
ส่อง ‘ธรรมาภิบาล’ ใน ‘ม.ไทย’ ปัญหาใหญ่…ที่ ‘อว.’ ต้องจัดการ!!

ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ และคัดค้านจากคนในแวดวงอุดมศึกษาไทย หลังมีกระแสข่าวว่ากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีแนวคิดที่จะจัดตั้ง “กรมพัฒนาอุดมศึกษา” ซึ่งเป็นหน่วยงานระดับ “กรม” เพื่อมากำกับดูแลมหาวิทยาลัย แทนสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ที่ปัจจุบันแทบไม่มีบทบาทอะไรใดๆ ในการกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ
เพราะหากย้อนดูตั้งแต่ อว.คลอดเป็นตัวเป็นตนเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 นับถึงวันนี้ก็ 6 ปีกว่า โดย สกอ.ซึ่งเดิมเป็น 1 ใน 5 องค์กรหลักที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ถูกแยกออกมาจาก ศธ.และหลอมรวมเข้ากับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2562 จัดตั้งเป็นกระทรวง อว.
ขณะนั้นมี ศ.สัมพันธ์ ฤทธิเดช เป็นเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา แต่ก็เป็นเพียงตำแหน่งที่ไม่ได้มีบทบาทหน้าที่ชัดเจน
และตำแหน่งดังกล่าวถูกยุบเมื่อ ศ.สัมพันธ์เกษียณอายุราชการ
“บทบาท” ของ สกอ.นับจากวันนั้น ดูเหมือนจะเงียบหายไป จากที่เคยมีบทบาท “สนับสนุน” สถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐและเอกชน ให้เกิดความเข้มแข็งทั้งทางวิชาการ ทำงานวิจัยสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ รวมถึงช่วยชี้นำสังคม และประเทศชาติ ในยามที่บ้านเมืองเกิดภาวะวิกฤต หรือมีเหตุแห่งความวุ่นวาย
ซึ่งเป็นบทบาทที่ สกอ.แม้จะช่วงต่อจาก “ทบวงมหาวิทยาลัย” ก็ยึดถือมาโดยตลอด กระทั่ง “รัฐมนตรีว่าการทบวงฯ” หรือ “รัฐมนตรีว่าการ ศธ.” ก็เข้าใจบทบาทของตนเอง ว่ามีหน้าที่สนับสนุน ไม่ใช่สั่งการเหมือนหน่วยงานอื่นๆ
ขณะที่โครงสร้าง สกอ.ในปัจจุบัน มีเพียง “คณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)” ทำหน้าที่ดูแล และรับผิดชอบการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยมี รศ.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ เป็นประธาน กกอ. มีหน้าที่หลักคือ
1. การเร่งสร้างและพัฒนากำลังคนของประเทศ และจัดการศึกษาตลอดชีวิต
2. การพลิกโฉมมหาวิทยาลัย
3. การขับเคลื่อนความเป็นสากล
4. การจัดทำและใช้ฐานข้อมูลการอุดมศึกษา
และ 5. การยกระดับธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา
ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการ กกอ. ออกหน้าคัดค้านการปรับโครงสร้างของ อว.โดยตั้งกรมพัฒนาอุดมศึกษา หน่วยงานระดับกรมมากำกับดูแลมหาวิทยาลัย เพราะถูกลดความสำคัญลง จากที่เคยเป็นทบวงฯ และถูกเปลี่ยนสถานะเป็น สกอ.แต่ถือเป็นหน่วยงานเทียบเท่ากระทรวง ขณะที่ผู้บริหารจากเดิมคือ “ปลัดทบวงฯ” และ “เลขาธิการ กกอ.” ที่เป็นข้าราชการระดับ (ซี) 11 จะมีตำแหน่งเป็น “อธิบดี” กรมพัฒนาอุดมศึกษา ซี 10
“หลัง สกอ.ถูกโยกจาก ศธ.มาอยู่ภายใต้การการกำกับของ อว.ทำให้มหาวิทยาลัยไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร รู้สึกเห็นใจ เพราะ อว.มีภารกิจหลายอย่าง ขณะที่ สกอ.ได้กลายเป็นหน่วยงานที่ไม่ค่อยมีทิศทาง ไม่มีการสร้างงานในเชิงนโยบาย หรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสถาบันอุดมศึกษาอย่างจริงจัง” อดีตเลขาธิการ กกอ.ระบุ
ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ย้ำว่า “ไม่เห็นด้วย” กับการตั้งกรมพัฒนาอุดมศึกษา เนื่องจากไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ควรทำ เพราะการให้ผู้ดูแลมหาวิทยาลัยกลายเป็นหน่วยงานระดับกรม นอกจากลดศักดิ์ศรีของหน่วยงานแล้ว ผู้บริหารจากซี 11 ถูกลดเหลืออธิบดีซี 10 เท่ากับ “อธิการบดี” แล้วจะให้ซี 10 เท่ากัน สั่งการกันอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องแปลก
และหากจะปรับโครงสร้างจริง ก็ควรให้ สกอ.กลับมามีบทบาท และให้เลขาธิการ สกอ.มาจากการ “สรรหา” ทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษา โดยกำหนดคุณสมบัติของเลขาธิการ กกอ.ว่าจะต้องเคยเป็นอธิการบดี เพื่อจะได้พูดคุยกับมหาวิทยาลัยได้สะดวก
