เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

มนุษย์รักพวกพ้อง (รักชาติ)

25.06.2025

นัยความเป็นคน | นิ้วกลม

มนุษย์รักพวกพ้อง (รักชาติ)

1 ‘ความรักชาติ’ เป็นธรรมชาติหรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นกันแน่?

หากถามนักรัฐศาสตร์หรือสังคมศาสตร์อาจได้คำตอบเรื่องการประกอบสร้าง ตอกย้ำ และปลูกฝังความเป็นชาตินิยม รวมถึงวิธีทำให้ประชาชนในวัยเยาว์เล่าเรียนเกี่ยวกับชาติของตนจากตำราทางการที่บอกเล่าเรื่องดีงาม น่าภาคภูมิใจ เพื่อก่อความภูมิใจและความรัก ทั้งยังอาจได้ฟังคำอธิบายว่า ‘รัฐชาติ’ นั้นเพิ่งเกิดขึ้นมาในเวลาไม่กี่ร้อยปีมานี้เอง-อะไรทำนองนั้น

แต่วันนี้ผมอยากชวนค้นลึกลงไปกว่าเรื่อง ‘วัฒนธรรม’ ที่มนุษย์สร้างขึ้น ทว่า ถามถึง ‘ธรรมชาติ’ ของสายพันธุ์โฮโมเซเปียนส์กันเลยว่า ตกลงแล้วเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่รักพวกพ้องโดยธรรมชาติ หรือรักตัวเอง (เห็นแก่ตัว) กันแน่

ไม่ใช่แค่ชาติหรอก เรามีความรักต่อกลุ่มก้อนของเราอีกหลายรูปแบบ รักถิ่นกำเนิด รักสถาบันการศึกษา รักเพื่อนร่วมศาสนา รักครอบครัว รักองค์กร รักทีมฟุตบอลโปรด รักวงดนตรีหรือนักร้องที่เราไปติ่ง ฯลฯ

ความรักที่นอกเหนือไปจากรักตัวเองออกจะ ‘ผิดธรรมชาติ’ อยู่ เพราะสิ่งมีชีวิตซึ่งมีหน้าที่เอาตัวรอดและสืบเผ่าพันธุ์ โดยปกติแล้วควรคิดถึงตนเองก่อน มิใช่ฝูง มิใช่สายพันธุ์ มิใช่ทีม มิใช่ชาติ

2 ถ้ามองว่าการทำเพื่อประโยชน์คนอื่นเป็นคุณสมบัติที่น่าทึ่งของมนุษย์ ก็น่าลองสืบค้นลงไปอีกว่า เวลาเราทำเพื่อคนอื่นนั้นเราเห็นแก่เขาหรือเห็นแก่ตนเองมากกว่า เพราะเราไม่ได้ทำเช่นนั้นกับทุกเรื่องและทุกคน พูดง่ายๆ คือ เราทำตัวเป็นคนรักพวกพ้องเพราะเราได้ประโยชน์บางอย่างด้วย…ใช่หรือไม่?

เราจึงไม่ได้รักทุกคน แต่เรารักเพื่อนที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน เราไม่ได้พร้อมปกป้องเพื่อนมนุษย์ทุกคน แต่พร้อมปกป้องพี่น้องชาวไทยจากศัตรูผู้มารุกราน และพอการศึกสงบแล้ว เราก็สามารถมาตีกับคนในชาติได้ใหม่เพราะตอนนี้อยู่คนละกลุ่มความเชื่อกัน

มนุษย์มีธรรมชาติทั้งสองอย่างอยู่ในตัวเอง คือเห็นแก่ตัวและเห็นแก่กลุ่ม

ในเกมระดับปัจเจกแข่งกับปัจเจก ใครเห็นแก่ตัวมากกว่า รังแกคนอื่น ใช้กำลัง กอบโกย คนนั้นจะเป็นผู้ชนะ แต่ในสังคมมนุษย์ยังมีเกมระดับกลุ่มกับกลุ่มด้วย ในเกมแบบนี้ ‘ทีมที่ดี’ จะเป็นฝ่ายชนะ คือทีมที่สามัคคี คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง เสียสละ ร่วมแรงร่วมใจ

