

เปลี่ยนผ่าน | ทีมข่าวการเมือง มติชนทีวี
กรณี ‘ชั้น 14’
ในทรรศนะ ‘วรเจตน์’
นี่ไม่ใช่ยุค ‘เปาบุ้นจิ้น’
หมายเหตุ “ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์” คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับ “ใบตองแห้ง-อธึกกิต แสวงสุข” ในรายการ “ประชาธิปไตยสองสี” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี โดยมีเนื้อหาน่าสนใจบางส่วน ดังนี้
ใบตองแห้ง : คดีชั้น 14 มันมีข้อถกเถียงว่า ศาลมีอำนาจถึงขั้นที่จะตัดสินว่าคุณทักษิณ (ชินวัตร) ไม่ได้ติดคุกจริง แล้วเอาคุณทักษิณกลับเข้าคุก 6 เดือน ได้ไหม?
วรเจตน์ : เรื่องนี้ ปัญหาอันแรกตั้งแต่อำนาจของศาลก่อนเลย น่าจะต้องพูดกันให้ชัด เป็นปัญหาเรื่องอำนาจของศาลในชั้นบังคับโทษ เพราะกรณีนี้เราต้องเอาจากกฎหมายก่อน
ก็คือว่า มีพระราชกฤษฎีกาอภัยลดโทษให้เหลือจำคุก 1 ปี ถูกไหมครับ คุณทักษิณก็เข้าสู่กระบวนการ วันนั้นไปศาล แล้วเข้าไปในเรือนจำ คืนนั้นออกจากเรือนจำมาโรงพยาบาล แล้วก็มาอยู่ 6 เดือน แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านอีกช่วงหนึ่งจนครบ 1 ปี สภาพเป็นแบบนี้
ก็มีคนสงสัยว่าการบังคับโทษมันถูกต้องไหม? พูดง่ายๆ คือ คุณทักษิณอยู่ในขั้นตอนของการติดคุกจริงหรือเปล่า? แน่นอนมันจะเกี่ยวพันกับชั้นบังคับโทษในราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเขาจะต้องดำเนินการ ต้องมีข้อเท็จจริง
ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องป่วยทิพย์-ไม่ป่วยทิพย์ อันนี้ขึ้นอยู่กับการมอง ช่วงแรกมันไม่เห็นหรอก เพราะว่าอยู่ในโรงพยาบาล เราเห็นตอนที่ออกมาจากโรงพยาบาลแล้วใส่เฝือกที่คอ สักพักหนึ่งท่านก็ออกไปพบปะประชาชน อันนี้ข้อเท็จจริงเท่าที่เห็นในสื่อ
เพราะฉะนั้น เราไม่รู้สภาพในช่วงที่อยู่ในโรงพยาบาล อยู่ชั้น 14 (เป็นเวลา) 6 เดือน แล้วผมจะไม่พูดอะไรที่ผมไม่มีข้อเท็จจริง ผมก็ไม่ยืนยันว่าป่วยจริง ป่วยแค่ไหน ป่วยในระดับที่ต้องออกมารักษาตัวไหม หรือป่วยเล็กน้อยอยู่ในเรือนจำได้ อันนี้เราไม่รู้
แต่แน่นอน โดยบทบาทของคุณทักษิณในเวลาต่อมา ก็มีคนไปร้อง ประเด็นก็คืออย่างนี้ คนร้องไม่ใช่คนที่เกี่ยวพันกับคดี คือถ้าเกิดคนที่ไปร้องในตอนแรกเป็นโจทก์ในคดี มันก็จะไม่มีปัญหาเรื่องนี้ในความเห็นผม ความจริงในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาเรื่องนี้ คนนอกร้องได้นะ แต่โดยปริยาย จะต้องเกี่ยวพันกับคดี คือได้รับผลอะไรจากคดี
แต่เคสนี้ ผมคิดว่าคนที่ร้องไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับคดี คนร้องเข้าใจว่าไปร้องมาแล้วสองรอบ แล้วศาลยกคำร้องทั้งสองรอบ โดยศาลบอกว่าเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร เป็นเรื่องของราชทัณฑ์ แต่ครั้งที่สามไปร้องอีก คราวนี้ศาลสั่งไต่สวน ที่จะเกิดขึ้นวันที่ 13 มิถุนายน
