

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon
ขวาปะทะขวา
: เสรีประชาธิปไตยคือทางออก
ไม่ต้องสงสัยว่าการเมืองไทยกำลังจะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอีกไม่นาน
แต่เนื่องจากบทความนี้ไม่ได้เขียนโดยหมอดู คำถามว่าไม่นาน คืออีกนานแค่ไหนจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรตอบ
ส่วนคำตอบที่พึงตอบได้คือสัญญาณการเมืองทั้งหมดไม่มีอะไรดีต่อรัฐบาลเลย
นับจากวันที่ 30 เมษายนที่ศาลฎีกามีมติไต่สวนคุณทักษิณ ชินวัตร คดีชั้น 14 ว่าไม่ได้ถูกลงโทษจำคุกจริงๆ คุณทักษิณและพวกก็ถูกทุกสถาบันพิพากษาว่าทำอะไรก็ผิดหมด คำขอออกนอกประเทศถูกศาลปฏิเสธ 2 ศาล, แพทยสภาลงโทษหมอที่รักษาคุณทักษิณ ส่วนรัฐมนตรีทวี สอดส่อง ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปเลย
ในวันที่ 22 พฤษภาคม ศาลปกครองสูงสุดก็จะวินิจฉัยคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คดีค่าเสียหายโครงการจำนำข้าวที่ศาลชั้นต้นเคยตัดสินแล้วว่าไม่ผิด และคำตัดสินศาลปกครองสูงสุดจะทำให้คุณยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชอบคดีจำนำข้าวสูงกว่าที่คุณยิ่งลักษณ์คาดคิด และในที่สุดจะมีผลให้คุณยิ่งลักษณ์ตัดสินใจไม่กลับไทย
ทิศทางคดีแบบนี้ทำให้เดาได้ง่ายว่าคำตัดสินคุณทักษิณคดีชั้น 14 ซึ่งศาลนัดไต่สวนวันที่ 13 มิถุนายน จะเป็นอย่างไร
และถ้าคุณทักษิณประสบชะตากรรมในคดีชั้น 14 แบบเลวร้ายที่สุดเหมือนคุณยิ่งลักษณ์ในคดีจำนำข้าว ผลคดีทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตัวคุณแพทองธาร ชินวัตร อย่างแน่นอน
แม้จะมีคำอธิบายการเมืองไทยด้วยแนวคิดพิสดารประเภทรัฐพันลึก, รัฐล้มเหลว หรือรัฐราชการ แต่ถึงที่สุดการเมืองไทยก็เหมือนที่อื่นในโลกที่ล้วนมีการเมืองเชิงสถาบันและการเมืองเชิงอุดมการณ์เป็นองค์ประกอบ และทั้งสององค์ประกอบนี้กำลังมีสิ่งบอกเหตุหลายอย่างที่อันตรายต่อประชาธิปไตย
แน่นอนว่ารัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลแรกที่เผชิญภัยคุกคามจาก “ตุลาการภิวัฒน์” ซึ่งลุกลามเป็น “นิติสงคราม” แต่ข้อน่าสังเกตก็คือ “นิติสงคราม” ครั้งนี้ล็อกเป้าไปที่คุณทักษิณและพวก ไม่ใช่รัฐบาลทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นคือ “นิติสงคราม” มีการขยายอำนาจศาลและใช้อำนาจศาลแบบที่น่ากังวล
ในกรณีคุณทวี ศาลรัฐธรรมนูญขยายอำนาจตัวเองไปสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะภารกิจเกี่ยวกับ DSI และคดีพิเศษ ทั้งที่อำนาจสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นอำนาจต่อตำแหน่ง หยุดต้องหยุดทั้งหมด
ส่วนคดีคุณยิ่งลักษณ์มี Option ค่าเสียหายระดับ 10,027 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่ฝ่ายคุณยิ่งลักษณ์ประเมิน
ไม่ว่าจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ตุลาการภิวัฒน์” หรือ “นิติสงคราม” ทั้งกระบวนการและผลตัดสินคดีแบบนี้ล้วนเป็นสิ่งบอกเหตุว่าอำนาจตุลาการกำลังจัดการฝ่ายคุณทักษิณอย่างมีนัยยะสำคัญ และถึงแม้ฝ่ายคุณทักษิณจะมีพฤติกรรมเข้าข่ายถูกดำเนินคดี วิธีใช้อำนาจแบบนี้ก็เข้าข่ายผิดปกติเช่นกัน
ศาลรัฐธรรมนูญ, ศาลปกครอง และแพทยสภามีอำนาจตัดสินเรื่องเกี่ยวกับคุณทักษิณด้วยกฎหมายที่ต่างกัน