มนุษย์รวมกลุ่มกันเป็นสังคม เผ่า เมือง อาณาจักร กลุ่มที่เหนียวแน่นย่อมบุกตีกลุ่มที่อ่อนแอเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัวแตกพ่ายไป ฉะนั้น เราจึงเป็นลูกหลานของคนที่รู้จัก ‘เห็นแก่คนอื่น’ ในเวลาที่เหมาะสม ส่วนพวกเห็นแก่ตัวตลอดเวลานั้นไม่เหลือรอดมา

กระนั้น ใน ‘ทีมชนะ’ ก็ต้องมีพวกกาฝากซ่อนตัวอยู่ คือคนที่ไม่ได้ถือหอกถือดาบออกรบอยู่แถวหน้า เอาตัวรอดและซ่อนตัวอยู่เนียนๆ ซึ่งน่าจะปลอดภัยและได้สืบเชื้อสายกาฝากแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ทว่า คนเช่นนี้ก็ไม่รอดเหมือนกัน เหตุผลคือ ในสังคมที่ให้คุณค่าการเห็นแก่กลุ่มจะไม่ยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้ เขาจะไม่ได้รับการยกย่อง ไม่มีเพื่อน ไม่มีเพศตรงข้ามเลือกเป็นคู่ครอง สุดท้ายจึงโดดเดี่ยว ถูกคัดออก ไม่มีครอบครัว ทำให้หมดสิทธิ์สืบเชื้อสายต่อไป

3 เมื่อมีสิ่งที่ควรทำ-ไม่ควรทำ สิ่งที่ได้รับการยอมรับ-และถูกรังเกียจ สิ่งที่ถูก-สิ่งที่ผิดแบบนี้เกิดขึ้น จึงเริ่มก่อเกิด ‘ศีลธรรม’ ขึ้นในสังคม

‘ศีลธรรม’ นี้เองเป็นตัวกำหนดขอบเขตความเห็นแก่ตัว และเรียกร้องให้คิดถึงคนอื่นมากขึ้น (ไม่งั้นตัวเองนั่นแหละที่จะไม่รอด)

เรารู้ว่าถ้าโดดเดี่ยวเราจะตาย ถ้าช่วยเหลือคนอื่นจะได้รับการตอบแทน และยิ่งทำดีเพื่อคนอื่นก็ยิ่งได้คำชม ถ้าไม่ทำก็ถูกซุบซิบนินทา ตำหนิ ตัดโอกาส ทั้งหมดนี้ค่อยๆ สร้าง ‘ความศักดิ์สิทธิ์’ ในการทำหน้าที่ในสังคมขึ้นมา ซึ่งชาร์ลส์ ดาร์วิน มองว่านี่คือจุดกำเนิดของ ‘ศาสนา’

เมื่อกลุ่มใดสามารถกดข่มความเห็นแก่ตัวได้ดี ก็ยิ่งทำเพื่อกลุ่มได้มาก ย่อมมีโอกาสชนะกลุ่มของศัตรูคู่แข่ง และการคัดเลือกตามธรรมชาติในระดับปัจเจกจะมีบทบาทน้อยลง ในเมื่อเวลารอดจะรอดไปทั้งกลุ่ม จึงมีโอกาสที่ยีนของคนที่ ‘เห็นแก่กลุ่ม’ จะถูกส่งต่อไปได้มากขึ้น

‘ศีลธรรม’ เกิดขึ้นจากความเห็นดีเห็นงามของเพื่อนร่วมกลุ่ม มีบทบาทควบคุมพฤติกรรม ‘เอาแต่ใจตัวเอง’ ของแต่ละคน มันยิ่งมีอิทธิพลทวีคูณเมื่อสังคมนั้นมีความรู้สึก ‘เคร่งศีลธรรม’ ขึ้นมา แถมยังถูกตอกย้ำด้วยคำสั่งสอนตั้งแต่ในโรงเรียน ครอบครัว สังคม ผ่านบทสนทนา พิธีกรรม และการสื่อสารต่างๆ

เช่นนี้แล้ว การแสดงออกว่ารักชาตินับเป็นศีลธรรมแบบหนึ่ง และถ้าชุดศีลธรรมนี้ได้รับการยอมรับอย่างเคร่งครัดในกลุ่ม หากใครสักคนตั้งคำถามกับชาตินิยมก็อาจกลายเป็นคนบาป (ผิดศีลธรรม) สำหรับกลุ่มนั้น เรามีธรรมชาติของการรักพวกพ้องอยู่จริง แต่ก็มีความซับซ้อนในเรื่องนี้ เพราะบางคนอาจแสดงออกว่ารักชาติเพราะต้องการให้คนอื่นมองว่าฉันเป็น ‘คนดี’ ของกลุ่มก็ได้เช่นกัน

