

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon
อนาคตรัฐบาลในศึกกัมพูชา
คุณแพทองธาร ชินวัตร แสดงออกว่าเป็นคนเฟียสมานาน และกองเชียร์รัฐบาลก็สรรเสริญความเฟียสของคุณแพทองธารมานานว่าเป็นพฤติกรรมที่เหมาะสม ผู้สนับสนุนรัฐบาลจึงชมคุณแพทองธารเสมอว่าฟาดมาก แซ่บมาก สุดปัง ฯลฯ ทุกครั้งที่คุณแพทองธารตอบโต้นักข่าวหรือคนวิจารณ์รัฐบาล
ด้วยวิธีเฟียสล่าสุดที่คุณแพทองธารวิวาทะนักข่าวกลางทำเนียบรัฐบาล คุณแพทองธารได้พาตัวเองเข้าสู่พรมแดนที่นักการเมืองหลายคนทำมาก่อน ตัวอย่างเช่นคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเขวี้ยงเปลือกกล้วยใส่นักข่าว คุณประวิตร วงษ์สุวรรณ หยุมหัวนักข่าว หรือแม้แต่คุณสมัคร สุนทรเวช ตะโกนว่ากองทัพสื่อมวลชน
ต่อให้ไม่ใช่นายกฯ ก็รู้ว่าการเกรียนต่อหน้ากล้องนับสิบแบบนี้อาจทำลายภาพลักษณ์ตัวเอง เมื่อใดที่นักการเมืองระเบิดอารมณ์แบบนี้ เมื่อนั้นนักการเมืองกำลังเผชิญปัญหาที่ตัวเองตอบไม่ได้ และหาทางออกจากมุมอับโดยทำเรื่องที่ไม่มีใครยอมรับได้เลย
ถ้าอดีตให้บทเรียนอะไรบ้างกับปัจจุบัน อดีตบอกว่านักการเมืองแบบนี้คือนักการเมืองที่นับถอยหลังสู่จุดจบทางการเมือง เพียงแต่นักการเมืองคนอื่นมักเกรียนแบบนี้ตอนอายุเข้า 60 ปีเศษๆ
ส่วนคุณแพทองธารเป็นนายกเจน Y คนแรกที่เกรียนแบบไม่น่าเกรียน
หลังจากทหารเขมรปะทะทหารไทยไปแล้ว 7 วัน ในที่สุดรัฐบาลแพทองธารก็ออกแถลงการณ์ฉบับแรกว่าสถานการณ์โดยทั่วไปสงบ ขอให้ประชาชนมั่นใจ รัฐบาลไทยพร้อมเจรจากับรัฐบาลกัมพูชา จะปกป้องอำนาจอธิปไตยเต็มที่ ถึงแม้ตัวคุณแพทองธารจะยังหลบไม่พูดเรื่องนี้ต่อเป็นวันที่ 8 ก็ตาม
ถึงแม้การแถลงหลังกัมพูชาบุกไทย 7 วันจะดีกว่าการไม่แถลงอะไรเลย แต่คำแถลงนี้กลับมีเนื้อหาที่เบาและอ่อนจนเหลือเชื่อ พูดแต่เรื่องที่ไม่พูดก็ได้ แถลงหรือไม่ก็ไม่แตกต่าง เพราะไม่มีแม้แต่คำพูดเดียวที่จะประณามกัมพูชาซึ่งแถลงการณ์พูดอย่างอ้อมๆ ว่าบุกมายิงทหารไทยในเขตไทย
ตรงข้ามกับรัฐบาลกัมพูชาที่ประกาศยื่นเรื่องนี้ไปศาลโลก ส่วนสมเด็จฮุน เซน เล่นใหญ่ระดับผลักดันเรื่องนี้ด้วยตัวเองในวุฒิสภา แถลงการณ์ของรัฐบาลไทยแบบนี้หน่อมแน้มจนน่าหงุดหงิดพอๆ กับผู้นำรัฐบาลที่หายตัวไม่พูดอะไร เช่นเดียวกับคุณทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายเพื่อไทยที่ไม่พูดเรื่องนี้สักคำ
เข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมรัฐบาลไม่อยากให้พูดถึงปัญหาเขมรบุกไทย เพราะลำพังวิกฤตทางการเมืองและเศรษฐกิจตอนนี้ ความไม่พอใจจากประชาชนทุกกลุ่มมากจนรัฐบาลนับถอยหลังแล้ว การมีเรื่องที่คนกังวลที่สุดอย่าง “เสียดินแดน” ทำให้รัฐบาลต้องกลบเกลื่อนเรื่องนี้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
แน่นอน คำว่า “กลบเกลื่อน” เป็นการเปรียบเทียบมากกว่าจะมีความหมายตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด คนไทยจึงพูดถึงความกังวลเรื่อง “เสียดินแดน” สนั่นหวั่นไหวไปหมด ต่อให้รัฐบาลจะยืนยันว่าเรื่องนี้ไทยจะยังไม่มีการเสียดินแดนก็ตาม คนไทยก็ยังกังวลกับเรื่อง “เสียดินแดน” อยู่ดี
