
สมรภูมิช่องบก ‘บิ๊กเล็ก’ ข้อต่อ ‘บิ๊กอ๊อบ’ แบ๊กอัพ ‘บิ๊กปู’ ในความเงียบ ‘แม่ทัพกุ้ง’ ด่านหน้า ‘รองณัฏฐ์’ ในเงาบัง กับ 3 นักรบภาคสนาม

รายงานพิเศษ
สมรภูมิช่องบก ‘บิ๊กเล็ก’ ข้อต่อ ‘บิ๊กอ๊อบ’ แบ๊กอัพ ‘บิ๊กปู’ ในความเงียบ ‘แม่ทัพกุ้ง’ ด่านหน้า ‘รองณัฏฐ์’ ในเงาบัง กับ 3 นักรบภาคสนาม
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้ บิ๊กปู พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. ถูกจับตามอง ในฐานะแม่ทัพใหญ่ในการสู้ศึกกับกัมพูชา ที่สมรภูมิช่องบก
หลังที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาร่วมประชุมด้วย มอบหมายให้กองทัพบก เป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องการใช้กำลังหรือการปะทะหรือไม่
ทั้งนี้ หลังจากการเจรจา 2 วงใหญ่ไม่ได้ผล และถูกท้าทาย โดย พล.อ.พนา เจรจากับ พล.อ.เมา โซะพัน ผบ.ทบ.กัมพูชา เมื่อ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ช่องจอม จ.สุรินทร์ หลังการปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา 28 พฤษภาคม 2568 มีการตกลงกัน 3 ข้อ แต่ฝ่ายกัมพูชามีข้อ 4 งอกออกมา ยืนยันว่าจะไม่ถอนทหารออกจากดินแดนของกัมพูชาเอง
โดยย้ำว่า สิ่งที่ ผบ.ทบ.ไทยเสนอให้ถอยออกจากแนวต้นพญาสัตบรรณ 200 เมตรนั้น เขมรไม่สามารถทำได้ ทั้งที่ในแถลงการณ์ของกองทัพบกก่อนหน้านั้นไม่มีระบุถึง
อีกทั้งยังผูกมัดด้วยการระบุในตอนท้ายว่าข้อตกลงทั้ง 4 ข้อนี้ ได้รับการยอมรับ และตกลง ของ ผบ.ทบ. 2 ชาติแล้ว
ซึ่งถือว่าเป็นการหักเหลี่ยม ผบ.ทบ.ไทย อย่างมากเพราะในข้อตกลงไม่ได้ระบุเช่นนั้น นั่นก็ถือว่าฝ่ายกัมพูชาท้าทายฝ่ายทหารไทยแล้วครั้งหนึ่ง
ตามมาด้วยครั้งที่ 2 เมื่อนายภูมิธรรม นัด พล.อ.เตีย เซรยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา มาพบในค่ายทหาร สุรสิงหนาท ฝั่งไทย ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เมื่อ 5 มิถุนายน 2568
โดยฝ่ายกัมพูชา มีทั้ง พล.อ.เมา โซะพัน ผบ.ทบ. พล.ท.ฮุน มานิต รอง ผบ.ทบ. ลูกชายสมเด็จฮุน เซน และคณะ ล้วนแต่งเครื่องแบบทหารมาอย่างพร้อมเพรียง
จากการแถลงข่าวของกระทรวงกลาโหมไทย หลังการพบปะที่ออกไปในเชิงบวก กับข้อเสนอที่นายภูมิธรรมขอให้ฝ่ายกัมพูชาถอยออกไปจากแนวต้นพญาสัตบรรณ 200 เมตร โดยมีรายงานในที่ประชุมว่าฝ่ายกัมพูชายังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ขอหารือกับสมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต ก่อน
แต่หลังประชุมกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กลับมีแถลงการณ์ หักหน้านายภูมิธรรม ด้วยการประกาศว่าทหารกัมพูชาจะไม่ถอยออกจากดินแดนของตนเอง และที่อยู่มาก่อนทำข้อตกลงเอ็มโอยู 2543 ที่ทำให้นายภูมิธรรมสุดจะอดทน
ดังนั้น การประชุม สมช. นายภูมิธรรมจึงสนับสนุนให้กองทัพมีบทบาทหลักในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในกรณีที่ทหารกัมพูชาล้ำอธิปไตยไทยและละเมิดเอ็มโอยู 2543 เข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน บริเวณช่องบก สามเหลี่ยมมรกต

