
จับสัญญาณเรือดำน้ำ-เรือฟริเกต ทร. กับท่าที ‘บิ๊กอ้วน’ และสัมพันธ์ ‘บิ๊กแมว-บิ๊กดุง’ ชื่อ ‘เสธ.เฟื่อง’ สะพัด ชิง ‘บิ๊กเดี่ยว’

รายงานพิเศษ
จับสัญญาณเรือดำน้ำ-เรือฟริเกต ทร.
กับท่าที ‘บิ๊กอ้วน’
และสัมพันธ์ ‘บิ๊กแมว-บิ๊กดุง’
ชื่อ ‘เสธ.เฟื่อง’ สะพัด
ชิง ‘บิ๊กเดี่ยว’
แม้จะมีการส่งสัญญาณจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ไปยังกองทัพเรือ ว่า จะเดินหน้าต่อเรือดำน้ำจีน ด้วยการนำเข้า ครม.ขออนุมัติ แก้ไขข้อตกลง เปลี่ยนจากเครื่อง MTU 396 ของเยอรมัน เป็นเครื่อง CHD 620 ของจีน ภายในปลายพฤษภาคม หรือต้นมิถุนายน 2568 นี้ก็ตาม
แต่เวลาพูดผ่านสื่อ นายภูมิธรรมจะพยายามแทงกั๊กว่ามี 2 ทางเลือก คือ ยกเลิกสัญญา โดยที่บริษัท CSOC ของจีน จะไม่คืนเงินที่กองทัพเรือผ่อนจ่ายไปรวมกว่า 8,000 ล้านบาท หรือเดินหน้าต่อ ยอมเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์จีน
อย่างไรก็ตาม ในหมู่ทหารเรือ หรือแม้แต่อดีต ผบ.ทร. ต่างก็รู้กันแล้วว่า เป็นข่าวดี และเตรียมตัวสำหรับการแก้ไขสัญญา เนื่องจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของเรือดำน้ำนี้ถือเป็นสาระสำคัญของเรือดำน้ำ จึงต้องนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขข้อตกลงและสัญญา
กล่าวสำหรับนายภูมิธรรมเองก็พยายามยื้อเวลาการตัดสินใจมาจนถึงที่สุด จนหมดข้ออ้างแล้ว เพราะได้พบกับ รมว.กลาโหมเยอรมันที่ยืนยันว่าไม่สามารถขายเครื่องยนต์ MTU 396 ให้ ทร.ไทยโดยตรงได้ ด้วยเงื่อนไขของการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและ NATO ที่แซงก์ชั่นจีน
อีกทั้ง ทร.ปากีสถาน ที่ตัดสินใจเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์จีนไปก่อนหน้าไทย จนเรือดำน้ำต่อเสร็จใช้งานแล้ว ยืนยันว่าเรือดำน้ำจีนใช้การได้ดี จึงหมดเงื่อนไขที่นายภูมิธรรมจะนำมาอ้างในการประวิงเวลา
“ทั้งจีน และกองทัพเรือ จี้มาหลายครั้งแล้ว ผมก็ตอบไปว่า ก็อยากให้คำตอบ แต่ติดเงื่อนไขที่เราต้องหาทางออกรอบคอบที่สุด ว่ามีทางเลือกอะไรบ้าง” นายภูมิธรรมเผยถึงแรงกดดัน นับตั้งแต่มาเป็น รมว.กลาโหม ราว 9 เดือน
โดยเฉพาะท่าทีของบิ๊กแมว พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร. ที่ออกมาจี้ให้นายภูมิธรรมตัดสินใจ หลังจากที่ ทร.ได้ส่งการบ้านเรื่องคำตอบจาก ทร.ปากีสถาน ให้แล้ว และคำตอบจากเยอรมันก็ได้แล้ว

บิ๊กแมว พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร.