เวลาผมเป็นนักกฎหมาย พอมันมีอย่างนี้ คำถามแรกที่ต้องถามก็คือว่า ศาลอาศัยอำนาจจากบทบัญญัติของกฎหมายฉบับไหนหรือมาตราใดในการสั่งเช่นนี้ เท่าที่ผมตรวจสอบดู ผมไม่พบ ความจริงในคำสั่ง ผมเข้าใจว่าศาลน่าจะไม่ได้อ้างมาตราโดยตรง ที่ให้อำนาจศาลในการไต่สวนนี้ ศาลบอกว่าอันนี้เป็นเรื่อง “ความปรากฏแก่ศาลเอง”
แต่ “ความปรากฏแก่ศาล” มันอยู่ในบริบทของการยื่นเรื่องของบุคคลภายนอกท่านนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวข้อง (กับคดี) เพราะสองครั้งแรกศาลก็ยกไปแล้วไง มันเป็นไปได้ว่าอันที่สามนี่อาจจะมีเหตุผลเพิ่มเติมก็ได้นะ เราไม่รู้
แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้ ศาลไม่ได้สั่งไต่สวนใหม่ เพราะคนร้องมีอำนาจยื่นคำร้องแล้วทำให้ศาลต้องไต่สวน ศาลก็ปฏิเสธในคำสั่งอันนี้ว่าคนร้องไม่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่ได้มีอำนาจที่จะยื่น ศาลปฏิเสธตรงนี้ไป แต่ศาลไต่สวนเอง
แปลว่าศาล “เริ่มการ” เองในทางกฎหมาย การที่ศาลเริ่มการเองมันมีปัญหาอันหนึ่ง หลักของอำนาจตุลาการ นี่เป็นหลักพื้นฐานอันสำคัญเลย เราถือว่า “ไม่มีผู้พิพากษา ถ้าไม่มีคำฟ้องหรือไม่มีคำร้อง” ในความหมายว่าคำร้องหรือคำฟ้องนั้นมันเข้าเกณฑ์ที่จะดำเนินกระบวนการพิจารณาได้
หมายความว่า โดยปกติทั่วไป ศาลเริ่มการเองไม่ได้ ศาลทำอะไรไม่ได้เลย
“ศาลไคฟง” น่ะเริ่มการเองได้ “ศาลเปาบุ้นจิ้น” น่ะได้ เปาบุ้นจิ้นทำได้หมด (เพราะ) ไม่มี “ระบบแบ่งแยกอำนาจ” ในศาลของเปาบุ้นจิ้นเป็นบังคับ (โทษ) ด้วย มี “หวังเฉา-หม่าฮั่น-จั่นเจา-จางหลง-จ้าวหู่” มันมีหมดอยู่ในศาลไคฟง เปาบุ้นจิ้น เทพเจ้าแห่งความยุติธรรม
แต่ใน “รัฐสมัยใหม่” ไม่เป็นแบบนั้น มันมีการถ่วงดุลของกระบวนการยุติธรรม เพื่อเป็นการประกันสิทธิ์ของคนในกระบวนการ มันก็ต้องมีการแยกอำนาจ ส่วนนี้เป็นของใคร ของใคร ของใคร
ในความเห็นผม เรื่องนี้โดยตัวบทลายลักษณ์อักษร ผมไม่เห็นว่ามีบทบัญญัติให้อำนาจศาลตรงนี้ อันที่สองก็คือว่า การที่ศาลใช้ฐานของคำร้องของผู้ร้องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี บอกว่ามันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาลเอง แล้วศาลสามารถที่จะไต่สวนได้ มันน่ากังวล
ความน่ากังวลก็คือ แม้ศาลจะบอกว่าศาลไต่สวนเอง แต่การที่ศาลไต่สวนเองมันก็ตรงตามวัตถุประสงค์ของคนยื่นคำร้อง ซึ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะยื่นคำร้องได้ ผมว่านี่เป็นเรื่องใหญ่