แต่ด้วยบุคลิกของ พล.อ.พนา ที่เป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ พูดน้อย ไม่ค่อยชอบออกสื่อ จึงทำให้บทบาทในศึกเขมร สมรภูมิช่องบก 2568 ครั้งนี้ ไฟฉายส่องมาที่ แม่ทัพกุ้ง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 เพื่อนรัก เตรียมทหาร 26 ที่เคยลงไปอยู่ชายแดนใต้ด้วยกันมา
พล.ท.บุญสิน กลายเป็นฮีโร่ของคนไทย ในฐานะแม่ทัพส่วนหน้า อีกทั้งมีกลุ่มที่ต่อต้านระบอบทักษิณ ไม่เอารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ไม่ไว้ใจในความสัมพันธ์ของตระกูลชินวัตร กับตระกูลฮุน ของกัมพูชามาเชียร์ด้วย
และมีการใช้กลยุทธ์ ชูทหาร ชูแม่ทัพภาค 2 ให้เป็นฮีโร่ พร้อมทั้งไม่ให้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งรัฐบาล โดยเฉพาะนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม มือขวาอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร โดยบิดเบือนข่าวว่า นายภูมิธรรมสั่งถอยทหารไทยออกจากปราสาทตาเมือนธม หลังประชุม GBC ร่วมกับ พล.อ.เตีย เซรยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา แม้นายภูมิธรรมจะย้ำในการแถลงข่าวว่า สั่งให้ทหาร 2 ชาติ ถอยห่างออกจากกัน ตลอดแนวลดการเผชิญหน้า ยกเว้นที่ปราสาทตาเมือนธม ที่อยู่ในดินแดนไทยแล้วก็ตาม
ตามมาด้วย การที่ พล.ท.บุญสินยืนยันว่า ทหารไทยไม่ถอย และไม่ได้มีคำสั่งให้ถอยจากปราสาท
แต่จากนั้น พล.ท.บุญสินก็ถูกชูให้เป็นฮีโร่ และพยายามทำให้กลายเป็นคู่ขัดแย้งกับนายภูมิธรรม ก่อนที่ต่อมาจะมีการปล่อยข่าวลือว่า รมว.กลาโหม จะปลดแม่ทัพภาค 2 ซึ่งนายภูมิธรรมก็ยืนยันว่าไม่จริง
นายภูมิธรรมยังถูกโจมตีอย่างหนัก เมื่อให้สัมภาษณ์หลังลงพื้นที่ชายแดนว่า ทหารเขมรล้ำมาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ที่ให้เป็นโน แมนส์ แลนด์ แต่ไม่ได้บุกเข้ามาในแผ่นดินไทย
โดยทีมงานกลาโหมชี้แจงว่า เหตุที่นายภูมิธรรมพูดเช่นนั้น เพราะได้รับรายงานจากแม่ทัพภาค 2 เช่นนั้น
“จุดที่กัมพูชามาตั้ง คือ โน แมนส์ แลนด์ ที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าเป็นจุดของใคร ดังนั้น อยากให้กลับมาอยู่จุดเดิม”
“แม่ทัพภาคที่ 2 บอกกับผมชัดเจนว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ได้ถอยมาในจุดเดิม แต่กัมพูชาไม่ยอมถอย ถือเป็นการละเมิดข้อตกลง แต่ไม่ใช่เรื่องบุกแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการถกเถียงกันยังไม่จบ เพราะเป็นปัญหาชายแดนที่ยังต้องมีการพูดคุยกันอยู่” นายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล 6 มิถุนายน 2568
แต่อย่างไรก็ตาม มีการจับตามองว่านายภูมิธรรมอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่ทัพภาค 2 อธิบาย เพราะหากไม่ได้เห็นพื้นที่ก็จะนึกภาพไม่ออก และอาจไม่เข้าใจ

แต่นายภูมิธรรมก็ไม่ได้ข้องใจอะไรเพราะมองว่ามีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่จ้องจะโจมตีตนเองอยู่แล้ว
ยุทธการช่องบกนี้ บทบาทของ พล.อ.พนา โดดเด่นเพราะได้รับมอบหมายจากที่ประชุม สมช.ให้รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องของการใช้กำลังหากต้องมีการปะทะสู้รบ
