
ชายแดนร้อน เหนือ อีสาน ยัน ใต้ วัดใจ ‘บิ๊กปู’ บัญชาการรบเขมร จับตา บทบาท ‘ทรงวิทย์’ ข้อต่อ ‘รัฐบาล-กองทัพ’

รายงานพิเศษ
ชายแดนร้อน
เหนือ อีสาน ยัน ใต้
วัดใจ ‘บิ๊กปู’ บัญชาการรบเขมร
จับตา บทบาท ‘ทรงวิทย์’
ข้อต่อ ‘รัฐบาล-กองทัพ’
เหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ตึงเครียดมาตลอดหลายเดือน ถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ เมื่อมีการปะทะเกิดขึ้น เมื่อเช้ามืด 28 พฤษภาคม 2568 หลังทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงใส่ทหารไทย ที่เข้าพื้นที่ไปเพื่อผลักดัน ทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่
หลังพบว่าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ช่องบก ด้าน จ.อุบลราชธานี และกำลังสร้างฐานที่มั่นทางทหาร ในพื้นที่ต่อเนื่องของสามเหลี่ยมมรกต ไทย-ลาว-กัมพูชา ที่ทหารกัมพูชาได้เข้ามายึดพื้นที่ อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ที่กำหนดให้เป็น “โน แมนส์ แลนด์” ไม่ให้มีกำลังทหารของฝ่ายใดอยู่และห้ามไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
ทั้งนี้ หลังจากทหารกัมพูชาเผาศาลารวมใจ หรือศาลาตรีมุข ในพื้นที่รอยต่อ 3 ประเทศ ที่ทหารไทยสร้างไว้ในสมัย บิ๊กตุ๋ย พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี อดีต ผบ.ทบ. เป็นแม่ทัพภาค 2 แล้ว ทหารกัมพูชาก็ได้นำกำลังเข้ายึดพื้นที่ อ้างสิทธิ์นั้น แล้วเสริมกำลัง รุกคืบเข้ามาในเขตอธิปไตยไทย ถึง 150 เมตร
แม้กองกำลังสุรนารีจะพยายามเจรจาแต่ทหารกัมพูชาก็ไม่ยอมถอยออกโดยอ้างสิทธิ์ว่าเป็นพื้นที่ของตนเอง
แม้ว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม จะได้พบหารือกับ พล.อ.เตีย เซร็ย ฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ที่กระทรวงกลาโหมไทยเมื่อ 1 พฤษภาคม 2568 แล้วมีมติร่วมให้ถอนกำลังทหารที่เผชิญหน้าออกจากกัน และกลับไปวางกำลังตามเดิม ก่อนเดือนมีนาคม หรือก่อนที่จะมีการเผาศาลาตรีมุขก็ตาม แต่ทหารกัมพูชาก็ไม่ปฏิบัติตามโดยอ้างว่ายังได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา
สถานการณ์ตึงเครียดมาโดยตลอด ต่างฝ่ายต่างเสริมกำลัง โดยเฉพาะที่ช่องบก
โดยก่อนหน้านี้ ทหารไทยได้ตรวจพบว่าทหารกัมพูชาได้เข้ามารุกล้ำเนิน 745 พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนและสร้างฐานที่มั่นทางทหารการขุดคูเลต จึงเจรจาให้ถอนออกไป ซึ่งครั้งนั้นทหารกัมพูชาก็ยอมถอยออกไป
แต่มาครั้งนี้ ทหารกัมพูชาไม่ยอมถอยออกไปอีกแล้ว แต่เปิดฉากยิงใส่ทหารไทยก่อน เพราะหวาดระแวงว่าทหารไทยจะนำกำลังบุกเข้ากดดันมานาน
จึงเกิดการปะทะกันนาน 10 นาที
แม้ทางกองทัพบกไทยจะชี้แจงว่าเป็นความเข้าใจผิดของทหารกัมพูชา และการยิงปะทะไม่มีผู้บาดเจ็บก็ตาม
แต่รายงานข่าวในพื้นที่ระบุว่า ที่ไม่มีบาดเจ็บ คือ ฝ่ายทหารไทย แต่ฝ่ายทหารกัมพูชา มีบาดเจ็บ และสูญเสีย คือ ตาย 1 เจ็บ 2 นาย
ทั้งนี้ แม้ว่าเดิม พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. จะระบุว่าพื้นที่ที่ทหารกัมพูชาล้ำเข้ามา เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน 2 ฝ่ายก็ตาม
แต่จากการตรวจสอบพิกัดและแผนที่ โดยหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งของกองทัพและของส่วนราชการอื่น ยืนยันว่า ในแนวพื้นที่จุดต้นพญาสัตบรรณ เป็นพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย ที่ทหารไทยมีความชอบธรรมในการปกป้อง และใช้กำลังทหารกดดันให้ทหารกัมพูชาออกไป แต่เมื่อทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน ทหารไทยก็ต้องป้องกันตัวเอง
