

Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน
Instagram : @sueching
Facebook.com/JitsupaChin
ส่องสมองคนชอบใช้ AI
Gen AI ผู้ช่วยในการคิดและเขียนยุคใหม่ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามันเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ทำให้การทำงานของเราง่ายและรวดเร็วขึ้นเยอะได้ในหลายมิติ จนทุกวันนี้หากเราเห็นงานเขียนที่มีข้อผิดพลาด ไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง ภาษาไม่สวย หรือสะกดผิด ก็อาจจะทำให้พาลรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมเจ้าของงานเขียนถึงไม่ใช้ AI ช่วยเขียนหรือช่วยตรวจงานนะ
มีการถกเถียงกันอยู่บ้างเรื่องความเหมาะสมในการใช้ Gen AI มาช่วยเขียน โดยเฉพาะในสถาบันการศึกษาที่ตอนนี้นักเรียน นักศึกษา มีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการทำงานส่งครูด้วยตัวเองแต่เลือกไปใช้ AI ช่วยผลิตงานออกมาให้แทน ท้าทายระบบการศึกษาว่าจะต้องปรับตัวอย่างไรต่อไปหลังจากนี้
ใครจะใช้ AI หรือไม่ใช้ AI ก็คงเป็นทางเลือกของแต่ละคน แต่มีผลการวิจัยชิ้นใหม่ชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจมากเพราะเป็นการลองไป ‘ส่องสมอง’ คนสองกลุ่ม กลุ่มที่ใช้ AI และไม่ใช้ AI ดูว่ามีความแตกต่างกันบ้างหรือเปล่า
และผลลัพธ์ก็พบว่า มี! แถมแตกต่างกันมากเสียด้วย
งานวิจัยชิ้นนี้ทำขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์จาก Massachusetts Institute of Technology หรือ MIT โดยตั้งเป้าไว้ว่าอยากจะหาความแตกต่างของกิจกรรมทางสมองระหว่างกลุ่มคนที่ใช้ AI ยอดนิยมอย่าง ChatGPT และกลุ่มที่ไม่ใช้ โดยเก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่อายุ 18-39 ปี จำนวน 54 คน
นักวิทยาศาสตร์แบ่งอาสาสมัครกลุ่มนี้ออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก ให้ใช้ ChatGPT ช่วยเขียนเรียงความ
กลุ่มที่สอง ให้ใช้วิธีเดิมที่เราทำกันมานานหลายปี คือใช้ Google ในการช่วยค้นหาข้อมูลมาเขียนเรียงความ
และกลุ่มที่สาม ให้เขียนโดยไม่ให้ใช้เครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยี AI เลย แล้วตามเก็บข้อมูลเป็นเวลานานกว่า 4 เดือน
ในช่วง 3 เดือนแรก นักวิทยาศาสตร์ให้อาสาสมัครทั้ง 3 กลุ่มเขียนเรียงความเดือนละชิ้น พอเข้าเดือนที่ 4 ก็จะให้คนที่ใช้ ChatGPT สลับไปไม่ใช้ดูบ้าง ส่วนคนที่ไม่ได้ใช้ก็ให้สลับไปใช้
เมื่อเขียนเรียงความเสร็จ นักวิทยาศาสตร์ก็จะใช้เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง หรือ EEG มาบันทึกกิจกรรมที่เกิดขึ้นในสมอง และพบว่ามีความแตกต่างระหว่างคนที่ใช้และไม่ใช้ ChatGPT อย่างชัดเจน
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบก็คือ กลุ่มที่ใช้ ChatGPT ช่วยเขียนงานจะมีระดับทางประสาท ภาษา และพฤติกรรมที่ต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่เพียงแค่นั้น ยังพบว่าคนกลุ่มนี้ยิ่งเขียนเรียงความก็ยิ่งขี้เกียจขึ้นเรื่อยๆ
ผลจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองพบว่ากลุ่มที่ใช้ ChatGPT เป็นหลักจะมีการเชื่อมต่อที่อ่อนแอระหว่างเส้นประสาท และมีโครงข่ายคลื่นอัลฟ่าและเบต้าที่มีความเกี่ยวพันกันน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ส่วนกลุ่มที่ใช้ Google เป็นตัวช่วยจะมีระดับเหล่านี้อยู่ในขั้นปกติ และกลุ่มที่ไม่ได้ใช้เครื่องมืออะไรช่วยเลย ใช้แต่สมองตัวเองล้วนๆ จะมีระดับที่แข็งแรงที่สุด