แต่ที่เหมือนกันคือทั้งหมดล้วนเป็นสถาบันที่แข็งแกร่ง (Establishment) จนคดีชั้น 14, คดีคุณทวี และคดีจำนำข้าว เป็นคดีที่สถาบันเหล่านี้วินิจฉัยอำนาจฝ่ายบริหารแบบเป็นฝ่ายกำหนดเกม
สถาบันแบบ Establishment ถือว่าเป็นฝ่าย “ขวา” ในทุกสังคม แต่คำว่า “ขวา” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องอุดมการณ์ หากยังหมายถึงองค์กรที่เป็นองค์ประกอบของรัฐ กับสถาบันการปกครองทั้งหมด และสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือองค์กรเหล่านี้แสดงสัญญาณที่ปะทะกับคุณทักษิณอย่างเต็มตัว
รัฐบาลแพทองธารไม่เท่ากับประชาธิปไตย และความเละทะของรัฐบาลก็ไม่เท่ากับความเละเทะของประชาธิปไตยด้วย เพราะรัฐบาลในระบอบไหนก็บริหารประเทศเละเทะได้ทั้งนั้น
แต่การที่สถาบันหลักมีบทบาท “นิติสงคราม” เป็นสัญญาณเตือนภัยว่าประชาธิปไตยกำลังมีความเสี่ยงที่อันตราย
“วาทะ” (ไมใช่วาทกรรม) ทางการเมืองที่ฮือฮาช่วงนี้คือที่ปรึกษากรรมาธิการ (กมธ.) ร่างรัฐธรรมนูญ 2560 พูดเรื่องหยุดประชาธิปไตย แม้ผมจะดีเบตทางทีวีกับผู้พูดเรื่องนี้หลายหนจนรู้ว่าคำพูดนี้ไม่มีแก่นสารอะไร
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดนี้สะท้อนความต้องการและความพยายามหยุดการเมืองเชิงสถาบัน
ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองที่ประชาชนสามารถเลือกรัฐบาลและล้มรัฐบาล ความมั่นคงของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจึงขึ้นอยู่กับที่มาว่ามาโดยประชาชนหรือไม่ และการใช้อำนาจเป็นไปด้วยความชอบธรรมหรือเปล่า
ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลแพทองธารมีปัญหาจริงๆ
หนึ่งในเรื่องอื้อฉาวที่สุดของรัฐบาลนี้คือคดีฮั้ว ส.ว. และไม่ว่าเนื้อแท้เรื่องนี้จะเป็นแบบไหนระหว่างพรรคสีน้ำเงินผิดแบบที่ DSI กล่าวหา หรือเพื่อไทยอยากคุม ส.ว.แบบพรรคสีน้ำเงินบอก มลทินของคดีก็พัวพันกับไม่พรรคเพื่อไทยก็ภูมิใจไทย และผลลัพธ์ที่ได้คือพรรคใหญ่รัฐบาลล้วนเฮงซวย
ส.ว.เป็นหนึ่งในสถาบันนิติบัญญัติเหมือนสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ ส.ว.มีที่มาซึ่งสังคมเชื่อว่า “ฮั้ว” แทบทั้งสภา จะยกเว้นก็แค่กลุ่ม ส.ว.พันธุ์ใหม่ ซ้ำปฏิบัติการฮั้วยังถูกกล่าวหาว่าเชื่อมโยงถึงพรรคใหญ่ฝ่ายรัฐบาลระดับรองนายกฯ, เลขาฯ พรรค ฯลฯ สถาบันนิติบัญญัติทั้งหมดย่อมหมดความน่าเชื่อถือโดยปริยาย
ส.ว.มีอำนาจเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, กกต., ผู้ตรวจการแผ่นดิน และ ป.ป.ช. ทันทีที่ ส.ว.ถูกเชื่อมโยงกับพรรคการเมือง ตุลาการและผู้บริหารองค์กรอิสระอื่นย่อมมีมลทินมัวหมองด้วยทั้งสิ้น
ความสกปรกของ ส.ว.ที่ถูกกล่าวหาจึงทำให้องค์กรอิสระอื่นเสี่ยงล้มละลายด้านความน่าเชื่อถือตามไปในบั้นปลายด้วย
ถ้าเชื่อว่า DSI ทำคดี ส.ว. เพราะพรรคเพื่อไทยอยากคุม ส.ว. เพื่อคุมอำนาจเลือก กกต.และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยก็ไม่ต่างกับพรรคภูมิใจไทยในแง่ต้องการกินรวบ ส.ว.เพื่อกินรวบองค์กรอิสระหลังจากกินรวบทำเนียบแล้ว และ ส.ว.สีแดงก็ทำให้พรรคเพื่อไทยสกปรกเหมือน ส.ว.สีน้ำเงิน
หากคดีฮั้ว ส.ว.จบด้วยการฮั้วของนายใหญ่เพื่อไทยและครูใหญ่ภูมิใจไทย ความไม่น่าเชื่อถือของ ส.ว.ก็จะลุกลามเป็นความไม่น่าเชื่อถือต่อเพื่อไทย, ภูมิใจไทย, นายใหญ่ และครูใหญ่ภูมิใจไทย