จนเป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาประสานกับ ผบ.หน่วยทหารไทย ในการขอหยุดยิง เพื่อเจรจา แต่กำลังทหาร 2 ฝ่ายยังคงเผชิญหน้ากันในพื้นที่ โดยการเจรจาครั้งแรกยังไม่เป็นผล
มีรายงานว่า ฝ่ายทหารกัมพูชาติดต่อขอเจรจา แต่กลับเคลื่อนย้ายกำลังเข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก ฝ่ายไทยจึงมีการต่อรองเรื่องกำลัง แต่กัมพูชาก็ไม่ยอมถอนกำลังทหาร ดังนั้น ฝ่ายไทยก็จะไม่ถอนออกเช่นกัน ต่างฝ่ายจึงต่างวางกำลังอยู่ร่วมกัน รอระดับนโยบายหารือกัน

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง,พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์
ตลอดทั้งวันที่ 28 พฤษภาคม บิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. มีการประชุมสั่งการด่วนไปยังแม่ทัพภาค 2 และ ผบ.กองกำลังสุรนารี ในการพร้อมสำหรับการสู้รบ และรักษาอธิปไตยไทย โดยมีการตั้งหน่วยเฉพาะกิจร่วมขึ้นมา เพื่อรับมือสถานการณ์นี้โดยเฉพาะ ทั้ง บก.ทัพไทย ทบ. ทร. และ ทอ. ที่เคยมีการวางแผนการใช้กำลังทางอากาศไว้แล้ว หากจำเป็น
โดย พล.อ.พนาได้เข้าพบนายภูมิธรรม เพื่อรายงานสถานการณ์ก่อน จากนั้นได้ประสานพูดคุยกับ ผบ.ทบ.กัมพูชา เพื่อนัดการเจรจาในระดับ ผบ.ทบ. 31 พฤษภาคม 2568 ตามที่นายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ ที่ทำให้เกิดคำถามว่าทำไมถึงต้องรอทั้งๆ ที่มีการปะทะตั้งแต่ 28 พฤษภาคม เนื่องจากว่าช้าไป จึงขอเลื่อนเป็นวันที่ 29 พฤษภาคม ที่ชายแดนจังหวัดสุรินทร์
ทั้งนี้ รมว.กห.ให้นโยบายการเจรจา เพื่อให้ถอยกำลังออกจากกัน และให้พักเรื่องพื้นที่ว่าเป็นเขตอธิปไตยของใครไว้ก่อน
แม้บทบาทหลักของสถานการณ์ช่องบกจะเป็นของ ทบ. แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น กองทัพไทย และ 3 เหล่าทัพมีความพร้อมในเรื่องของการสื่อสาร การรบแบบบูรณาการร่วมกัน โดยกองทัพบกอาจจะไม่ใช่เหล่าทัพเดียวที่ทำการรบนี้ แต่อาจต้องใช้กำลังของกองทัพอากาศและบางหน่วยหรือยุทโธปกรณ์ของกองทัพไทยด้วย
จึงมีการใช้โครงสร้างของ “คณะผู้บัญชาการทหาร” (ผบท.) ที่มี บิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหาร โดยในคณะมี ผบ. 3 เหล่าทัพ และเสนาธิการทหาร
ในเบื้องต้นสถานการณ์แม้ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องเกิดการสู้รบใหญ่แต่ก็ต้องมีการเตรียมพร้อมในเรื่องการประสานสั่งการของทุกเหล่าทัพที่ต้องปฏิบัติการร่วมกัน
โดยเฉพาะการใช้กำลังทางอากาศของกองทัพอากาศหากจำเป็น
ท่ามกลางแรงสนับสนุนจากประชาชน ที่ให้ทหารไทยใช้โอกาสนี้ในการทวงคืนพื้นที่ที่ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาหลายจุด และเรียกคืนศักดิ์ศรีทหารไทย หลังจากที่ปล่อยให้ทหารกัมพูชายั่วยุเย้ยหยัน ไม่ยำเกรงมานานหลายเดือน พร้อมเคลียร์พื้นที่ตลอดแนว ทั้งปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย
แต่ทั้งหมดนี้ต้องอยู่ที่การตัดสินใจของ รมว.กลาโหม และนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาส่วนตัว นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯ ผู้พ่อของนายกฯ ฮุน มาเนต ที่ต้องการให้เจรจามากกว่าสู้รบ

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2
ขณะที่ปัญหาด้านความมั่นคงรอบบ้าน พร้อมใจกันปะทุในช่วงนี้ ทั้งการสู้รบในเมียนมา ที่มีผู้หลบหนีภัยการสู้รบชาวเมียนมาข้ามมาฝั่งไทยในหลายพื้นที่ของ จ.ตาก
ขณะที่ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ยังไม่หมดไป