แต่ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 2569 ที่รอเข้าสู่การพิจารณาของสภา และคณะกรรมาธิการ ไม่มีการตั้งงบประมาณผูกพัน สำหรับผ่อนจ่ายงบฯ ผูกพันของโครงการเรือดำน้ำจีน เนื่องจากกองทัพเรือเห็นว่ายังไม่มีเนื้องานเพิ่มเติมจากการต่อเรือ และหากต้องมีการแก้ไขสัญญาก็จะมีขั้นตอนต่างๆ ใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ดังนั้น กว่าที่จะเริ่มต้นการต่อเรือดำน้ำที่อู่เมืองอู่ฮั่นได้ต่อ ก็จะราวปลายปีงบประมาณ 2569 ดังนั้น กองทัพเรือจะเสนอตั้งงบประมาณผูกพันอีกครั้งในงบประมาณปี 2570
ดังนั้น ในงบฯ ปี 2569 นี้กองทัพเรือจึงจะเสนอขอต่อเรือฟริเกตถึง 2 ลำ ซึ่ง พล.ร.อ.จิรพลให้สัมภาษณ์ยืนยันชัดเจนว่ากองทัพเรือเสนอขอซื้อเรือฟริเกต 2 ลำ ทั้งๆ ที่กรอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 นี้มีการตั้งงบฯ ไว้แค่ 1 ลำคือ 17,500 ล้านบาท
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางกองทัพเรือได้เจรจาต่อรองกับนายภูมิธรรม ขอซื้อเรือฟริเกต 2 ลำ รวมงบประมาณ 35,000 ล้านบาท แต่นายภูมิธรรมเห็นว่าจะทำให้งบประมาณเรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพสูงเกินไป จึงต่อรองให้ซื้อแค่ 1 ลำเท่านั้น
แต่ ผบ.ทร.ก็ยังยืนยันว่า ในปีงบประมาณ 2569 กองทัพเรือได้เสนอจัดซื้อเรือฟริเกตไป 2 ลำ ซึ่งกองทัพเรือเข้าใจดีว่า เรือฟริเกตมีราคาสูง แต่ในขณะนี้มีความจำเป็นและถึงเวลาที่ต้องจัดหา หากจัดหาเพียงลำเดียวจะมีปัญหาในการดูแลรักษา
ดังนั้น กองทัพเรือจึงตั้งเป็นโครงการจัดซื้อเรือฟริเกต 2 ลำ และส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ รวมทั้งจะมีการพูดคุยถึงเรื่อง offset policy ด้วย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เดิมกองทัพเรือได้มีการต่อรองว่าหากซื้อลำเดียว จะต้องใช้งบประมาณสูงกว่า 17,500 ล้านบาท เพราะจะต้องมีงบฯ ในการขยายอู่ต่อเรือ เพื่อรองรับการต่อเรือภายในประเทศ ตามข้อตกลงในการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ต้องใช้งบประมาณเกือบ 3 พันล้าน แต่กองทัพเรือก็ถูกปรับลดให้เฉพาะต่อเรือฟริเกตแค่ 1 ลำก่อนเท่านั้น
จนเป็นที่ตั้งข้อสังเกตถึง ผบ.ทร. ยืนยันจะขอซื้อเรือฟริเกต 2 ลำ อาจเป็นเพราะเพื่อใช้ในการต่อรองเพราะรู้ว่าในที่สุดก็จะถูกปรับลดเหลือแค่ 1 ลำ หรืออีกทางหนึ่งกองทัพเรือใจชื้น ที่เห็นว่านายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะกรรมาธิการทหารฯ สภาผู้แทนราษฎร แสดงการสนับสนุนให้กองทัพเรือต่อเรือฟริเกต เพราะจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเรือในประเทศ
