

ก่อสร้างและที่ดิน | นาย ต.
ปัญหาเศรษฐกิจและธุรกิจของปี 2568 ดูเหมือนจะถาโถมหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน จนผู้คนจวนจะสิ้นแรงใจที่จะหวังเห็นปลายอุโมงค์อยู่รอมร่อ
ปีที่แล้ว 2567 และช่วงต้นๆ ปีนี้ มีเสียงเรียกร้องจากภาคธุรกิจเอกชนอย่างต่อเนื่องให้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นกำลังซื้อ
เนื่องจากยังมีความเชื่อและความหวังกันว่า เศรษฐกิจไทย ธุรกิจไทยหากมีการกระตุ้นกำลังซื้ออย่างเหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมาย กำลังซื้อก้อนใหญ่ก้อนแรกจะช่วยให้ผู้ผลิตเดินเครื่องการการผลิต เพิ่มการจ้างงาน และเกิดรายได้ที่กลายเป็นกำลังซื้อใหม่ หมุนเวียนต่อไป
ซึ่งเศรษฐกิจไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วช่วง 3-4 ปีหลังเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ 2540
เสียงเรียกร้องมาตรการกระตุ้นเฉพาะในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ การขอลดหย่อนภาษีค่าธรรมเนียมโอนและจำนอง การขอลดหย่อน LTV หรือสัดส่วนเงินกู้แบงก์ต่อมูลค่าบ้าน คอนโดฯ และการอนุญาตให้ต่างชาติซื้อบ้านราคาสูงได้
โดยเชื่อว่าเมื่อการซื้อขายบ้านเกิดขึ้นแล้ว จะกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสูง
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถคลอดมาตรการเหล่านี้ออกมาได้ จนกลางเดือนเมษายน 2568 รัฐบาลก็ออกประกาศลดหย่อนภาษีค่าธรรมเนียมโอน, ต่อมา 1 พฤษภาคม มาตรการ LTV ที่เป็นอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ยอมให้มีการลดหย่อนการซื้อบ้านระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท
ผ่านมาแล้วเดือนกว่าๆ ที่ใช้มาตรการ ปรากฏว่า “แป้ก” ไม่มีผลใดๆ กับตลาดอสังหาฯ
เพราะก่อนที่จะออกมาตรการมานั้น เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ 28 มีนาคม 2568 มีผลต่ออาคารสูง กระทบยอดขายยอดโอนคอนโดมิเนียมโดยตรง
และที่สำคัญยิ่งกว่า คือการประกาศสงครามการค้าตั้งกำแพงภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ส่งผลให้เกิดแรงกระเพื่อมกลบมาตรการต่างๆ
เป็นไปตามภาษิตที่ว่า “กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้”
ล่าสุด ยังมีเหตุการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน เป็นสงครามโชว์เทคโนโลยีสงครามอนาคต และยังมีกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา เข้ามาผสมโรงอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงขณะนี้ มาตรการต่างๆ ที่เคยมีการเรียกร้องไว้ มาตรการต่างๆ ที่เคยศึกษากันไว้ น่าจะเป็นเครื่องมือที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เสียแล้ว
และที่สำคัญอย่างยิ่ง ตัวรัฐบาลที่เป็นผู้ดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญเศรษฐกิจ ซึ่งเดิมก็เป็นรัฐบาลที่ประกอบด้วยหลายพรรคการเมือง ความเป็นเอกภาพไม่แข็งแรงอยู่แล้ว แต่เวลานี้พรรคร่วมอันดับ 2 ถอนตัว, พรรคแกนนำเพลี่ยงพล้ำ
ศักยภาพที่จะขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ร้ายแรงหนักหน่วงในวัฏจักรเศรษฐกิจโลก ดูเหมือนยิ่งห่างไกลออกไป
ปัญหาเศรษฐกิจไทยก่อนหน้านี้ เกิดจากประเทศไม่มีการลงทุน “เมกะโปรเจ็กต์” ไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับตลาดโลก จึงทำให้เกิดการถดถอยรายได้ประชาชาติและรายได้ประชาชนมาร่วม 10 ปี ประชาชนเกิดหนี้สินครัวเรือนท่วมสูง
แนวทางแก้ไข จึงต้องมีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ และปรับโครงสร้างเศรษฐกิจการผลิต
แต่เมื่อสถานการณ์ลามเลยมาถึงปัจจุบัน เห็นชัดว่า ตัว “รัฐบาล” ที่เป็นผลจากโครงสร้างทางการเมืองของประเทศนั้น ก็ไม่มี “ฟังก์ชั่น” หรือมีศักยภาพเพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่
ต้องเปลี่ยนทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจการผลิตประเทศ ต้องปรับโครงสร้างทางการเมืองด้วย
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