รวมทั้งการสร้างสันติภาพในเมียนมา ที่ไทยได้รับมิชชั่นจากอาเซียน อีกทั้งนายทักษิณก็เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียนที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ให้เป็นผู้ประสานการเจรจา กับ พล.อ.มิน อ่อง ลาย ผู้นำเมียนมา
รวมไปถึงการที่นายทักษิณประกาศสงครามยาเสพติดกับกลุ่มว้าแดง พร้อมระบุว่าจะเจรจากับเมียนมาให้ดำเนินการ แต่ถ้าเมียนมาบอกว่าจัดการไม่ได้ เพราะเป็นชนกลุ่มน้อย คงต้องขอจัดการเอง
“เพราะมันเป็นศัตรูของเรา มันอยู่ในพื้นที่ไหน ถ้าเขาจัดการไม่ได้ เราต้องขออนุญาต โดยเราก็มีวิธีที่สากลรับได้ ต้องจัดการเรื่องแหล่งผลิต โดยจะมีการซีลชายแดน ที่ต้องขอความร่วมมือจากทหารและ รมว.กลาโหม ในการสกัดช่องทางขนส่งยาเสพติดทางธรรมชาติ” นายทักษิณระบุ
และบอกว่า มอบหมายให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ไปพบปะกับเพื่อนบ้าน โดยมี พล.อ.ทรงวิทย์ร่วมคณะด้วย ทั้งการเจรจากับเมียนมา เรื่องว้าแดง เพราะทางกลาโหมมีนโยบาย Seal-Stop-Safe และก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งให้ พล.อ.ทรงวิทย์เป็น ผอ.ขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ผอ.ศอ.ปชด. ดูแลการแก้ปัญหาชายแดนทั้งหมด
พล.อ.ทรงวิทย์เพิ่งเดินทางไปจีน พบผู้นำทางทหาร ขอความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีการเรียกขบวนการค้ายาเสพติดว่า “อาชญากรข้ามชาติ”

พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี
ท่ามกลางการจับตามองไปที่บทบาทของ พล.อ.ทรงวิทย์ ที่มักได้รับความไว้วางใจจากทางนายกรัฐมนตรีและนายภูมิธรรม รวมถึงนายทักษิณด้วย จนมีการมองไปถึงอนาคตหลังเกษียณราชการ 30 กันยายนนี้ของ พล.อ.ทรงวิทย์ด้วย
แม้ว่าจะต้องเว้นวรรคทางการเมืองจนถึงพฤษภาคม 2569 เนื่องจากเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่ง ที่ต้องเว้นวรรคทางการเมือง 2 ปี โดยอาจจะมีตำแหน่งที่ไม่ใช่การเมืองรองรับ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาชายแดนรอบด้าน และการสร้างสันติภาพในเมียนมา
ทั้งนี้ พล.อ.ทรงวิทย์ได้ทำงานในฐานะ ผอ.ศอ.ปชด. มาตลอดมีการลงพื้นที่ ติดตามสถานการณ์สั่งการและสนับสนุนเครื่องมือและยุทโธปกรณ์ต่างๆ ให้หน่วยปฏิบัติ
ที่น่าจับตามองคือการนำหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมในนามหน่วยเฉพาะกิจ 88 (ฉก.88) ที่มีกำลังรบพิเศษของ ทบ. หน่วยซีล หรือหน่วยรบสงครามพิเศษทางเรือของกองทัพเรือ และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ อากาศโยธิน ของ ทอ. หน่วยอรินทราช 261 ของตำรวจ ไปปฏิบัติการพิเศษที่ชายแดนในการสกัดกั้นขบวนการลักลอบขนยาเสพติด ด้วยการใช้ปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด โดยที่ พล.อ.ทรงวิทย์ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์นี้ด้วย
ซึ่งเป็นแนวทางใช้ไม้แข็ง Iron Fist ที่กองทัพทำมาก่อนที่นายทักษิณจะไปปาฐกถาพิเศษที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เมื่อ 27 พฤษภาคม 2568
อีกทั้งก่อนหน้านี้ พล.อ.ทรงวิทย์ก็ลงพื้นที่ชายแดนภาคเหนือติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มว้าแดงที่ยังคงล้ำอธิปไตยไทยในบางจุด รวมทั้งข้อมูลเรื่องการผลิตยาเสพติด โดยมีการใช้งานการข่าวด้านการทหารและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวของว้าแดงนี้
อาจเรียกได้ว่า พล.อ.ทรงวิทย์ถือเป็นข้อต่อในการประสานระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม กับฝ่ายความมั่นคงและกองทัพผู้บัญชาการเหล่าทัพ