แต่ที่กำลังถูกจับตาคือ ระหว่างค่ายยุโรป กับค่ายเกาหลี ที่กำลังต่อสู้กันอย่างเข้มข้น และเชื่อมโยงกับสายสัมพันธ์ในกองทัพเรือ รวมทั้งกับฝ่ายการเมือง อีกทั้งมีความพยายามในการทวงสัญญาเก่าแต่เมื่อครั้งต่อเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช ที่ครั้งนั้นให้เกาหลีใต้ต่อ แต่เคยมีสัญญาใจกันในบางยุคว่าจะต้องต่อจากเกาหลี 2 ลำ ก็หมายถึงเรือฟริเกตที่จะมีการตอบเพิ่มเติมใหม่นั่นเอง
แต่จะเป็นรูปแบบของการจับมือเป็นคู่ระหว่างบริษัทต่อเรือต่างชาติกับบริษัทต่อเรือในประเทศไทย เพื่อให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเรือภายในประเทศ
การที่นายภูมิธรรมยอมทำตามกองทัพเรือทั้งการเดินหน้าต่อเรือดำน้ำจีน และไฟเขียวต่อเรือฟริเกตใหม่ แม้จะแค่ 1 ลำก็ตาม แต่ก็ถือเป็นการลดความตึงเครียดระหว่างนายภูมิธรรมกับ พล.ร.อ.จิรพล ที่มีมาหลายเดือนเมื่อครั้งนายภูมิธรรมแช่แข็งโครงการเรือดำน้ำ
ประกอบกับระหว่างนายภูมิธรรม กับ พล.ร.อ.จิรพล นั้นมีระยะห่างทางใจ อันเป็นผลพวงจากการแต่งตั้งโยกย้ายเมื่อกันยายน 2567 ที่ผ่านมา ที่นายภูมิธรรมไม่สนับสนุน พล.ร.อ.จิรพล ขึ้นเป็น ผบ.ทร. แต่ในที่สุด บิ๊กดุง พล.ร.อ. อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร.ในขณะนั้นก็สู้ทุกทาง จนสามารถผลักดัน พล.ร.อ.จิรพล ขึ้นเป็น ผบ.ทร.ได้สำเร็จ
แม้ว่ากลยุทธ์และยุทธวิธีของ พล.ร.อ.อะดุง ในการเจรจาต่อรองกับนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหมในขณะนั้น จะถือว่าเหนือชั้น ที่ทำให้นายสุทินซึ่งพยายามยื้อเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำจีนมาตลอดเกือบปีที่เป็น รมว.กลาโหม ยอมตกลงที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขข้อตกลง เปลี่ยนเป็นใช้เครื่องยนต์จีนแทนแล้วก็ตาม แต่ตอนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวนายกรัฐมนตรีและเปลี่ยนตัว รมว.กลาโหม จึงทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก
แต่สำหรับ พล.ร.อ.จิรพล ซึ่งเป็นนายทหารที่พูดน้อยและอาจจะมีกลยุทธ์ไม่เทียบเท่า พล.ร.อ.อะดุง แต่ก็ยังมี “ตัวช่วย” ในการเจรจาต่อรอง จนทำให้นายภูมิธรรมต้องยอมไฟเขียวเดินหน้าต่อไป
กรณีเรือดำน้ำจีนและเรือฟริเกตนี้ มีการนำมาเชื่อมโยงกับการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารเรือคนใหม่ในการโยกย้ายกันยายน 2568 นี้ ที่ก็จะทำให้ พล.ร.อ.จิรพล และนายภูมิธรรมพูดคุยกันได้มากขึ้น
จากที่เคยมีกระแสข่าวว่านายภูมิธรรมสนับสนุน พล.ร.อ.สุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ และประธานคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ของกองทัพเรือ ให้ขึ้น ผบ.ทร.คนต่อไปนั้น ก็มีกระแสแผ่วลง