ฉันอาจจะแปลออกมาได้ไม่ตรงเป๊ะ แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าค่าเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ยิ่งเราใช้ AI มาช่วยเท่าไหร่ สมองเราก็ทำงานน้อยลงเท่านั้น
การวิจัยครั้งนี้แม้จะเป็นการวิจัยใหม่ที่เพิ่งจะทำขึ้นมา แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจอะไร เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีการศึกษากันมาแล้วว่าแชตบ็อต AI นั้นส่งผลกระทบต่อสมองและจิตใจของคนอย่างไรบ้าง
ผลการศึกษาของ MIT เองที่เคยจัดทำมาก็ค้นพบมาแล้วว่าคนที่ใช้ ChatGPT แบบจริงจัง กล่าวคือ เป็นเพาเวอร์ยูสเซอร์ที่ใช้จนเชี่ยวชาญไประดับแอดวานซ์เกินผู้ใช้ทั่วไปจะกลายเป็นคนที่ต้องพึ่งพา ChatGPT ไปจนถึงขั้นเสพติด และหากไม่ได้ใช้ก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า withdrawal symptoms หรือลงแดงได้เลย
การศึกษาครั้งนั้นยังพบด้วยว่าถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่ได้มีความผูกพันทางอารมณ์กับ ChatGPT แต่หากใช้งานไปนานๆ ก็จะเริ่มรู้สึกว่า ChatGPT กลายเป็น ‘เพื่อน’
และคนที่คุยกับ ChatGPT นานที่สุดก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกเหงาและเครียดกว่าเดิมหากแชตบ็อตมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปแม้เพียงนิดเดียว
นอกจากการศึกษาของ MIT แล้วก็ยังมีจากอีกหลายแหล่งที่ระบุว่าเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT กำลังทำให้มนุษย์เราโง่ลงได้จริงๆ หรือมีนักข่าวที่เล่าประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองว่ามีทักษะอะไรที่พร่องลงบ้างจากการใช้ ChatGPT ที่มากเกินไป
เรื่องผลกระทบที่มีต่อสมองหรือทักษะทางความคิดก็เรื่องหนึ่ง การใช้เทคโนโลยี AI มากเกินไปก็ยังส่งผลกระทบทางจิตใจด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่กำลังได้รับการศึกษาอย่างใกล้ชิดอยู่เหมือนกัน
ฉันเองก็เพิ่งได้ยินเรื่องราวจากคนใกล้ตัวที่พึ่งพาการพูดคุยกับ ChatGPT เพื่อจะระบายความรู้สึกทุกข์ใจ ความกังวล หรือความเศร้าที่เกิดขึ้นหลังคลอด และเชื่อว่ามีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เลือกที่จะให้แชตบ็อตช่วยรับฟังปัญหาชีวิตมากกว่าที่จะไปปรึกษานักจิตบำบัดอย่างจริงจัง
แม้ว่าแชตบ็อตอย่าง ChatGPT หรือจากค่ายอื่นๆ จะทำหน้าที่รับฟังได้ดี และหลายๆ ครั้งก็ทำให้เรารู้สึกว่าดีกว่าไม่มีใครให้ระบาย แต่ผู้ใช้งานบางกลุ่มก็พบว่ามันก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้เหมือนกัน
บางครั้งแชตบ็อตก็ยิ่งทำให้เราดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ หรือก็เคยมีแม้กระทั่งกรณีที่บางคนเลิกกินยาซึมเศร้าเพราะแชตบ็อตบอกให้เลิกก็มี
กลับมาที่สมองของคนชอบใช้ AI แม้ว่าในตอนนี้เครื่องมืออย่าง AI ยังเป็นสิ่งที่ใหม่มากและเราอาจจะยังไม่เข้าใจผลกระทบของมันที่มีต่อระบบความคิดของมนุษย์อย่างเต็มที่ แต่ฉันก็คิดว่าการเดินทางสายกลางก็ยังคงใช้ได้เสมอ เราคงไม่จำเป็นต้องตัด AI ทิ้งไปจากชีวิตแต่อาจจะตั้งใจเว้นภารกิจบางอย่างให้ยังคงเป็นหน้าที่ของสมอง ให้เราได้ฝึกปรือมันอยู่เรื่อยๆ
ทักษะบางอย่างที่แม้ AI จะทำให้เราได้รวดเร็ว แต่หากเราได้เรียนรู้เสริมสร้างทักษะนั้นๆ เอาไว้บ้างก็จะทำให้เราไม่ต้องพึ่งพามันร้อยเปอร์เซ็นต์
เปรียบไปก็อาจคล้ายกับการพึ่งพาเครื่องคิดเลข แน่นอนว่ามันคิดเลขให้เราได้รวดเร็วแม่นยำแต่ในจังหวะที่ไม่มีเครื่องคิดเลขใกล้มือ
การคำนวณได้ด้วยสมองของเราเองมันก็ดีเสมอ