

ยุทธการ แดงเดือด
เมษา พฤษภา 2553
สมรภูมิ ‘ร้อน’ ลาดหลุมแก้ว
คืนสุกดิบ ก่อนปะทะ ‘ใหญ่’
กรณีการเคลื่อนไหว ลาดหลุมแก้ว หากมองผ่าน “ภาพชีวิตและการต่อสู้ของคนเสื้อแดง” อันประมวลภาพและการบรรยายโดยทีมงาน “ฟ้าเดียวกัน” คณะบรรณาธิการประกอบด้วย อุเชนทร์ เชียงแสน ชัยธวัช ตุลาธน
ก็จะสัมผัสได้ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2553
เป็นภาพคนเสื้อแดงนอนเฝ้าสถานีควบคุมดาวเทียมไทยคม ถนนรัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี ตลอดทั้งคืน
ป้องกันไม่ให้รัฐบาลปิดสัญญาณการถ่ายทอดสดสถานีประชาชน People Channel
จากนั้นเป็นภาพวันที่ 9 เมษายน 2553
แกนนำ นปช.นำกำลังไปปิดล้อมสถานีบริการภาคพื้นดินไทยคม อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ที่ถูกทหารเข้าควบคุมสถานีและตัดสัญญาณถ่ายทอดสดสถานีประชาชน
จนเกิดการปะทะกันเป็นครั้งแรก โดยทหารยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้ชุมนุมพยายามตอบโต้ด้วยก้อนดินและท่อนไม้
จากนั้นเป็นภาพส่วนหนึ่งของอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่ผู้ชุมนุมยึดมาจากทหาร ถูกนำมาแสดงให้ช่างภาพ ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศ ถ่ายภาพบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นภาพขบวนจักรยานยนต์ของคนเสื้อแดงวิ่งบนคันนาเป็นแถวยาวเหยียดเพื่อเร่งเดินทางกลับที่ชุมนุมก่อนฟ้าจะมืดลง
หลังจากสามารถกดดันทหารให้ออกจากสถานีบริการภาคพื้นดินไทยคมและเชื่อมต่อสัญญาณได้สำเร็จแล้ว เกษม เพ็ญภินันท์ ประมวลเหตุการณ์วันที่ 9 เมษายน 2553 อย่างไร
เย็นวันที่ 7 เมษายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตัดสินใจเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีที่กองบัญชาการ ศอ.รส. และที่ประชุมได้มีมติให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง
อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอ.รส.ถูกยกระดับเป็น ศอฉ.
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า หลังการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลจะดำเนินการเคลียร์พื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์
ปิด People Channel จับกุมแกนนำ นปช.และเพิ่มมาตรการเข้มข้นป้องกันการก่อวินาศกรรม
วันถัดมา (8 เมษายน) มีการออกหมายจับแกนนำ นปช.ที่นำมวลชนไปบุกรัฐสภา 7 คน และต่อมาก็ออกหมายจับแกนนำ นปช.เพิ่มอีก 17 คน นอกจากนี้ ศอฉ.ยังสามารถตัดสัญญาณของ People Channel ได้สำเร็จ
และส่งทหารเข้าควบคุมทั้งสถานีบริการภาคพื้นดินไทยคม ที่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี
เช้าวันที่ 9 เมษายน นปช.เคลื่อนขบวนใหญ่เพื่อไปปิดล้อมสถานีบริการภาคพื้นดินไทยคมที่ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี รวมทั้งสถานีควบคุมดาวเทียมไทยคมบนถนนรัตนาธิเบศร์ อ.เมือง จ.นนทบุรี
ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ.ออกมาแถลงในเวลาเที่ยงที่ ร.11 รอ. ห้ามผู้ชุมนุมเข้าไปในสถานีไทยคมที่ลาดหลุมแก้ว
โดยประกาศว่า เพื่อเป็นการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์ด้วยมาตรการจาก “เบาไปหาหนัก” ตามกฎการใช้กำลัง 7 ข้อ เริ่มจากการชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มผู้ชุมนุมว่ากำลังทำผิดกฎหมาย