จากเดิมที่มีข่าวว่า นายภูมิธรรมจะย้อนศร จากการที่ พล.ร.อ.จิรพล ขึ้นเป็น ผบ.ทร.ได้ แม้จะไม่ได้จบจากโรงเรียนนายเรือ และไม่ได้อยู่ในตำแหน่งหลัก 5 ฉลามทัพเรือ ดังนั้น พล.ร.อ.สุชาติ ก็สามารถเป็น ผบ.ทร.ได้ อีกทั้งยังมีอายุราชการถึงปี 2570 สามารถนั่งเก้าอี้แม่ทัพเรือได้ถึง 2 ปี ตามข้อกำหนดใหม่ของกองทัพที่พยายามจะเลือกผู้บัญชาการเหล่าทัพที่มีอายุราชการ 2 ปีขึ้นไป อีกทั้งยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 25 ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้มีบารมีนอกพรรคกล้าธรรม และสายตรงอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร
แต่เวลานี้ยังคงมีชื่อของบิ๊กเดี่ยว พล.ร.อ.ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผบ.กองเรือยุทธการ เป็นเต็งหนึ่ง ผบ.ทร.คนต่อไปตามเดิม เพราะถือว่าเป็นแคนดิเดตคนหนึ่งที่ พล.ร.อ.อะดุง ได้คัดเลือกและวางลงในตำแหน่งนี้ไว้
เพราะสำหรับ พล.ร.อ.ณัฏฐพล แม้จะมีอายุราชการเหลือแค่ปีเดียว แต่ก็เป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 25 ของ ร.อ.ธรรมนัสเช่นกัน อีกทั้งเส้นทางรับราชการก็ยังมาตามธรรมเนียมของทหารเรือที่ผ่านการเป็นผู้บังคับการเรือหลวง และเป็นผู้ช่วยทูตทหาร ก่อนมาเป็นเจ้ากรมข่าวทหารเรือ

พล.ร.อ.ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผบ.กองเรือยุทธการ
แต่อย่างไรก็ตาม ได้เกิดกระแสข่าวสะพัดในกองทัพเรือ ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พล.ร.อ.จิรพล กับ พล.ร.อ.อะดุง ผบ.ทร.คนก่อน ที่อาจจะห่างเหินกันมากขึ้น แม้จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 23 ด้วยกันก็ตาม
ที่สำคัญคือ พล.ร.อ.อะดุง ถือว่าเป็นคนที่มีบุญคุณและสนับสนุนผลักดันให้ พล.ร.อ.จิรพล ได้ออกจากกรุ ขึ้นเป็น ผบ.ทร.ได้สำเร็จ
จนมีการตั้งข้อสังเกตกันว่าในระยะหลังมีหลายเรื่องที่ พล.ร.อ.จิรพล ไม่ได้ทำตามคำแนะนำของ พล.ร.อ.อะดุง เพราะมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และอาจเรียกได้ว่าเข้าที่เข้าทางแล้ว
เพราะในเบื้องแรกที่ขึ้นมาเป็น ผบ.ทร. พล.ร.อ.จิรพล อาจจะยังไม่มั่นใจในตัวเองมากนักเพราะไม่ได้มาจากตำแหน่งหลัก จึงทำให้ พล.ร.อ.อะดุง อาจยังคงต้องช่วยเป็นพี่เลี้ยงคอยชี้แนะอยู่บ้าง
แต่กระนั้นก็ตาม ก็มีกระแสเสี้ยมเกิดขึ้น ที่ทำให้มีการงอนกันเกิดขึ้นจากหลายเรื่อง ที่อาจคิดเห็น หรือมีแนวทางไม่ตรงกัน
ยิ่งเมื่อขึ้นมาเป็น ผบ.ทร.หลายเดือนจนจะเกษียณในไม่ช้านี้แล้ว พล.ร.อ.จิรพล ก็มีแนวทางในแบบของตนเอง

พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ
ที่ต้องจับตาคือเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายในส่วนของกองทัพเรือที่เกิดกระแสข่าวหนาหูว่า พล.ร.อ.จิรพล ก็ยังต้องปรึกษาอดีต ผบ.ทร.หลายคน ที่เป็นที่เคารพและมีส่วนสนับสนุนได้เป็น ผบ.ทร.