นอกจากนี้ การประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพวาระพิเศษที่มี ผบ.อ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพพร้อมหน้า ที่กองบัญชาการกองทัพอากาศ โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตำแหน่งที่เกี่ยวข้องเท่านั้นร่วมประชุมโดยใช้เวลาราว 4 ชั่วโมง
ที่ประชุมมีมติในการบูรณาการกำลังและใช้ทุกทรัพยากรสนับสนุนกองทัพบกในการแก้ไขปัญหานี้
มีรายงานว่า พล.อ.ทรงวิทย์ได้ให้กำลังใจ พล.อ.พนา โดยยืนยันว่าทุกคนจะสนับสนุนไม่ปล่อยให้กองทัพบกสู้อย่างโดดเดี่ยวแน่นอน ถึงเวลาที่ต้องใช้ความเป็นนักรบ ที่อยู่ในตัวพวกเราทุกคนช่วยชาติบ้านเมืองในการรักษาแผ่นดิน
จะเห็นได้ว่า ในห้วงนั้น พล.อ.พนา ได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงระดับกองพลและกรม ฝึกทดสอบความพร้อม นำอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลออกมาแสดงความพร้อมรบ ถือเป็นการแสดงกำลังโชว์ ออฟ ฟอร์ซ ที่ต้องการส่งสัญญาณไปถึงกัมพูชา
และมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.พนา ได้สั่งให้กรมสรรพาวุธทหารบก และหน่วยขึ้นตรงตรวจสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ รถถัง รถเกราะ รถสายพานลำเลียงพลและสิ่งสนับสนุนว่า สามารถใช้การได้หรือไม่ ต้องซ่อมบำรุง ซ่อมแซมอย่างไร ให้รายงานด่วน
จนมีการซ่อมยุทโธปกรณ์ต่างๆ ทำให้กองทัพบกมีความพร้อมรบ ในวันนี้

ซึ่งทั้งหมดนี้ พล.อ.พนา ทำแบบเงียบๆ ไม่ออกสื่อไม่ออกข่าวใดๆ มีแต่การให้ใช้ปฏิบัติการข่าวสารในการแสดงกำลัง สื่อสารไปถึงฝ่ายกัมพูชา
การที่ฝ่ายกองทัพดูสงบนิ่ง ผบ.เหล่าทัพ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นหรือเคลื่อนไหวใดๆ แต่ทว่าภายใต้ความเงียบงันนั้น ฝ่ายทหารมีการเตรียมพร้อม มีการพบปะพูดคุยวางแผนและเตรียมพร้อมอย่างเต็มกำลัง
จน บิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม อึดอัดกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าฝ่ายกองทัพและรัฐบาล ดูนิ่งเฉยเกินไปไม่ตอบโต้กัมพูชา
“ทุกอย่างเป็นความลับ เขาจะไม่รู้ว่า เราทำอะไรบ้าง มีกำลังและอาวุธอะไรบ้าง แต่สมัยนี้หากพูดก่อน ออกสื่อก่อน เสียเปรียบ จะทำให้เขารู้ว่า เราคิดอะไร จะทำอะไร ดังนั้น บางครั้ง จึงไม่ได้พูด
แต่ไม่ใช่รัฐบาลนิ่งเฉย ช้าไป ส่วนที่ผมรับผิดชอบพยายามจะไม่พูด หรือพูดให้น้อยที่สุด เพื่อที่เราพยายามรักษาความลับ เราต้องการให้มีความได้เปรียบอยู่บ้าง แต่อยากให้รู้ว่าไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่มีการเตรียมพร้อมทุกอย่าง” พล.อ.ณัฐพลกล่าว
ขณะที่ กำลังหลักคนสำคัญของกองทัพ คือ พล.อ.ทรงวิทย์ ที่ก็ประชุมหารือกับ เจ้ากรมแผนที่ทหาร ในการเตรียมประชุมกรรมาธิการร่วมเขตแดนไทยกัมพูชา (JBC) ในการเตรียมแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศภาพดาวเทียม ตั้งแต่ในอดีตและเปรียบเทียบให้ชัดเจน เพื่อยืนยันถึงการที่ทหารกัมพูชาล้ำอธิปไตยไทย
รวมทั้งการชี้ชัดว่าทหารกัมพูชายังไม่ได้เข้ามาวางกำลังในพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตก่อนปี 2543 ก่อนการทำข้อตกลงเอ็มโอยู 2543 เช่นที่สมเด็จฮุน เซน ประธานสภากัมพูชาได้อ้างความเป็นเจ้าของเหนือพื้นที่นี้
