

Multiverse บัญชา ธนบุญสมบัติ
www.facebook.com/buncha2509
ปฐมคัมภีร์การแพทย์แดนมังกร (2)
ในบทความตอนแรก ผมเล่าไว้ว่าตำราแพทย์เล่มแรกของอารยธรรมจีนก็คือ หวงตี้เน่ยจิง เรียกย่อๆ ว่า เน่ยจิง และเล่าภาพรวมไว้แล้ว คราวนี้มาดูรายละเอียดที่น่าสนใจกันครับ
หนังสือหวงตี้เน่ยจริงนำเสนอเนื้อหาความรู้ในลักษณะการถาม-ตอบระหว่างหวงตี้ (คนถาม) และอำมาตย์ฉีเปาะ (คนตอบ) ตัวอย่างเช่น ในบทที่ 17 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจับชีพจร (แมะ) อันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของการแพทย์จีน
หวงตี้ถามว่า : “การตรวจจับชีพจรทำอย่างไร?”
ฉีเปาะตอบว่า : “กฎการวินิจฉัยเป็นดังนี้ จักต้องทำในตอนเช้าตรู่ ก่อนที่หยินชี่จะเริ่มเคลื่อนไหว ก่อนที่หยางชี่จะกระจัดกระจายออกไป ทำก่อนที่จะดื่มกินเครื่องดื่มและอาหาร ในขณะที่ช่องทางเดินของชี่และเลือดยังไม่มีอะไรไหลผ่านมากจนเกินไป โครงข่ายของช่องทางเดินเหล่านี้ยังประสานกลมกลืนและมั่นคง ส่วนชี่และเลือดนั้นยังไม่ไร้ระเบียบ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ชีพจรที่ผิดปกติจะถูกตรวจจับได้”
ทำไมถึงใช้การถาม-ตอบ?

เรื่องนี้อธิบายว่า การถามตอบทำให้ประเด็นที่กล่าวถึงคมชัด ทั้งยังสามารถใช้ร้อยเรียงประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกันมากนักเอามาไว้ด้วยกัน
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ทำไมต้องใช้หวงตี้เป็นพรีเซ็นเตอร์?
ก็อย่างที่เล่าไว้ในตอนแรกว่า วัฒนธรรมจีนโบราณถือว่าหวงตี้เป็นกษัตริย์ในตำนานและเป็นวีรบุรุษทางวัฒนธรรม แถมยังถือกันว่าพระองค์เป็นบรรพบุรุษของชาวจีนทั้งปวง
การใช้หวงตี้เป็นพรีเซ็นเตอร์จึงทำให้หนังสือหวงตี้เน่ยจิงมีความขลัง ทำให้คนจีนเกิดศรัทธาเลื่อมใส
การทำเช่นนี้ยังเป็นการรำลึกถึงผู้ให้กำเนิดการแพทย์จีนอีกด้วย เนื่องจากยกย่องกันว่าหวงตี้ทรงเป็นผู้ริเริ่มการใช้สมุนไพรเพื่อรักษาโรคเป็นคนแรก
แล้วสาระหลักๆ ของหนังสือหวงตี้เน่ยจิง (ตัวเต็ม 黃帝內經; ตัวย่อ 黄帝内经) มีอะไรบ้าง?
