรคือสิ่งที่ “เป็น” ได้ การเกิดมาเป็นคนซึ่งไม่ได้มีชีวิตอมตะ สักวันก็ต้องตาย ไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นสมควรตาย
เพราะคำว่า “ควร” มีนัยเชิงคุณค่าว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ “ดี” ด้วย
ข้อโจมตีประการที่สองเรียกว่า “การใช้เหตุผลวิบัติโดยยกธรรมชาติมาเป็นข้ออ้าง” (Naturalistic Fallacy) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับข้อโจมตีแรก แต่ได้รับการขยายให้ละเอียดและมุ่งหักล้างแนวคิดของสเปนเซอร์โดยตรง
ผู้เสนอข้อโจมตีนี้คือ “จอร์จ เอ็ดเวิร์ด มัวร์” (George Edward Moore, 1873-1958) หรือ “จี อี มัวร์” (G. E. Moore) ศาสตราจารย์ด้านปรัชญาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งได้เขียนหนังสือ “Principia Ethica” ออกมาในปี 1903 อันเป็นปีเดียวกับที่สเปนเซอร์เสียชีวิต
การใช้เหตุผลวิบัติโดยยกธรรมชาติมาเป็นข้ออ้างคือสิ่งใดที่เป็นไปตามธรรมชาติไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นต้องดีโดยอัตโนมัติ
การอ้างว่าอะไรเป็นสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ดี เป็นการอ้างเหตุผลที่ผิดพลาดหรือตรรกะวิบัติแบบหนึ่ง
เช่น อหิวาตกโรคเป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ได้หมายความว่าอหิวาตกโรคเป็นสิ่งที่ดี
แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่แผ่นดินไหวไม่จำเป็นว่าเท่ากับดี เป็นต้น
ข้อโจมตีหนักๆ จากนักปรัชญาต้นศตวรรษที่ 20 ได้ปิดฉากจริยศาสตร์เชิงวิวัฒนาการและลัทธิดาร์วินเชิงสังคมลง ประกอบกับความวิบัติจากสงครามโลกและเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของพวกนาซีก็ได้ถีบส่งแนวคิดนี้ลงสู่ก้นเหว แต่หารู้ไม่ว่าหลายสิบปีต่อมา แนวคิดนี้ก็ฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้ง
อ่านต่อฉบับหน้า
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022