ผลลัพธ์ที่ได้คือความล้มละลายทางอุดมการณ์ของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติแทบทั้งหมดในทันที
น่าสังเกตว่าหนึ่งในหลักฐานของคำร้องยุบพรรคคดีฮั้ว ส.ว. คือ ส.ว.ไม่เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามที่ประธานศาลและผู้เกี่ยวข้องเลือก ความน่าเชื่อถือของศาลเป็นหลักฐานในการกล่าวหาว่า ส.ว.เชื่อมโยงกับพรรคการเมือง ศาลที่เป็น Establishment จึงเป็นฐานของการยุบพรรคอย่างที่ไม่ควรเป็น
ไม่ใช่ความลับว่าการเมืองไทยในแง่อุดมการณ์ตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2549 มีแกนกลางที่การต่อสู้ทางอุดมการณ์เพื่อครอบครองความคิดจิตใจ (Hegemony) ระหว่างอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง กับอำนาจที่ประชาชนไม่ได้เลือก
และทุกอย่างที่เกิดในเวลานี้คืออำนาจที่มาจากการเลือกตั้งถอยหลังลงคลอง
ถ้าทำให้สถาบันจากการเลือกตั้งเสื่อมขั้นล้มละลายทางอุดมการณ์ได้ การทำลายอำนาจจากการเลือกตั้งก็ง่ายนิดเดียวในประเทศที่มีรัฐประหาร 2 ครั้งในรอบ 9 ปี, มีทหารเป็นนายกฯ 11 ปีในรอบ 19 ปีหลังรัฐประหาร 2549 และมีนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากพรรคชนะเลือกตั้งถึง 15 ปีใน 19 ปี ของช่วงเดียวกัน
กล่าวอย่างรวบรัดที่สุด การเมืองไทยวันนี้เกิดการเผชิญหน้าทางสถาบันระหว่าง Establishment ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งกับรัฐบาล และเกิดการเผชิญหน้าทางอุดมการณ์ระหว่างอำนาจจากการเลือกตั้งและอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจนมีแนวโน้มที่เสรีประชาธิปไตยจะถอยหลังลงคลอง
ในการดีเบตระหว่างผมกับคนที่พูดเรื่อง “หยุดประชาธิปไตย” คำพูดที่ผมตกใจที่สุดคือการอ้างว่าประเทศเหมือนโต๊ะที่ต้องล้มเพื่อกวาดคนที่มีปัญหา เพราะวิธีคิดนี้ให้บางคนมีอำนาจกวาดล้างทุกคนที่คนกลุ่มนี้คิดว่าเป็นปัญหา อำนาจที่ไม่มีใครเลือกจึงใหญ่ระดับกำจัดใครก็ตามได้ทันที
ความคิดเรื่อง “หยุดประชาธิปไตย” เป็นวิธีเดียวกับ “แช่แข็งประเทศ” หรือรัฐประหาร เพราะเมื่อคิดว่าคนทั้งประเทศห่วยจนบางคนและบางกลุ่มต้องกวาดล้างคนอื่นให้หมด คำถามคือใครควรเป็นคนกวาดล้าง ใครถูกกวาดล้าง กวาดล้างนานแค่ไหน ซึ่งทั้งหมดคือการใช้อำนาจการเมืองแบบเผด็จการ
การอ้างสถาบันหลักเพื่อกวาดล้างทุกฝ่ายเป็นกระบวนการท่าพื้นฐานของขวาไทย ที่ผ่านมาวิธีนี้ทำได้เพราะฝ่ายที่ถูกกวาดล้างล้วนถูกผลักดันให้เป็นฝ่ายตรงข้ามกลุ่ม Establishment ทั้งสิ้น แต่ปัญหาของการเมืองวันนี้ทั้งคือเพื่อไทยและภูมิใจไทยล้วนเล่นเกมแข่งกันเอียงขวาเหมือนกัน
ประชาธิปไตยมีปัญหาได้เหมือนระบอบปฏิปักษ์ประชาธิปไตย แต่ขณะที่ฝ่าย Establishment ไม่เคยบอกว่าฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยมีปัญหาจนต้องหยุดระบอบ วาทกรรมว่าประชาธิปไตยมีปัญหาจนต้องหยุดระบอบเพื่อกวาดล้างให้หมดกลับเป็นเรื่องที่พูดกันโดยไม่เห็นหัวประชาชนเลย
เมื่อใดที่ตัวละครหลักทางการเมืองแข่งกันตะโกนความขวา เมื่อนั้นประชาชนย่อมไม่อยู่ในสมการผู้มีอำนาจอย่างที่คนไทยรู้สึกในปัจจุบัน
ทางออกไม่ใช่ความหดหู่สิ้นหวัง แต่คือการผลักดันวาระประชาธิปไตยให้สำเร็จเหมือนที่เคยทำในการเลือกตั้งปี 2566 จนประเทศเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022