ประเด็นนี้สำคัญเพราะว่าเน่ยจิงวางรากฐานและปรัชญาการแพทย์จีนไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในตำราหลัก 4 เล่มของแพทย์แผนจีน ส่วนตำราหลักอีก 3 เล่ม ได้แก่ หนานจิง ซางหางลุ่น และเสินหนงเปิ๋นเฉ่าจิง
หนานจิง (ตัวเต็ม 難經; ตัวย่อ 难经) เป็นตำราที่อธิบายและเสริมเนื้อหาจากเน่ยจิง โดยเน้นไปที่ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับจุดฝังเข็ม พลังงานชี่ และการวินิจฉัยโรค
ซางหานลุ่น (ตัวเต็ม 傷寒論; ตัวย่อ 伤寒论) เป็นตำราว่าด้วยโรคจากความเย็น (เช่น ไข้หวัด) และการรักษาโดยใช้สมุนไพรและหลักการที่ซับซ้อน เป็นหนึ่งในตำราสำคัญของวิชาอายุรเวชจีน
เสินหนงเปิ่นเฉ่าจิง (ตัวเต็ม 神農本草經; ตัวย่อ 神农本草经) เป็นตำราเภสัชวิทยาโบราณที่รวบรวมและจัดหมวดหมู่สมุนไพรจีน รวมถึงสรรพคุณและการนำไปใช้
ในหนังสือแนะนำการแพทย์จีน ท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์ หลี่กั๊วะโต้ง ซึ่งเป็นผู้เขียนได้ระบุไว้ว่า
“หวงตี้เน่ยจิงเขียนไว้ว่า มนุษย์และฟ้าดินร่วมปรึกษา อาทิตย์กับดวงจันทร์ร่วมส่งเสริม”
คุณหมอหลี่ไขข้อความน่าสนเท่ห์นี้ไว้ว่า การแพทย์จีนมีหลักการวินิจฉัยและการรักษาที่แตกต่างจากการแพทย์ตะวันตก ทั้งในแนวคิดและการจัดการ เพราะการแพทย์จีนยึดหลักที่ว่า “ฟ้าและมนุษย์รวมกันเป็นหนึ่ง จิตและร่างเป็นอันเดียวกัน”
คำว่า ฟ้า ในที่นี้หมายถึง จักรวาล ดวงดาว ภูมิประเทศ และสภาพอากาศ นั่นคือ ข้อความดังกล่าวหมายถึงว่า ร่างกายมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติตามกฎเกณฑ์ที่แน่นอน หากวิถีการดำเนินชีวิตเป็นไปตามกฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้ ร่างกายก็จะแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หาไม่แล้ว ร่างกายก็จะเกิดโรค
นี่คือ หลักคิดพื้นฐานของเน่ยจิง

ที่มา : https://www.yxwhxy.cn/tcm/43/565.html
ความเชื่อแต่เดิมที่ว่า โรคภัยต่างๆ เกิดจากการดลบันดาลของเทพเจ้าถูกแทนที่ด้วยทฤษฎีหลักๆ ได้แก่ ทฤษฎีหยิน-หยาง ทฤษฎีเบญจธาตุ ทฤษฎีอวัยวะภายใน รวมทั้งแนวคิดที่เกี่ยวเนื่องกับการฝังเข็ม เช่น จุดฝังเข็ม ชี่ และจิ่งลั่ว เป็นต้น
หยิน-หยาง (ตัวเต็ม 陰陽;ตัวย่อ 阴阳) เป็นแนวคิดสำคัญของจีนซึ่งมีรายละเอียดสนุกๆ มากมาย โดยในส่วนที่เกี่ยวกับการแพทย์เราอาจจะได้ยินว่า อาการป่วยหนึ่งๆ เป็นหยินหรือหยาง เช่น หากเป็นหยิน ชีพจรจะเต้นเบา แต่หากเป็นหยาง ชีพจรจะเต้นแรง หากเป็นโรคร้อนก็ใช้ยาเย็น หรือหากร่างกายพร่องก็ใช้วิธีบำรุง
ส่วนแนวคิดเรื่อง เบญจธาตุ หรือ อู่สิง (??) ได้แก่ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ และโลหะ (ตรงโลหะนี่ บางตำราเรียกว่า ทอง เพราะภาษาจีนโบราณใช้คำว่า จิน ซึ่งแปลว่า โลหะหรือทองก็ได้ในบริบทของเบญจธาตุ) ก็มีการประยุกต์ในการรักษาด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ตับ (ธาตุไม้) ถือเป็นมารดาของหัวใจ (ธาตุไฟ) ส่วนหัวใจเป็นมารดาของม้าม (ธาตุดิน) ดังนั้น หากเป็นโรคหัวใจ ก็ต้องรักษาอวัยวะที่เป็นมารดาของหัวใจ (คือตับ) และลูกของหัวใจ (คือม้าม) ด้วย ไม่ได้รักษาเฉพาะที่หัวใจเพียงอย่างเดียว