ซึ่งถือเป็นบทบาทที่ พล.อ.ทรงวิทย์ปฏิบัติมาในฐานะทหารอาชีพตั้งแต่เมื่อครั้งที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีความรู้จักกันมาก่อนและได้มาทำงานสนิทสนมตลอดเวลาราวหนึ่งปีที่นายเศรษฐาเป็นนายกฯ และแม้นายเศรษฐาจะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ยังคงมีการประสานงานติดต่อพูดคุยกับ พล.อ.ทรงวิทย์อยู่เสมอ
อีกทั้ง พล.อ.ทรงวิทย์สนิทสนมส่วนตัวกับนายมาริษอยู่แล้วจึงยิ่งทำให้การพูดคุยประสานงานในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทำได้โดยง่าย
แม้แต่ปัญหาเรื่องสารพิษในแม่น้ำกงในพื้นที่ จ.เชียงราย ที่ไหลจากเมืองในพื้นที่ของว้าแดงซึ่งทางกองทัพก็ต้องช่วยสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา
พล.อ.ทรงวิทย์ จะเกษียณราชการ 30 กันยายนนี้ ท่ามกลางการจับตามองว่า จะได้เกษียณราชการหรือไม่ว่า และจะได้รับตำแหน่งพิเศษ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางการเมืองหรือไม่ ในฐานะที่เคยเป็นทหารทหารคอแดง ทหารรักษาพระองค์ มาตลอดทั้งชีวิต
ขณะที่ชายแดนใต้ก็ร้อน จากการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหา นายภูมิธรรมได้ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ร่างแผนยุทธศาสตร์ใหม่ และแจ้งให้ผู้อำนวยการสะดวกมาเลเซียประสานขอพูดคุยกับแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็นที่มีอำนาจในการคุมกองกำลัง เพราะที่ผ่านมาการเจรจากับฝ่ายการเมืองของขบวนการบีอาร์เอ็นไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ความรุนแรงได้
นอกจากนี้ นายทักษิณยังเคยเปิดเผยว่าได้เคยพูดคุยกับนายอันวาร์ โดยมาเลเซียจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ของไทย
แต่ที่เป็นประเด็นร้อนขึ้นมา นายทักษิณกล่าวปาฐกถา ในเวที ป.ป.ส. ทำนองขู่ที่จะยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เพราะเห็นว่าแม้ได้งบประมาณถึงปีละ 7,000 กว่าล้าน เอาไปใช้งานภาคใต้ 3,000 กว่าล้าน อีก 4,000 กว่าล้านใช้ทั่วไป อาจไม่คุ้ม “เที่ยวนี้จะเป็นการพิสูจน์ เพราะมีคนบอกให้ยุบ กอ.รมน.ทิ้ง แต่ผมก็ยังไม่เชื่อว่าจะยุบหรือไม่ยุบดี ดังนั้น กอ.รมน. จะเป็นคนคิดเอง ว่าควรจะยุบหรือไม่ และในพื้นที่ภาคใต้และงานยาเสพติด กอ.รมน.ก็จะต้องมีบทบาทอย่างเข้มแข็ง เด็ดขาด” นายทักษิณกล่าว
นายทักษิณเคยมีแนวคิดอยากจะยุบ กอ.รมน. มาแล้วในอดีต การตอกย้ำแนวคิดนี้อีกครั้งส่งผลสะเทือนไปถึงสวนรื่นฤดีกองบัญชาการ กอ.รมน. ซึ่งก็ถือเป็นขุมกำลังของกองทัพบก เพราะแม้จะมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ กอ.รมน. แต่ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีในทุกยุคสมัยก็จะปล่อยให้กองทัพบกดูแลเพราะผู้บัญชาการทหารบกมี ตำแหน่งรอง ผอ.รมน.คุมทั้งหมด
และในห้วงที่ผ่านมากองทัพบกได้พยายามปรับโครง กอ.รมน.ใหม่ เพื่อป้องกันการถูกยุบด้วยการระบุตำแหน่งที่ชัดเจน ใน กอ.รมน. และระบุในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลประจำปีในระดับผู้บังคับบัญชา จากเดิมที่มักเป็นการช่วยราชการ หรือการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติม
การแตะ กอ.รมน.จึงเป็นอีกความอ่อนไหว และกระทบต่อกองทัพโดยเฉพาะกองทัพบกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันนายทักษิณรู้ดีว่า ทหารไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล และโอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารในยุคสมัยนี้เกิดขึ้นได้ยาก อีกทั้งเป็นรัฐบาลผสมข้ามขั้ว แต่ก็สร้างปฏิกิริยาให้เกิดขึ้นในกองทัพไม่น้อย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022