ไทยเสียดินแดนจริงหรือไม่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงระดับพื้นที่ซึ่งต้องคุยกัน แต่ด้วยเหตุที่พื้นที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่ทับซ้อนซึ่งยังไม่ได้ปักปันเขตแดนชัดเจน ตัวพื้นที่จึงเป็น “พื้นที่พิพาท” ที่ยังไม่จบ ใคร “เสีย” หรือใคร “ได้” ดินแดนจึงซับซ้อน
จนหาข้อสรุปให้ทุกฝ่ายยอมรับตรงกันยากเหลือเกิน
กองเชียร์รัฐบาลโจมตีว่าคนไทยที่กังวลเรื่อง “เสียดินแดน” เป็นพวก “คลั่งชาติ” และกล่าวหาถึงขั้นคนเหล่านี้ “กระหายสงคราม” ทั้งที่ปัญหาดินแดนประเทศไหนก็มีโอกาสทำให้คนในประเทศกลัวเสียดินแดนทั้งนั้น เพราะหัวใจของความเป็นชาติสมัยใหม่คือดินแดนและอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน
ในโลกสมัยใหม่ที่รัฐชาติเป็นชุมชนการเมืองเดียวที่สำคัญที่สุด “ดินแดน” และ “การเสียดินแดน” เป็นเรื่องใหญ่ในทุกประเทศเสมอ จินตนกรรมเรื่องชาติแทบทุกสังคมมีแกนกลางที่ความคิดเรื่องดินแดน ส่วนศาสนา, สีผิว, เชื้อชาติ, ประวัติศาสตร์ ฯลฯ เป็นองค์ประกอบที่เชื่อมโยงชาติกำเนิดขึ้นมา
ต่อให้กองเชียร์รัฐบาลในคราบสื่อและไอโอจะโจมตีคนที่กังวลเรื่อง “เสียดินแดน” ว่า “คลั่งชาติ” อย่างไร คุณแพทองธารและรัฐบาลก็ไม่กล้าโจมตีคนที่คิดแบบนี้ด้วย
เพราะทำแบบนั้นเสี่ยงจะถูกกล่าวหาว่า “ขายชาติ” ซึ่งยิ่งทำให้รัฐบาลและนายกฯ ที่คะแนนนิยมต่ำอยู่แล้วต่ำจนไม่รู้จุดต่ำสุดเลย
อินโดจีนคือภูมิภาคที่ทุกประเทศมีปมเรื่องชาตินิยม เพราะไม่ว่าจะเป็นพม่า, กัมพูชา, เวียดนาม และลาวล้วนผ่านช่วงเวลาที่เป็นเมืองขึ้นตะวันตกทั้งสิ้น ส่วนไทยแม้ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นต่างชาติ แต่ก็ถูกอังกฤษและฝรั่งเศสแย่งดินแดน แทรกแซงราชสำนัก รวมทั้งเรือรบฝรั่งบุกกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
พูดง่ายๆ ทุกประเทศไหนในภูมิภาคนี้ล้วนมีความคิดเรื่องชาตินิยมซึ่งมีสิทธิลุกลามเป็น “คลั่งชาติ” ยิ่งพรมแดนระหว่างประเทศแถบนี้มีพื้นที่ทับซ้อนเยอะ ชนวนการพิพาทก็ยิ่งมีเยอะตามไปหมด ไทยกับเพื่อนบ้านจึงมีเรื่องกันถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็นพม่า, กัมพูชา, ลาว หรือมาเลเซีย
“ดินแดน” เป็นแกนกลางของความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ และด้วยเหตุนี้ “คลั่งชาติ” จึงเป็นอาการที่มีโอกาสเกิดในทุกสังคม ยิ่งภูมิภาคนี้ยิ่งมีโอกาสเกิดง่าย รัฐบาลจะด่าประชาชนว่า “คลั่งชาติ” ก็ไม่ได้แต่ต้องพัฒนาภูมิคุ้มกันไม่ให้ความขัดแย้งด้านดินแดนลุกลามเป็น “คลั่งชาติ” จนเฟ้อด้วยเหมือนกัน
ความไม่พอใจของรัฐบาลเรื่องกัมพูชามีต้นเหตุจากความล่าช้าของคุณแพทองธารที่ไม่ทำอะไรเรื่องนี้เลย ปฏิกิริยาโดยรวมๆ ซึ่งคนของรัฐบาลกล่าวหาว่า “คลั่งชาติ” คือแรงต้านต่อความรู้สึกว่ารัฐบาลทำอะไรเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งที่ไทยไม่ผิด และกรณีนี้กัมพูชาเป็นฝ่ายคุกคามไทยก่อนอย่างชัดเจน
ถ้ารัฐบาลปกป้องประเทศเรื่องนี้ไม่ได้ แล้วเราจะมีรัฐบาลไว้ทำไม