ขณะที่ รศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เป็นอีกหนึ่งเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งกรมพัฒนาอุดมศึกษาขึ้นมากำกับดูแลมหาวิทยาลัย โดยประเด็นนี้ได้พูดคุยกันมา 2-3 ปีแล้ว อีกทั้งมหาวิทยาลัยก็มีอิสระในการบริหารจัดการ และมี พ.ร.บ.ของตัวเอง ขณะที่ อว.หรือปลัด อว.ในปัจจุบัน แทบจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.อดิศรมองว่า “ปัญหา” หลักๆ ของมหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นในเวลานี้ คือการแย่งชิง “ตำแหน่ง” ผู้บริหาร จนทำให้เกิดการแตกแยกภายในสถาบัน ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการตั้งกรมพัฒนาอุดมศึกษา แต่หากจะตั้งเพื่อตรวจสอบเรื่องการทุจริตในมหาวิทยาลัย ก็มีหน่วยงานรัฐหลายหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ก็ไม่เห็นด้วยถ้าการฟื้น สกอ.ที่มีเลขาธิการ กกอ.แบบเดิม เพราะจะทำให้มหาวิทยาลัยยึดติดกับระบบราชการจนเกินไป
ประเด็นการจัดตั้งกรมพัฒนาอุดมศึกษา ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัด อว.ออกโรงแจงว่าเป็นแค่แนวคิด ที่มีผู้เสนอเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อน และพัฒนาอุดมศึกษา ผลิตคนทักษะสูง และตอบโจทย์การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่ไม่ใช่ข้อสรุป เพราะปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาพัฒนาไปมาก จึงควรเน้นบทบาทของ อว.ในการพัฒนา และสนับสนุนมหาวิทยาลัย มากกว่าจะควบคุมแบบเดิม
อีกทั้งมหาวิทยาลัยจำนวนมากในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ และผู้บริหาร รวมถึงบุคลากร มีสถานะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย การกำกับดูแลจึงต้องเปลี่ยนไปจากเดิม
แต่สิ่งที่ปลัด อว.ยอมรับว่าต้อง “กำกับ” และ “ควบคุม” ในระบบอุดมศึกษาในเวลานี้ คือเรื่อง “ธรรมาภิบาล” เป็นหลัก
เพราะปัจจุบันมีปัญหาอยู่มาก และ “ลดทอน” ประสิทธิภาพการทำงานของมหาวิทยาลัย
ฉะนั้น หากปลัด อว.ยอมรับว่าปัญหาใหญ่ของสถาบันอุดมศึกษาในเวลานี้ คือปัญหาธรรมาภิบาล ซึ่งจำเป็นต้องกำกับและควบคุม แต่ทำไมบทบาทของ อว.ในส่วนนี้ค่อนข้างนิ่ง เสมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ทั้งๆ ที่เป็นตัวฉุดรั้งให้สถาบันอุดมศึกษาไม่พัฒนา
เพราะหากดูปัญหาธรรมาภิบาลในเวลานี้ และช่วงที่ผ่านมา ซึ่ง ดร.สิริวิท อิสโร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา ได้รวบรวมสภาพปัญหา อุปสรรคเกี่ยวกับธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา และข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา
อาทิ “สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์” หรือนิด้า มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนในการสรรหาอธิการบดี และรองอธิการบดี โดยกรรมการสรรหาฯ บางคนมีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้ที่ได้รับการสรรหา
“มหาวิทยาลัยนเรศวร” (มน.) ได้เกิดปัญหาธรรมาภิบาลในการสรรหาอธิการบดีเช่นกัน โดยเกิดจากความไม่โปร่งใส และความล่าช้าในกระบวนการสรรหา มีข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และการแทรกแซงจากภายนอก จนต้องแก้ไขข้อบังคับ และให้ศาลปกครองเข้ามาตัดสิน
“มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช” (มสธ.) สภา มสธ.ระงับการเสนอชื่ออธิการบดีที่ผ่านการสรรหามา 7 ปี โดยอ้างรอคดีถอดถอนอธิการบดีคนเก่า แม้ศาลปกครองสูงสุดตัดสินว่ากระบวนการถูกต้อง
“มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์” (มก.) เกิดความขัดแย้งเมื่อสภามหาวิทยาลัยเสนอชื่ออธิการบดีที่ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องวินัย แม้ สกอ.ท้วงติง แต่สภายังยืนยันเดินหน้า จนสุดท้ายต้องยกเลิกกระบวนการ
“มหาวิทยาลัยบูรพา” (มบ.) การสรรหาอธิการบดีเกิดความขัดแย้ง เมื่อสภามหาวิทยาลัยเสนอชื่อบุคคลที่มีประเด็นด้านคุณสมบัติ แม้มีคำท้วงติงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยังคงเดินหน้ากระบวนการ จนเกิดการถกเถียงรุนแรง ส่งผลให้นายกสภามหาวิทยาลัยลาออก และต้องยกเลิกกระบวนการสรรหาในที่สุด
หรือ “มหาวิทยาลัยเชียงใหม่” (มช.) แม้มีกระบวนการสรรหาผ่านคณะกรรมการ แต่การหยั่งเสียงจากบุคลากรถูกตั้งคำถามว่ามีอิทธิพลจากกลุ่มอำนาจเดิม เป็นต้น
ถึงเวลาที่นางศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการ อว. ต้องหยิบยกประเด็นปัญหาธรรมาภิบาล และการแตกแยกในสถาบันอุดมศึกษา ขึ้นมาหารือเป็นประเด็น “เร่งด่วน” และหาหนทาง “แก้ไข” อย่างจริงจัง
เพราะจะเห็นว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในมหาวิทยาลัยเล็กๆ หรือเพิ่งจัดตั้งได้ไม่นาน แต่ “ลาม” เข้าไปถึงมหาวิทยาลัยเก่าแก่และมีชื่อเสียงแล้ว
หาก “ผู้บริหาร อว.” ยังลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ปล่อยให้ปัญหาลุกลามบานปลาย
สุดท้ายจะไม่เหลือที่พึ่งให้สังคม!! •
| การศึกษา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022