4 โจนาธาน ไฮด์ต นักจิตวิทยาสังคมชื่อดังมองว่า ‘ศีลธรรม’ คือกุญแจไขเข้าสู่ความเข้าใจความเป็นมนุษย์ มันทำให้เราเห็นว่าความเห็นแก่กลุ่มช่วยให้เราข้ามพ้นความเห็นแก่ตัวได้อย่างไร และความเห็นแก่กลุ่มนี้เองที่ทำให้เราก่อพฤติกรรมเถื่อนทรามในการทำร้ายศัตรู แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้มนุษย์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้มากมาย และกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ครองโลกอย่างที่เป็น (ซึ่งไม่ได้ดีต่อสิ่งอื่น)

มนุษย์กลายมาเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้ได้ยังไง?

เรื่องแรก : เมื่อเริ่มอยู่รวมกันเป็นสังคมและมีการแบ่งหน้าที่กันทำ ทำให้เราได้เปรียบสิ่งมีชีวิตอื่นที่อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน เราผนึกกำลังกันเอาชนะสัตว์อื่นได้ สะสมอาหาร ทรัพยากร สร้างอาวุธ เกิดสามเงื่อนไขขึ้นมา

1. เรามีเขตแดน (รัง) ที่ต้องปกป้อง

2. ทารกมนุษย์ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องการการดูแลจากญาติพี่น้อง

3. รังของเราถูกรุกรานจากกลุ่มข้างเคียง

ทั้งสามเงื่อนไขนี้ทำให้เราต้อง ‘ร่วมมือ’ กันมากขึ้น และค่อยๆ เปลี่ยนจากฝูงลิงที่ไร้การแบ่งหน้าที่และคิดถึงส่วนรวมมาเป็นฝูงผึ้งที่ทำประโยชน์เพื่อ ‘ร่างยักษ์’ ของมัน นั่นคือผึ้งไม่ได้ทำเพื่อตัวมันเดี่ยวๆ แต่ทำหน้าที่ต่างๆ ให้ ‘ทั้งรัง’ ของมันรอด

เรื่องที่สอง : ยากที่เราจะได้เห็นชิมแปนซีสองตัวช่วยกันแบกขอนไม้ แต่มนุษย์ช่วยกันสร้างพีระมิดสำเร็จ ความแตกต่างคือเราสามารถสร้าง ‘เจตนาร่วม’ อันเกิดจากการมี ‘จินตนาการร่วมกัน’ ได้ จึงทำให้เกิดความร่วมมือกันตั้งแต่ตอนออกไปหาอาหารแล้วคนหนึ่งโน้มกิ่งไม้ลงต่ำเพื่อให้อีกคนเก็บผลไม้ได้ แล้วทั้งคู่ก็แบ่งกันกิน เราทำเช่นนี้กับสารพัดเรื่องในชีวิต การล่า การสะสม การเลี้ยงดูลูกหลาน การขับไล่ผู้รุกราน ซึ่ง ‘เจตนาร่วม’ นี้เองที่ค่อยๆ กลายร่างเป็น ‘ศีลธรรม’ ขยายความร่วมมือจากสองคนไปเป็นสองล้านคนได้ผ่านสถาบันต่างๆ ในสังคม เช่น ศาสนา กองทัพ ผู้ปกครอง คนที่ทำตาม ‘เจตนาร่วม’ ของกลุ่มก็จะได้ดิบได้ดี ใครขัดขืนก็โดนลงโทษ ‘เจตนาร่วม’ นี้เองที่สร้างรังมหึมาไร้น้ำหนักที่เคลื่อนย้ายได้ขึ้นมาคือ ‘ชุมชนศีลธรรม’ ที่สมาชิกในสังคมต่อสู้ เข่นฆ่า และยอมตายเพื่อปกป้องบรรทัดฐาน สถาบัน ทวยเทพของตนไว้-จินตนาการร่วมและเจตนาร่วมทำให้เรารักพวกพ้อง และสามารถฆ่าพวกอื่นได้