การแสดงกำลังให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่มีความพร้อม การผลักดันด้วยโล่ การใช้น้ำฉีด การใช้เครื่องขยายเสียงกำลังส่งสูง การใช้แก๊สน้ำตาชนิดขว้าง การใช้กระบองและการใช้กระสุนยางที่ยิงจากปืนลูกซอง ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายของวันที่ 9 เมษายน ที่สถานีไทยคม อ.ลาดหลุมแก้ว คนเสื้อแดงราว 10,000 คน สามารถฝ่าการสกัดกั้นของทหารที่ควบคุมสถานีอยู่จนผลักดันให้ทหารออกจากสถานีได้สำเร็จ
ผู้ชุมนุมยังนำอาวุธที่ยึดจากทหารได้มาแสดงให้สื่อมวลชนบันทึกภาพแล้วส่งมอบให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้รับไว้
ต่อมา ในตอนเย็นวันเดียวกันทางฝ่าย นปช.ได้สลายการชุมนุมที่ลาดหลุมแก้วก่อนที่กำลังหลักของกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ) จะเข้ามายึดสถานีไทยคมคืนในช่วงค่ำ
ด้านที่ชุมนุมบริเวณราชประสงค์บรรยากาศตึงเครียดตลอดทั้งคืนวันที่ 9 เมษายน เมื่อมีข่าวหนาหูว่า ศอฉ.จะเข้ามาสลายการชุมนุม
ขณะที่นายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกแถลงพิเศษผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงได้แสดงออกอีกครั้งถึงความเหิมเกริม กระทำผิดกฎหมายอย่างกว้างขวาง แต่ “ผมและผู้รับผิดชอบไม่มีสิทธิ์ท้อถอย
“จะเดินหน้าให้บ้านเมืองปกครองด้วยกฎหมายต่อไป และจะเดินหน้าแก้ไขสถานการณ์โดยเร็วที่สุด”
เกษม เพ็ญภินันท์ ได้อ้างถึงข้อเขียนของ วาสนา นาน่วม ในหนังสือ “ลับลวงเลือด” มาอ้างอิงอันเท่ากับเป็นบทสรุปของสถานการณ์ว่า
เหตุการณ์ที่ลาดหลุมแก้วในวันที่ 9 เมษายน 2553
กำลังทหารทั้งจากกองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1) จากเพชรบูรณ์ น่าน อุตรดิตถ์ กองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (พล.ปตอ.) จากกรุงเทพมหานคร กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) จากกาญจนบุรี และกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) ต้องยอมถอยให้ผู้ชุมนุมปลดอาวุธ
ทำให้ฝ่ายทหารเกิดความรู้สึกตามโควตที่ปรากฏในหนังสือของ วาสนา นาน่วม
“เสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรี ที่ทหารหลายพันคนต้องยอมวางโล่ กระบองและอาวุธทุกอย่างที่มี ยอมแพ้ต่อผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่เวลานั้นยังไม่ปรากฏว่ามีกองกำลังติดอาวุธ ถูกผู้ชุมนุมยึดอาวุธ สั่งการไล่ต้อนให้เดินแถวออกไปสู่ทุ่งนา”
ทั้งนี้ มีการวิเคราะห์กันว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2553 เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพจำต้องกู้ศักดิ์ศรีคืน
ในยุทธการ “ขอคืนพื้นที่” จนเลือดนองถนนราชดำเนินในวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ 10 เมษายน 2553
ภาพการต่อสู้ที่ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี จึงมีลักษณะประวัติศาสตร์ทางการเมืองหนึ่งซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างสูง
ไม่ว่ามองอย่างเปรียบเทียบกับเมื่อเดือนเมษายน 2552
ไม่ว่ามองอย่างเปรียบเทียบกับเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 นี่คือกระดานหกในการเคลื่อนไหว
ทั้งในด้านของ “คนเสื้อแดง” ทั้งในด้านของ “รัฐบาล” และ “กองทัพ”
จำเป็นต้องให้เวลาเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจอย่างเป็นพิเศษ โดยเฉพาะมุมจาก “นักสังเกตการณ์” ในทางการเมือง และในทางการทหาร
ทัศนะจากด้านของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ทัศนะจากด้านของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงไม่ควรมองข้าม
รวมถึงทัศนะจากทางด้านของนักวิชาการที่เกาะติดและติดตาม