และทำให้ก่อนหน้านี้ทหารกัมพูชาไม่ยอมถอยออกจากพื้นที่ ในการเจรจาในระดับพื้นที่เมื่อ 8 มิถุนายน 2568 นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ศึกเขมรคราวนี้ยังมีปัญหาภายใน หรือศึกการเมืองภายใน จากพวกต่อต้านระบอบทักษิณ
และจากพวกต่อต้านกองทัพ ไม่เอาทหาร เพราะเห็นว่ากระแสนี้ทำให้ประชาชนหันมาสนับสนุนกองทัพ และเกรงว่าจะทำให้กระแสเขียวกลับมาอีกครั้ง
อีกทั้งมีการปล่อยข่าวปฏิวัติรัฐประหารล้มรัฐบาล ที่ไม่มีความสามารถไม่แข็งแกร่ง พอที่จะนำในการสู้ศึกเขมร รักษาแผ่นดินไทยได้
จึงเกิดกระแสการต่อต้านสงครามและโจมตีผู้ที่สนับสนุนกองทัพว่าเป็นพวกคลั่งชาติกระหายสงคราม
จนเกิดการตอบโต้ว่าการสนับสนุนทหาร ไม่ใช่การสนับสนุนสงคราม แต่เป็นการสนับสนุนให้กองทัพทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ และอิสระไม่ต้องฟังฝ่ายการเมืองมากนัก และต้องการให้ฝ่ายการเมืองให้อำนาจกองทัพตัดสินใจ
จะเห็นได้ว่ามีการปลุกกระแสข่าวลือปฏิวัติรัฐประหาร ให้ล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ไม่สามารถจะรักษาแผ่นดินได้
ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านทหารก็หวาดระแวงว่า ฝ่ายทหารกำลังอาศัยสถานการณ์ความขัดแย้งกับกัมพูชาในการสร้างคะแนนนิยมให้กับกองทัพ เพื่อปูทางสู่การรัฐประหารในอนาคตหรือไม่
ศึกกัมพูชานี้ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทำหน้าที่ผู้สนับสนุน พล.อ.พนา และกองทัพบกอย่างเต็มที่ จนทำให้นายภูมิธรรมมีไอเดียว่าจะแต่งตั้ง พล.อ.ทรงวิทย์ เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดน (JBC) เพื่อไปร่วมประชุมที่กัมพูชาด้วย เป็นการสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชนที่อยากเห็นผู้นำทหารไปร่วมสังเกตการณ์ และเป็นที่ปรึกษาด้วย เพราะมีฝ่ายต่อต้านนายทักษิณ เกรงว่าฝ่ายการเมืองจะครอบงำคณะกรรมาธิการเขตแดนฝ่ายไทย และอาจยอมเสียเปรียบกัมพูชาเนื่องจากสายสัมพันธ์ระหว่างนายทักษิณกับสมเด็จฮุน เซน
แต่ก็มีเหตุขัดข้องบางประการเพราะในที่สุด กระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ได้แต่งตั้ง พล.อ.ทรงวิทย์ ให้เป็นที่ปรึกษากรรมาธิการร่วม JBC ท่ามกลางการจับตามองว่า สายกระทรวงการต่างประเทศอาจจะอยากมีอิสระในการทำงาน
ไม่ต้องการถูกมองว่า มีทหารมาคุมหรือมีบทบาท

นอกจาก ศึกนอก -ศึกใน การเมืองแล้ว ในกองทัพเอง โดยเฉพาะกองทัพภาค 2 เองก็ดูจะขาดเอกภาพ โดยจะเห็นได้ว่าบทบาทของ พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาค 2 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเจรจากับ พล.อ.สรัย ดึ๊ก แม่ทัพฝ่ายกัมพูชา จนมีการสั่งถอนทหารหรือปรับกำลังเกินกว่าที่คาดหมาย
ทั้งการถอยออกจากพื้นที่ประเทศไทยแนวต้นพญาสัตบรรณ แล้วทหารกัมพูชายังถอยออกไปที่ศาลาตรีมุข แนวเดิมที่ทหารกัมพูชาเคยอยู่มาก่อน รวมแล้วราว 1 กม. ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเสมือนเป็นพี่น้องของ พล.ต.ณัฏฐ์ และ พล.อ.สรัย ดึ้ก และเป็นเพราะความเชี่ยวชาญพื้นที่และทันเกมกัมพูชา ของ พล.ต.ณัฏฐ์