เรื่องที่สาม : เมื่อมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทั้งวิวัฒนาการตามธรรมชาติและวิวัฒนาการทางสังคม (วัฒนธรรมที่สร้างขึ้น) สองสิ่งนี้พันเกลียวกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในตัวมนุษย์ไปพร้อมๆ กัน มนุษย์ไม่ต้องรอเวลาเพื่อกลายไปเป็นคนที่มีนิสัยและพฤติกรรมใหม่ เหมือนยีราฟผ่านเวลายาวนานเพื่อกลายเป็นพันธุ์ที่คอยาว ตัววัฒนธรรมช่วยเร่งกระบวนการนี้ เช่น มนุษย์ที่เลี้ยงปศุสัตว์แล้วดื่มนมสัตว์เยอะขึ้นเรื่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นคนที่สามารถย่อยแล็กโตส (น้ำตาลในนม) ได้ ทั้งที่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ จะสูญเสียความสามารถนี้ไปเมื่อพ้นวัยเด็ก

ในเรื่องความร่วมมือกัน มนุษย์คิดสัญลักษณ์เพื่อแสดงความเป็นกลุ่มเดียวกันมาใช้เนิ่นนานแล้ว เช่น รอยสัก การเจาะใบหน้า ขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ และทุกวันนี้แฟนบอลต่างๆ ก็ยังเพนต์หน้าเพื่อไปเชียร์ทีมรัก หรือถ้าเกิดกระแสขึ้นมาในบางช่วงเราก็ได้เห็นคนติดสติ๊กเกอร์ธงชาติลงบนรถหรือติดธงหน้าบ้าน เราประดิษฐ์เครื่องหมายเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อเร้าความรู้สึก ‘พวกเรา’ และแสวงหาคนที่จะร่วมมือกัน คาดหวังให้คนอื่นให้คุณค่ากับสิ่งเดียวกับเรา

ถึงที่สุดแล้วมนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ ‘ทำให้ตัวเองเชื่องลง’ เราวิวัฒนาการไปสู่การเป็นคนที่ก้าวร้าวน้อยลง ฟันซี่เล็กลง ร่างกายเล็กลง มีนิสัยขี้เล่นมากขึ้นแม้ในวัยผู้ใหญ่ เราเข้าสังคมเก่ง หน่อมแน้ม น่ารัก ทั้งที่บรรพบุรุษของเราเคยป่าเถื่อนกว่านี้

นี่คือผลลัพธ์ของการถูกหล่อหลอมมาโดยธรรมชาติ ‘เห็นแก่กลุ่ม’

5 แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัวอยู่ในดีกรีที่มากกว่าเห็นแก่กลุ่มเยอะ ไฮดท์เปรียบว่า “เราเป็นชิมแปนซีร้อยละ 90 และเป็นผึ้งร้อยละ 10” ผมคิดว่าธรรมชาติสองข้อนี้ทำงานพัวพันกันในแบบที่ยากจะแจกแจงให้ชัดเจน เวลาที่เราประกาศออกมาว่า “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” ย่อมมีความรู้สึกของการเห็นแก่กลุ่มอยู่แน่ๆ แต่ลึกลงไปนั้นมีความเห็นแก่ตัวผสมอยู่ด้วยหรือเปล่า ในความหมายของการอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม อยากได้รับการยอมรับ อยากเป็นคนมีศีลธรรมเหมือนเพื่อนร่วมกลุ่ม

สิ่งที่ผมสนใจคือ เมื่อเราประกาศตนเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จำเป็นไหมที่จะต้องเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มอื่น แล้วขับเน้นความต่างมากกว่าความเหมือน นำไปสู่ความเกลียดชังและความรุนแรง ซึ่งมนุษย์ผ่านเรื่องเหล่านี้มาจนได้บทเรียนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทั้งระดับประเทศและระดับโลก

แน่ล่ะ เราต้องเป็นสมาชิกกลุ่ม แต่ขอบเขตที่เราขีดให้ตัวเองว่า “ฉันเป็นสมาชิกกลุ่มนี้” นั้นกว้างหรือแคบเพียงใด สิ่งนี้มีผลอย่างยิ่งต่อ ‘ชุดศีลธรรม’ ที่เรายึดถือไว้เพื่อตัดสินตัวเองและคนอื่น

สำหรับผม การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขคือการขยาย ‘ความเป็นสมาชิก’ ของตัวเองออกไปให้กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำกัดตนว่าความถูกต้องดีงามเป็นของชาติฉันเท่านั้น เป็นของศาสนาฉันเท่านั้น เป็นของวัฒนธรรมฉันเท่านั้น มันคือการขยายพื้นที่ของ ‘ชุดศีลธรรม’ ออกไปเพื่อโอบรับความแตกต่าง แสวงหาจุดร่วม