ต่อไป ถ้าเกิดเราไม่ระมัดระวังให้ดีๆ ใครที่ไม่เกี่ยวข้องเลย ไปยื่นร้องต่อศาล ศาลก็บอกว่าคำร้องคุณ คุณไม่มีสิทธิ์ยื่น คุณไม่เสียหายไม่เกี่ยว แต่ข้อเท็จจริงในคำร้องของคุณ ศาลเห็นว่ามันมีเหตุมีมูล เพราะฉะนั้น ศาลดำเนินการเอง ลักษณะการกระทำอย่างนี้มันเป็นแคแร็กเตอร์ของ “ฝ่ายบริหาร” หรือ “ฝ่ายปกครอง” ไม่ใช่ “ฝ่ายตุลาการ”
ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายปกครอง เราไปยื่นอะไรกับเขา (ต่อให้เรา) ไม่เกี่ยวน่ะ แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับงานของเขา เขาเริ่มสอบสวนเอง เขามีดุลพินิจที่จะเริ่มการเอง จะไปพิจารณาออกคำสั่ง
เช่น มีคนเห็นว่าตึกนี้น่าจะปลูกสร้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไปร้อง ตัวเจ้าหน้าที่ก็ไปตรวจ (คนร้องอาจไม่ใช่ผู้เสียหาย-ใบตองแห้ง) ไม่เป็นไร ฝ่ายบริหาร ฝ่ายปกครอง ไม่จำเป็น ลักษณะงาน การแบ่งแยกอำนาจ มันคนละอย่าง ฝ่ายบริหารเขาสามารถเริ่มการได้เอง
หรือกระทั่งบางที สมมุติผมยกตัวอย่างนะ มีบุคคลคนหนึ่งได้รับคำสั่งที่เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แล้วเขายื่นอุทธรณ์ มันก็เกินกำหนด ปกติ เจ้าหน้าที่ก็ต้องไม่รับอุทธรณ์ แต่ถ้าเกิดเขาไปอ่านดูไอ้ที่ยื่นมา เฮ้ย มันมีเหตุที่เกี่ยวข้อง มันก็เป็นดุลพินิจของเขาที่จะใช้กระบวนพิจารณาอันอื่นดำเนินการให้ได้ ฝ่ายบริหารจะเป็นแบบนี้
ฝ่ายตุลาการจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ศาลจะทำอะไรได้ก็ต้องมีคำฟ้องหรือคำร้อง มีข้อยกเว้นน้อยมากที่เราจะให้ศาลเริ่มการได้เอง ในต่างประเทศ มันจะมีกรณีที่ตุลาการมีปัญหาเอง
อย่างศาลรัฐธรรมนูญในประเทศที่ผมเรียนจบมา (เยอรมนี) ตุลาการเขามีปัญหา กล่าวหากันเอง เขาเริ่มการเอง เรียกว่าแมลงวันตอมแมลงวันเองได้ เขาไต่สวนกันเองได้ แม้ไม่มีอะไรร้องมา เขาทำเองได้ แต่เป็นข้อยกเว้นมากๆ เลย ปกติ ทุกอย่างมันต้องมีคำร้องทั้งหมด
พอมีคำร้อง แล้วมันเข้าเกณฑ์ในคำร้อง อันนี้ดุลพินิจของศาลในการพิจารณาคดีก็จะมีต่อไป แต่ถ้าตัด (เรื่องการต้องมีคำร้อง) ไปตั้งแต่แรก มันก็เลยเสี่ยง
หมายความว่าเราจะจำกัดอำนาจลักษณะแบบนี้ของศาลไว้ที่ไหนในวันหน้า ถ้าศาลสามารถอ้างว่า ตอนเรายื่นเรื่องมา ไม่รับในฐานะที่คุณไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงที่ให้มามันมีเหตุควรสงสัย ศาลบอกงั้นศาลไต่สวนเอง ศาลเริ่มการเอง แต่อย่างที่ผมบอกว่า การเริ่มการเองมันก็ไปตรงกับวัตถุประสงค์ของคนร้องคดี
ผมว่าอันนี้ต้องกฎหมายเขียน (ไว้) ผมคิดว่าไม่น่าจะ (ทำ) ได้
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

