

เทศมองไทย
อาการ ‘พันธมิตรเป็นพิษ’
โรคทางการเมืองแห่งอุษาคเนย์
อ่านพบบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในอีสต์ เอเชีย ฟอรั่ม ซึ่งเป็นข้อเขียนแสดงทัศนะประหนึ่งเป็นบทบรรณาธิการของเวทีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเอเชียแห่งนี้ที่เผยแพร่ออกมาผ่านเว็บไซต์เชิงวิชาการของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (เอเอ็นยู) เมื่อ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา พูดถึงคุณลักษณะจำเพาะที่เป็นจุดเด่นในทางการเมืองของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีการเมืองระบบหลายพรรคอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือไทยก็ตาม
ข้อเขียนดังกล่าวบอกว่า คุณลักษณะที่เป็นหนึ่งใน “ฮอลล์ มาร์ก” หรือ “เครื่องหมายการค้า” ของภูมิภาคที่ว่านี้ก็คือ การจัดสรรปันส่วนอำนาจและตำแหน่งระหว่างกันของพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งขันกันในทางการเมือง เป็นการรวมตัวกันที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของอุดมการณ์หรือแนวนโยบาย หากแต่เป็นการรวมตัวกันเพื่อขึ้นสู่อำนาจบนพื้นฐานของ “ผลประโยชน์” และ “ความสะดวก” มากกว่า
ปัญหาก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในหลายประเทศในภูมิภาคอุษาคเนย์นี้ กำลังแสดงให้เห็นว่า ความตกลงแต่เดิมที่ถูกเรียงร้อยเข้าด้วยกันเพื่อให้สามารถก้าวขึ้นมามีอำนาจที่ชวนให้คลางแคลงว่ามีคุณภาพหรือเป็นประชาธิปไตยแค่ไหนได้นั้น สามารถเสื่อมทราม ร่วงหลุดลงได้อย่างรวดเร็ว เมื่อ “ผลประโยชน์” ที่เคยเล็งเห็นว่าตรงกันซึ่งก่อให้เกิดการจับมือเป็นพันธมิตรขึ้นนั้น จืดจาง เลือนรางหายไปเรื่อยๆ
จนมีการขนานนามลักษณะเช่นนี้เอาไว้ว่าเป็นอาการเมื่อเกิด “พันธมิตรเป็นพิษ”
ตัวอย่างหนึ่งก็คือ กรณีของ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่ถึงขนาดยินดี โอบรับเอา “อัมโน” ปีกการเมืองคู่แค้นเก่าเข้ามาร่วมเพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2022
ปัญหาของอันวาร์ไม่ใช่ปัญหาว่ารัฐบาลจะอยู่รอดหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของการ “สืบทอดอำนาจ” ว่าจะดำเนินไปเรียบง่ายอย่างที่เจ้าตัวต้องการหรือไม่
โดยเฉพาะเมื่อ นูรุล อิซซาห์ บุตรีของท่านนายกฯ ถูกยกระดับทางการเมืองขึ้นเป็นประธานพรรคพีเคอาร์ พรรคที่อันวาร์ก่อตั้งขึ้น จนเป็นเหตุให้มีการพูดถึงการสืบทอดอำนาจโดยทายาททางการเมืองอย่างเปิดเผยมากยิ่งขึ้น
ในอินโดนีเซีย พราโบโว ซูเบียนโต จับมือเป็นพันธมิตรกับ โจโก วิโดโด คู่แข่งทางการเมืองยาวนานจนเป็นที่มาของชัยชนะในการเลือกตั้งในปี 2024 แต่เพียงไม่ช้าไม่นาน การช่วงชิงกันมีอิทธิพลเหนือข้าราชการในกระทรวงสำคัญๆ ก็เริ่มต้นขึ้น ลุกลามไปถึงการ “ดำเนินการลับหลัง” เพื่อตัดทอนอำนาจ ขจัดอิทธิพลคนของวิโดโดที่ถูกแต่งตั้งเข้าร่วมรัฐบาล รวมทั้งลูกชายคนโตของอดีตประธานาธิบดีวิโดโด ที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีอยู่ด้วยในเวลานี้
ในฟิลิปปินส์ การจับมือกันระหว่าง 2 ตระกูลการเมืองระดับบิ๊กเบิ้ม อย่าง เฟอร์ดินันด์ มาร์คอส จูเนียร์ และ ซารา ดูแตร์เต ที่ช่วยให้กวาดชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งเมื่อปี 2022 “กำลังพังทลาย” เพราะการแข่งกันแสดงความทะเยอทะยาน, อัตตาและการลำดับความสำคัญของนโยบาย ซาราที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี กำลังต่อสู้กับความพยายามใช้กลไกอิมพีชเมนต์ เขี่ยตนพ้นตำแหน่งโดยกลุ่ม ส.ส. และ ส.ว. ที่เป็นพันธมิตรของมาร์คอส
ในข้อเขียนระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้กาลเวลาแตกหักมาถึง มีตั้งแต่เรื่องของความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจที่เปราะบางกว่าปกติ, การปรับเปลี่ยนแก้ไขนโยบาย และสุดท้ายก็คือความเป็นคู่แข่งคู่แค้นทางการเมืองที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขให้หมดจด
ในกรณีของประเทศไทย เมื่อพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะ “ร่วมหอลงโรง” กับพรรคการเมืองอนุรักษนิยมที่เคยเป็นศัตรูเก่าแก่ เพียงเพื่อกีดกันพรรคประชาชนให้พ้นจากการเป็นรัฐบาล ทั้งๆ ที่ถูกมองว่า เป็นการทรยศต่อฐานเสียงที่ลงคะแนนเลือกมา เพียงเพื่อให้ได้อำนาจทางการเมือง นำมาซึ่งความตึงเครียดระหว่างสมาชิกพรรครัฐบาลด้วยกันเองแต่ต่างพรรคกัน และในที่สุดก็ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็น “เป้า” อีกครั้ง
รัฐบาลเองก็ดูเหมือนว่าเริ่ม “หมดไอเดีย” ในการขยายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในท่ามกลางปัญหาระดับโลกสารพัดที่ดาหน้าเข้ามาหา ซึ่งส่งผลให้ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่มีอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว กลายเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ฉุดประเทศให้ถอยหลังไปเรื่อยๆ
จนกว่าอาการ “พันธมิตรเป็นพิษ” ที่กลายเป็นโรคเรื้อรังในกรณีของไทย จะแตกดังโพละ เมื่อพันธมิตรไม่อยากเป็นพันธมิตรอีกต่อไปแล้ว