ซึ่งถ้าเราใส่ใจจะสัมผัสถึง ‘จุดร่วม’ นั้นว่า มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการความรักความเข้าใจ กลัวตาย ไม่อยากโดดเดี่ยว มีครอบครัวที่รัก ไม่อยากสูญเสีย ไม่อยากถูกทำร้าย มีเลือดอุ่นๆ ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย และมีธรรมชาติของความเป็นมิตร หรือสามารถร่วมมือกันได้

ในยามที่เรากั้นรั้วความเป็นสมาชิกกลุ่มว่า “ฉันเป็นคนชาตินี้” กับขยายรั้วออกไปว่า “ฉันเป็นเพื่อนมนุษย์” ชุดศีลธรรมที่ยึดถือจะแตกต่างออกไปอย่างไรบ้าง? ความรัก-ความเกลียดชังเปลี่ยนไปไหม?

ไม่เพียงรั้วความเป็นชาติเท่านั้น เรายังสามารถขยายรั้วออกไปอีกว่า “ฉันเป็นสมาชิกของโลกนี้” หรือ “ฉันเป็นสมาชิกของจักรวาลนี้” แล้วพฤติกรรมต่างๆ ของเราจะคิดเผื่อไปยังสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยโลกร่วมกันเราอยู่มากกว่าเดิมหรือไม่

เราเป็นสมาชิกกลุ่มใดอยู่บ้าง? เรายึดถือชุดศีลธรรมใด? ชุดศีลธรรมนั้นทำให้เราใจแคบลงหรือใจกว้างขึ้น? มันทำให้เราสุขสมหรือทุกข์ทน?

มนุษย์มีธรรมชาติรักพวกพ้อง

ว่าแต่…’พวกพ้อง’ ของเราแคบหรือกว้างขนาดไหน?



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

‘ฮุน มาเนต’ เล็งเดินหน้าใช้กฎหมาย ‘บังคับเกณฑ์ทหาร’ เริ่มปี 2026 ชี้เพื่อเสริมสร้างกำลังทหารของประเทศ เพิ่มระยะเวลาการฝึกภาคบังคับ เป็น 24 เดือน
“รมว.นฤมล”ถก ก.ค.ศ.-สพฐ.เร่งลดภาระงานครู เผย เตรียมดึงครูเกินเกณฑ์ไปทำธุรการ แก้ปัญหา รร.ขนาดเล็ก ขาดบุคลากร โดยไม่ต้องเพิ่มงบ
ธำรงศักดิ์โพล ชี้ผลสำรวจ ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากเลือกตั้งดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 สมัย ร้อยละ 27.45
‘ลิณธิภรณ์’ ลุยสานต่อทุน ODOS รุ่น 3 คัด 1,200 เด็กยากจนพิเศษทั่วประเทศ ย้ำรัฐบาล ‘แพทองธาร‘ มุ่งสร้าง “สะพานเชื่อมโอกาส” ให้ช้างเผือกไทยก้าวสู่เวทีโลก
ลอย แนะทีมไทยแลนด์ เจรจาเปิดตลาดสินค้าเป้าหมายสหรัฐฯ แบบเจาะจง – ขอยกเว้นภาษีเฉพาะ sector วางแผน3ระยะ
‘เสียดินแดน’ เป็นประวัติศาสตร์มโน
The Good, the Bad and the Ugly 20 ปี เล่นการเมือง ในหุบเหว
เลือกตั้งเมียนมา วิถีที่สวนทางกับสันติภาพ
พรรคอเมริกา ทางเลือกใหม่มะกันชน กับเส้นทางสุดหิน
‘อานันท์ ปันยารชุน’ ย้อนอดีตยุค ‘ปลายสงครามเย็น’ ก่อนเปิดม่านสัมพันธ์ ‘ไทย-จีน’
‘ว่าน’ ธนกฤต เปิดใจรักครั้งใหม่ เรียบง่ายและลงตัว กับ ‘สารวัตรบีบี’ พ.ต.ต.หญิง ศรัญญา
‘สงฆ์ไทย’ กลับหลังหัน ‘นิพพาน’ เส้นทางที่ไม่มีอยู่จริง