แต่ทว่ามีกระแสข่าวว่า พล.ต.ณัฏฐ์ ดูจะถูกกันออกจากเซ็นเตอร์อำนาจ ในการแก้ปัญหา อาจเพราะ พล.ต.ณัฏฐ์ คุมสายงานส่งกำลังบำรุงไม่ได้ดูสายงานยุทธการจึงไม่ได้อยู่ในทีมเวิร์กของ พล.ท.บุญสิน ที่มี รองเติ่ง พล.ต.วีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาค 2 เป็นทีมงานและ พล.ท.บุญสิน มีแนวโน้มจะสนับสนุน พล.ต.วีระยุทธ ให้เป็นแม่ทัพภาค 2 คนต่อไปแทน พล.ท.บุญสิน ที่จะเกษียณ 30 กันยายนนี้
แม้ว่าจะมีแคนดิเดตอีกสองคนคือ พล.ต.ณัฏฐ์ และ รองยูร พล.ต.นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคสองอีกหนึ่งคนและเป็นเพื่อนเตรียมทหาร 26 ของ พล.ท.บุญสินและ พล.อ.พนา ที่ก็ถือว่าไม่อาจมองข้ามได้
ไม่แค่นั้นกระแสในกองทัพภาค 2 นอกจากไม่ให้ความสำคัญกับ พล.ต.ณัฏฐ์ ดังกล่าวแล้วยังมีบางฝ่ายตำหนิในทำนองออฟไซด์ และทำให้ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้คะแนน เนื่องจากทำให้ฝ่ายสนับสนุนทหารชื่นชมว่าเป็นผลงานของกองทัพภาค 2 และ พล.ต.ณัฏฐ์
แต่นายกรัฐมนตรีและนายภูมิธรรมได้ออกมายืนยันว่ามีการคุยกันในระดับนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต ก่อน จากนั้นจึงมีสัญญาณลงมาให้ทหารระดับพื้นที่มาเจรจากัน
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันเพราะการที่ พล.อ.สรัย ดึ้ก จะตกลงใจให้ผ่านกัมพูชาถอยออกจากแนวต้นพญาสัตบรรณได้ก็ต้องได้ไฟเขียวจากสมเด็จฮุน เซน ก่อน ซึ่ง พล.ต.ณัฏฐ์ยอมรับว่ามีการพูดคุยกันในหลายระดับไม่ใช่ผลงานของตนเอง แต่เมื่อทำเพื่อประเทศชาติเพื่อประชาชนก็ยินดีที่จะทำ
โดยไม่ได้หวังผลงานหรือหวังตำแหน่งใดๆ

สําหรับในทัพภาค 2 แล้วตอนนี้บรรดาทหารอีสานโดยเฉพาะนักรบอีสานใต้ ต่างโฟกัสไปที่ ผบ.ภพ พล.ต.สมภพ ภาระเวช (ตท.30) ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6 และผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการศึกครั้งนี้โดยประสบการณ์ที่เคยรบกับทหารเขมรในศึกพระวิหารตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2554
นอกจากนี้ยังโฟกัสอีก 3 คีย์แมน 3 นายพัน ที่รับผิดชอบพื้นที่ ทั้ง พ.อ.บุญเสริม บุญบำรุง (ตท.30) รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พ.อ.สุรกิจ กาฬเนตร (ตท.33) ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 และ พ.อ.ภาคภูมิ นภากาศ (ตท.34) ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 ที่ ล้วนผ่านสมรภูมิศึกเขาพระวิหารปี 2554 กันมาทั้งสิ้น ล้วนเป็นทหารนักรบที่ใจถึงพึ่งได้ และครบเครื่องในทุกมิติ และจะขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการกองพล ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี จนถึงเป็นแม่ทัพภาค 2 ในอนาคต
เพราะถือเป็นนายทหารฮีโร่ตัวจริงของอีสานใต้ เนื่องจากเดินลุยดูแลและรักษาแผ่นดินไทยในทุกตารางนิ้ว และแสดงท่าทีไม่ยอมให้สูญเสียแผ่นดินไทยไปอย่างเด็ดขาด
โดยในยามที่ต้องสู้ศึกนอกกับฝ่ายกัมพูชาที่มักมีเล่ห์เหลี่ยมจำเป็นอย่างยิ่งที่ภายในประเทศไทยทั้งฝ่ายรัฐบาลการเมืองและกองทัพจะต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ส่วนฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ และฝ่ายต่อต้านทหารอาจต้องพักยกไว้ก่อน สู้ศึกเขมรให้ราบคาบเสียก่อนแล้วค่อยมาทะเลาะกันเองวันหลัง