จนในระยะหลัง เริ่มมีกระแสข่าวในกองทัพเรือถึงผู้ที่มีบทบาทสำคัญเบื้องหลังที่ พล.ร.อ.จิรพล ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทร.ตัวจริงออกมา เพราะในการศึกชิงเก้าอี้แม่ทัพเรือครั้งนั้นต้องใช้พลังจากหลายฝ่ายและหลายมิติ จนทำให้ผู้มีพระคุณของ พล.ร.อ.จิรพล มีหลายคนมากขึ้น
กระแสข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้มีการจับตามองไปที่ เสธ.เฟื่อง พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ จากเตรียมทหาร 24 ที่แม้จะมีอายุราชการเหลือแค่ปีเดียว แต่ด้วยบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของการเป็น เสธ.ทร. ทำให้มีบทบาทโดดเด่น และมีบุคลิกนิ่งสุขุม
อีกทั้งเตรียมทหารรุ่น 24 ก็ยังไม่ได้หมดอำนาจไปจากกองทัพ เพราะแม้ว่า บิ๊กหนุ่ม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกลาโหม บิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และบิ๊กไก่ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ. จะเกษียณกันยายนนี้ แต่ก็มีพลังมากถึง 3 เสียง ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ โดยเฉพาะมีความสนิทสนมกับนายภูมิธรรม
อีกทั้งเตรียมทหารรุ่น 24 ยังคงมีแคนดิเดตที่จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพอีก 2 คนคือ ทั้งบิ๊กหยอย พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนต่อไป และบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ที่จะขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนต่อไป ที่จะยังทำให้เตรียมทหารรุ่น 24 ยังคงคุมอำนาจในกองทัพต่อไป

พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ
อย่างไรก็ตาม กระแสข่าวที่เกิดขึ้นในกองทัพเรือเรื่องความสัมพันธ์ พล.ร.อ.จิรพล และ พล.ร.อ.อะดุง ย่อมไม่เป็นธรรมกับ พล.ร.อ.อะดุงนัก เพราะ พล.ร.อ.อะดุง มักย้ำเสมอกับน้องๆ ในกองทัพเรือเมื่อมีข่าวลือ เพราะไม่เคยมีการไปสั่งหรือแนะนำใดๆ ในการตัดสินใจของ ผบ.ทร. เพราะเกษียณมาก็ไปบวช และพักผ่อน
และคอยเป็นกำลังใจให้น้องๆ ในกองทัพเรืออยู่ห่างๆ เพราะถือว่าที่ผ่านมาเมื่อครั้งเป็น ผบ.ทร. ได้เลือกคนที่ดีที่สุดแล้วในการวางลงตำแหน่งต่างๆ แต่จากนั้นก็เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะทำงานแสดงฝีมือ และก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญได้ด้วยตัวเอง
มีรายงานว่า พล.ร.อ.อะดุง ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในกองทัพเรือ หรือการใส่ร้ายโจมตีใดๆ กัน เพราะการที่ใครจะได้ขึ้นเป็น ผบ.ทร.คนต่อไปย่อมอยู่ที่การทำงานและการยอมรับของคนในกองทัพเรือ และอยากเห็นแคนดิเดตผู้บัญชาการทหารเรือ ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการทำงานและการพัฒนากองทัพเรือ ผ่านสื่อในช่องทางต่างๆ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าทั้งกระแสข่าวเรื่องการแก้ปัญหาเรือดำน้ำ และการต่อเรือฟริเกตลำใหม่ รวมถึงการแต่งตั้งโยกย้ายและการวาง ผบ.ทร.คนใหม่ อาจจะมีความเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะในยุคที่ฝ่ายการเมืองเล็งที่จะเข้ามาแชร์อำนาจในกองทัพ โดยจะสอดแทรก หากเห็นว่าเกิดปัญหาความขัดแย้งแตกแยกในกองทัพหรือแต่ละเหล่าทัพ
การแต่งตั้งโยกย้ายของกองทัพเรือในอีกไม่กี่เดือนนี้จึงอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ระดับตำนานเกิดขึ้นอีกครั้งตามประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ ที่มักมีคลื่นลมแรงเสมอๆ ก็เป็นได้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022