สำหรับอวัยวะภายใน ได้แก่ หัวใจ ปอด ม้าม ตับ และไต เน่ยจิงก็เรียกชื่อโรคตามกลุ่มอาการโดยแบ่งตามอวัยวะภายในทั้ง 5 ที่ว่านี้
อย่างไรก็ดี มีจุดสำคัญที่ต้องรู้ไว้ก็คือ เมื่อการแพทย์จีนพูดถึงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง เช่น ไต ก็จะหมายรวมไปถึงร่างกายทั้งหมด ไม่ได้เฉพาะแค่ตัวอวัยวะไต 2 ชิ้นในร่างกายเท่านั้น
เน่ยจิงระบุชัดว่าแพทย์สามารถใช้มือสัมผัส ตาดู หูฟัง ในการวินิจฉัยโรค อีกทั้งยังกล่าวถึงชีพจรในลักษณะต่างๆ และการระบุโรคจากชีพจร (การจับแมะ) อีกด้วย
การแพทย์จีนโบราณเน้นย้ำว่าการป้องกันโรคสำคัญยิ่งนัก เพราะเน่ยจิงสอนว่าในยามปกติขณะที่ยังไม่เกิดโรค ให้ระมัดระวังการปฏิบัติตัวให้ดี เมื่อเกิดโรคแล้วจึงรักษาก็เปรียบเสมือนเมื่อกระหายน้ำแล้วจึงไปขุดบ่อ หรือเมื่อเกิดสงครามแล้วจึงค่อยสร้างอาวุธ ฟังดีๆ จะเห็นว่าทันสมัยไม่แพ้ปัจจุบันเลย
พูดแบบปรัชญาได้ว่า “นักปราชญ์รักษาโรคที่ยังไม่เกิด ไม่รักษาโรคที่ผ่านไป แก้ไขความวุ่นวายที่ยังไม่เกิด ไม่แก้ไขความวุ่นวายที่หมดไป”
ส่วนวิธีการป้องกันโรค เน่ยจิงก็ยึดหลักการปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ โดยการกิน การนอน การทำงาน ควรปฏิบัติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
อย่างไรก็ดี หากเกิดโรคแล้วก็ต้องรีบรักษาซึ่งจะทำให้มีโอกาสหายเร็ว แต่จุดสำคัญก็คือ การแพทย์จีนเชื่อว่า ร่างกายคนเรามีสมรรถนะในการหายจากโรคโดยธรรมชาติอยู่แล้ว อย่างเรื่องการฝังเข็มที่เป็นเอกลักษณ์ของการแพทย์จีนนั้น ก็เป็นเพียงการกระตุ้นคุณสมบัติการรักษาตัวเองนี้ให้มีกำลังมากขึ้นเท่านั้นเอง
เรื่องการฝังเข็มนี้กล่าวถึงในภาค 2 ของเน่ยจิง หรือที่เรียกว่า หวงตี้เน่ยจิงหลิงซู ซึ่งระบุรายละเอียดเกี่ยวกับจุดฝังเข็ม วิธีจับเข็ม เทคนิคการฝังเข็ม ระยะเวลาที่ใช้ ข้อห้าม รวมทั้งโรคกับตำแหน่งที่ฝังเข็ม เป็นต้น
เกี่ยวกับจุดฝังเข็มนี้ คุณหมอหลี่กั๊วะโต้งอธิบายว่า “จุดฝังเข็มนั้น โดยหลักการแล้วมันคือพื้นที่ ไม่ใช่จุดใดจุดหนึ่งตายตัว เพราะการฝังเข็มในแต่ละครั้งจะแทงไปที่จุดเดิมทุกครั้งเป็นไปไม่ได้ เมื่อฝังเข็มลงไปก็จะไปกระทบจิ่งลั่ว ซึ่งเปรียบเสมือนรากของต้นไม้ เมื่อแทงเข็มไปตรงนั้น ก็จะมีผลไปถึงลำต้นคือร่างกายอย่างทั่วถึง…”
‘จิ่งลั่ว’ (เส้นลมปราณ) เป็นช่องทางให้ ‘ชี่’ (ลมปราณ หรือพลังชีวิต) ไหลผ่าน แนวคิดนี้เป็นอัตลักษณ์จำเพาะของระบบคิดแบบการแพทย์จีนดั้งเดิม
สุดท้าย ขอฝากปรัชญาจีนไว้ให้เล็กน้อยว่า
“แพทย์เมื่อรักษาคน ต้องมีจิตสงบ ไร้อยาก ไม่เรียกร้อง อย่าห่วงหน้าพะวงหลัง ให้คำนึงถึงโรคภัยไข้เจ็บและความปลอดภัย ปกป้องและหวงแหนชีวิต”