

| การศึกษา
ค่อยๆ ผุดปัญหาให้เห็นชัดขึ้นทุกขณะ สำหรับวิกฤตอุดมศึกษาไทย ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำในเชิงคุณภาพ ผลกระทบจากอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งส่งผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาหรือทีแคส ปีการศึกษา 2568
โดยล่าสุด รศ.ดร.ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ อดีตคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวไว้น่าสนใจว่า วิกฤตมหาวิทยาลัยไทยปีนี้หนักหน่วงเกินคาด เนื่องจากประชากรในวัยเรียนลดลง และส่วนใหญ่มุ่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยใหญ่ เด่น ดัง ส่วนมหาวิทยาลัยอื่นๆ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเล็กๆ ไม่มีนักศึกษามาเรียนตามเป้าหมาย บางแห่งนักศึกษาน้อยจนน่าตกใจ ว่าจะต้องเตรียมปิดกิจการหรือควบรวมกิจการหรือไม่
ประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยมากเกินไปถึง 390 แห่ง ไม่สัมพันธ์กับจำนวนนักเรียนที่จะเข้าที่มีน้อยเกินไป รวมทั้งเปิดคณะวิชาและหลักสูตรที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการและเท่าทันสังคม เริ่มส่งผลให้เห็นปัญหา ทำให้มหาวิทยาลัยเริ่มปรับตัว หลายแห่งมุ่งเป้าไปจัดการศึกษารูปแบบอื่น เช่น สะสมหน่วยกิตหรือเป็นการศึกษาตลอดชีวิตเพื่อประชาชนกลุ่มอื่น หลายแห่งหันไปรับนักศึกษาจากต่างชาติโดยใช้การตลาดนำ สร้างแรงจูงใจ มีข้อเสนอ การบริการ ให้ความสะดวกที่น่าสนใจโดยเฉพาะนักศึกษาจากจีนซึ่งที่เรียนในจีนมีไม่เพียงพอ บางคนเข้ามาเรียนโดยมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง เช่น ต้องการเข้ามาพำนัก ย้ายที่อยู่ หางานทำ หรือทำธุรกิจอื่นในประเทศไทยในคราบนักศึกษา
ถ้าไม่คิดน้อยเกินไป นับว่าเป็นสิ่งที่จะมีผลกระทบตามมา ไม่เพียงแต่เฉพาะคุณภาพการศึกษา แต่จะยังมีผลต่อโครงสร้างประชากร อาชีพ เศรษฐกิจและสังคม อาชญากรรมที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งรัฐบาลต้องให้ความสำคัญและหันมาป้องกันและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง…
ดูได้จากประเทศอื่นๆ ที่มีประชากรมากกว่าไทย หรือใกล้เคียงกับเรา เขามีมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่แห่ง อาทิ เวียดนาม ประชากร 100.4 ล้าน มหาวิทยาลัย 48 แห่ง, ฟิลิปินส์ ประชากร 105 ล้าน มีมหาวิทยาลัย 302 แห่ง, เกาหลีใต้ ประชากร 51 ล้าน มีมหาวิทยาลัย 238 แห่ง, มาเลเชีย ประชากร 35 ล้านคน มีมหาวิทยาลัยของรัฐ 70 แห่ง, อังกฤษ มีประชากร 70 ล้านคน มีมหาวิทยาลัย 130 แห่ง ขณะที่ไทย ประชากร 71 ล้านคน มีมหาวิทยาลัย 390 แห่ง
ขณะที่นางมาลิณี จุโฑปะมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) บุรีรัมย์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ กล่าวว่า กลุ่ม มรภ.ถือว่ารับเด็กได้ตามเป้า โดยเน้นรับเด็กในพื้นที่เข้าเรียน ยอมรับว่าอาจมีบางมหาวิทยาลัยที่รับเด็กได้น้อยลง แต่ก็เป็นจำนวนที่ไม่มากนัก และไม่มีผลกระทบกับมหาวิทยาลัย
โดยคณะ/สาขาที่รับเด็กได้น้อยลงส่วนใหญ่จะเป็นในสาขาที่ไม่ได้รับความนิยมแล้ว เช่น สาธารณสุข เป็นต้น
ส่วนสาขาที่ได้รับความนิยมก็ยังรับเด็กได้ตามเป้า เช่น ครุศาสตร์