เมื่อเทียบกับกรณีปราสาทพระวิหารที่มักถูกยกเป็นตัวอย่างว่าไทยเกิดกระแส “คลั่งชาติ” จนเปิดทางให้กัมพูชานำคดีเข้าสู่ศาลโลก ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชารอบนี้เกิดในเวลาที่ไทยอยู่ในที่ตั้ง กัมพูชาบุกเข้าพื้นที่ทับซ้อน ขุดสนามเพลาะ และระดมทหารเข้าพื้นที่โดยที่ไทยไม่ได้ทำอะไรเลย
คนไทย “คลั่งชาติ” ตามที่กองเชียร์รัฐบาลกล่าวหาหรือไม่คงต้องเถียงกันยาว แต่ที่แน่ๆ กัมพูชากรณีนี้ “คลั่งชาติ” จนทำตัวเป็นเจ้าของพื้นที่ต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่คนเขมรร้องเพลงชาติในเขตไทย ทหารรุกล้ำจนเกิดการปะทะ ฝังทุ่นระเบิดตามชายแดน และความพยายามเอาเรื่องนี้ไปศาลโลกในปัจจุบัน
แน่นอนความขัดแย้งระหว่างประเทศควรจบด้วยเจรจา ไม่ใช่สงคราม
แต่ไม่มีประเทศไหนในโลกที่รัฐไม่ทำอะไรทั้งเจรจาและตอบโต้ด้วยวิธีอื่นนาน 7 วันอย่างที่รัฐบาลแพทองธารในกรณีนี้ เพราะนั่นเท่ากับรัฐบาลยอมรับว่ารัฐชาติอื่นมีอำนาจเหนืออธิปไตยในดินแดนไทยโดยปริยาย
ขั้นต่ำที่สุดที่คุณแพทองธารควรพูดคือกัมพูชาต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ไทยทันที หรือหากคุณแพทองธารเกรงใจว่าฮุน เซน จะโกรธเกินไป คุณแพทองธารแถลงว่าให้กองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายกลับไปประจำอยู่ในฐานที่มั่นของตัวเองก่อนมีการปะทะก็ได้ แต่คุณแพทองธารก็ไม่พูดอะไรแบบนี้เลย
ความอ่อนแอของคุณแพทองธารแบบนี้เป็นอันตรายกับประเทศไทย เพราะสถานการณ์ชายแดนไทยวันนี้คือไทยถูกรุกรานจริง เขมรมีการขนกำลังทหารเข้าพื้นที่ วางทุ่นระเบิดโจมตีทหารไทย ฯลฯ
นายกฯ ที่อ่อนแอจึงเป็นการส่งสัญญาณให้ผู้รุกรานประเมินว่าผู้นำไทยไม่ปกป้องประเทศเลย
กองเชียร์รัฐบาลอ้างว่าการตอบโต้กัมพูชาคือการ “คลั่งชาติ” ซึ่งเป็นชนวนสงคราม แต่การตอบโต้เป็นคนละเรื่องกับการเข้าตี และรัฐบาลที่ไหนในโลกก็ตอบโต้การรุกรานด้วยมาตรการการทูตหรือแสดงแสนยานุภาพทางทหารเพื่อกดดันผู้รุกรานได้ทั้งสิ้น ไม่ใช่ผ่านไป 7 วันค่อยออกแถลงการณ์
สิ่งที่คนทั่วประเทศสงสัยคืออะไรทำให้คุณแพทองธารไม่ทำอะไรในเรื่องที่คนทั้งประเทศรู้ว่าควรทำอะไร พรรคประชาชนที่เป็นฝ่ายค้านยังพูดอะไรเรื่องนี้มากกว่ารัฐบาลทั้งหมด และภายใต้ความสงสัยคือความระแวงว่าคุณแพทองธารไม่ทำอะไรเพราะเกรงใจเพื่อนของพ่อคุณแพทองธารเอง
ความนิ่งของคุณแพทองธารทำให้กลุ่มขวาจัดแก่ๆ ปั่นกระแสเอาทหารกลับมาบริหารประเทศ หรือยุให้ทหารทำสงคราม และไอโอกองทัพก็ทำคลิปวนๆ ด้วยเพลงประเภทโปรดจงรู้ว่าที่ฉันทำลงไปฉันทำเพื่อใคร คนรุ่นใหม่ที่ไม่ทันเห็นผลของสงครามจึงเชียร์สงครามตามคนแก่ไปด้วยโดยปริยาย
คุณแพทองธารแก้เศรษฐกิจไม่ได้และเรื่องต่างประเทศก็ไม่ได้ความ ความเฟียสแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ตอกย้ำให้คนเห็นว่านายกฯ จนตรอกมากขึ้น ศึกกัมพูชาทำให้คะแนนนิยมคุณทักษิณและคุณแพทองธารตกลงอย่างมาก และทั้งหมดนี้จะมีผลต่อเรื่องใหญ่อย่างคดีคุณทักษิณในวันที่ 13 มิถุนายนแน่นอน
พันธมิตรกับฮุน เซนกำลังทำลายคุณทักษิณและคุณแพทองธารอย่างที่ไม่เคยมีรัฐประหารครั้งไหนทำได้เลย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022