“ภาพรวม มรภ.ทุกแห่งมีการพัฒนาศักยภาพ สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ยังไม่มี มรภ.ใดที่น่าเป็นห่วง แต่ละแห่งจะมีการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ จับมือกับเครือข่ายเพื่อพัฒนาชุมชน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของ มรภ. อย่างไรก็ตามเรื่องการพัฒนาพื้นที่ เป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด การนำนวัตกรรม งานวิจัยต่างๆ มาพัฒนาชุมชนทำให้งานที่ออกมามีคุณค่าและสร้างเป็นมูลค่าเกิดเป็นรายได้ที่หล่อเลี้ยงชุมชน ถือเป็นการทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น สร้างโอกาสการเรียนรู้ให้กับนักเรียนทุกคน ทำให้ไม่ต้องเดินทางไปเรียนจังหวัดที่อยู่ห่างไกล”
“สิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายหลักของมรภ.ทั้ง 38 แห่งทั่วประเทศ” นางมาลิณีกล่าว
นายอดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) นครราชสีมา กล่าวว่า ขณะนี้มหาวิทยาลัยกลุ่มเล็ก อาทิ มรภ.ขนาดเล็ก และมหาวิทยาลัยเอกชนบางส่วน ที่เน้นเปิดสอนด้านสังคมศาสตร์ กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการรับเด็กผ่านระบบทีแคส ซึ่งที่ผ่านมา โดยเฉพาะทีแคสปี 2568 พบว่า มหาวิทยาลัยกลุ่ม ทปอ.หลายแห่งรับเด็กได้เต็มจำนวนตั้งแต่รอบ 1 พอร์ตฟอริโอ และรอบ 2 รอบโควต้า
“ที่ผ่านมาการรับเด็กเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมีแนวโน้มแย่งเด็กกันรุนแรงมาหลายปีแล้ว แต่ปีนี้ยิ่งรุนแรงหนักขึ้น ซึ่งในส่วนของมหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มประสบกับตัว อย่างที่ มรภ.นครราชสีมาเอง ก็ไม่ได้มองการรับเฉพาะนักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพียงกลุ่มเดียว โดยตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า Life long Learning ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเปิดหลักสูตรระยะสั้น หรือหลักสูตรอื่นๆ เพื่อรับคนในวัยทำงานเข้าเรียน ขณะเดียวกัน มรภ.คงต้องกลับไปทำหน้าที่อื่นตาม พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 ไม่ว่าจะเป็นการผลิตนวัตกรรมเพื่อช่วยพัฒนาพื้นที่ พัฒนุมชน คงจะไม่มองเรื่องการผลิตบัณฑิต โดยรับเด็กที่จบจาก ม.6 เพียงอย่างเดียว แต่ต้องขยายขอบเขตไปในกลุ่มคนที่มีอาชีพแล้วหรือกลุ่มคนวัยทำงาน ในลักษณะการอัพสกิล รีสกิล หรือลงไปในกลุ่มเด็กที่เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเปิดให้มีการสะสมหน่วยกิต ระบบเครดิตแบงก์ ตั้งแต่เรียนในระดับชั้น ม.ปลาย เพิ่มความหลากหลายในการจัดการศึกษาให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถรับเด็กได้เพิ่มขึ้น จะจัดการศึกษาเพื่อรับเด็ก ม.6 มาเป็นนักศึกษาประจำการเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพออีกต่อไป โดยสถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับทั่วโลก” นายอดิศรกล่าว
สำหรับมหาวิทยาลัยที่รับเด็กได้น้อยเข้าขั้นวิกฤต ส่วนใหญ่จะเป็น มรภ.เล็กๆ กลุ่มภาคตะวันออก แต่ยังไม่ถึงขั้นปิดตัว เพราะ มรภ.ถือเป็นส่วนราชการ ดังนั้น จึงต้องปรับตัว อาทิ ทำวิจัย ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตมากขึ้น โดยที่ผ่านมาเคยมีการพูดถึงแนวทางแก้ปัญหา โดยการควบรวมมหาวิทยาลัย แต่ก็ถือว่าเป็นไปได้ยากและไม่ใช่เรื่องง่ายในทางบริหาร
เป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนวิกฤตอุดมศึกษาไทย ที่รอวันปะทุ ถือเป็นโจทย์หินที่รอให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เร่งหาทางออก…