bg-single

การซื้ออาวุธกับกำแพงภาษีทรัมป์ ! | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

27.05.2025

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความผันผวนในทางเศรษฐกิจอย่างมาก อันเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังต้องแก้ปัญหา “วิกฤติกำแพงภาษี” ของผู้นำสหรัฐนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย ได้ออกมาประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า กองทัพอากาศไทยจะทำการจัดซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่จากสวีเดน พร้อมกันนั้นกองทัพเรือจะสั่งต่อเรือรบลำใหม่จากจีนอีกด้วย

น่าสนใจอย่างมากว่า ในขณะที่หลายประเทศพยายามที่จะปกป้องสินค้านำเข้าในตลาดอเมริกัน ด้วยการหันไปซื้อสินค้าจากสหรัฐ โดยเฉพาะผู้นำทุกประเทศรู้ดีว่า สิ่งที่ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ จะรู้สึกพึงพอใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือ การที่ประเทศนั้นๆ ตัดสินใจซื้ออาวุธจากสหรัฐ

ซื้อใจทรัมป์

ข้อสังเกตเช่นนี้สะท้อนชัดจากการเดินทางไปตะวันออกกลางของผู้นำสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏอย่างชัดเจนว่า ทรัมป์ทำหน้าที่ “เซลแมน” ขายอาวุธอเมริกันให้แก่ซาอุดิอารเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมมิเรต หรือทรัมป์เองเคยเสนอว่า ถ้าต้องการให้สหรัฐสร้างความคุ้มครองแก่เกาหลีใต้ และไต้หวันมากขึ้น ประเทศเหล่านี้จะต้องหันมาซื้ออาวุธอเมริกันมากขึ้นด้วย

การเสนอของทรัมป์เช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับการสร้างภาวะ “ต่างตอบแทน” เพราะผู้นำอเมริกันมีทัศนะที่เชื่อว่า ชาติพันธมิตรเอาเปรียบสหรัฐในทางการค้า จึงควรที่ต้องจ่ายคืนสังคมอเมริกันมากขึ้นในรูปของกำแพงภาษี หรือไม่ในอีกด้านหนึ่ง หรือไม่เช่นนั้น ก็จะต้องหันมาซื้อสินค้าจากอเมริกามากขึ้น

ดังนั้น จึงไม่แปลกนักที่ ผู้นำหลายประเทศพยายามแก้ปัญหาอัตราภาษีสินค้านำเข้าของประเทศตน ด้วยการหาทางซื้อสินค้าอเมริกัน เพื่อสร้าง “ความพึงพอใจ” ให้กับทำเนียบขาว อันเป็นดังการ “ซื้อใจทรัมป์” ซึ่ง “ทรัมป์ทัวร์” ในตะวันออกกลางเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนในเรื่องนี้

ในกรณีของรัฐบาลไทย ทุกอย่างดูจะ “แปลกประหลาด” ไปหมด … เราอยากได้ตลาดสินค้าไทยในสหรัฐ และอยากหาทางให้สหรัฐลดอัตราภาษีให้เรา เพราะอัตราภาษีที่รัฐบาลอเมริกันประกาศในกรณีของสินค้าไทยคือ ร้อยละ 37 ในขณะที่การเจรจาล่าสุดระหว่างสหรัฐกับจีนนั้น ตกลงกันในเบื้องต้นว่า อเมริกาจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนร้อยละ 30 ส่วนจีนจะเก็บสินค้าอเมริกันที่ร้อยละ 10 ซึ่งมีนัยในเชิงตัวเลขว่า สินค้านำเข้าจากไทยที่เข้าสหรัฐจะสูงกว่าของจีนร้อยละ 7 (คำตอบคือ “ไทยตาย” ครับ !)

ดังนั้น ปัญหาเฉพาะหน้าคือ จะต้องหาทางให้ผู้แทนของรัฐบาลไทยมีช่องทางในการติดต่อกับทางทำเนียบขาว จะโดยผ่านบุคคลหรือหน่วยงานอะไรก็แล้วแต่ ให้ไทยสามารถ “มีนัด” ในการคุยเรื่องกำแพงภาษีให้ได้

แต่ดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกด้านหนึ่ง คือ ความพยายามที่จะทำให้การแก้ปัญหากำแพงภาษีของไทยในส่วนนี้ มีความยุ่งยากมากขึ้นด้วยการที่เราฝ่ายไทยสร้างปัญหาให้กับตัวเราเอง โดยไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการเจรจาในการแก้ปัญหากำแพงภาษีที่เราต้องเผชิญ

ตัวอย่างเช่น โดยข้อมูลที่ปรากฏในเวทีสาธารณะ เป็นที่รับรู้กันว่าการจับกุมอาจารย์ชาวอเมริกันที่มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นประเด็นเบื้องต้นที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเจรจากับสหรัฐ ซึ่งทางสหรัฐมองว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเป็นธรรมในทางกฎหมาย และอาจนำไปสู่การออกมาตรการกับประเทศไทยในกรณีนี้ ต่อมาทางอัยการได้ตัดสินใจที่ไม่ดำเนินการฟ้องร้องคดีต่อ แต่ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในฐานะเจ้าของคดีกลับแสดงอาการนิ่งเฉย ไม่จำหน่อยคดีออกไป เพื่อให้ปัญหาเรื่องนี้จบ และไม่เป็นอุปสรรคทางการเมืองสำหรับการเจรจากับสหรัฐ แต่สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างกลับกลายเป็นอาการ “แช่คดี” จนทำให้นักการเมืองอเมริกันส่วนหนึ่งมองว่า รัฐบาลไทยไม่ยอมยุติปัญหา หรือมองว่า รัฐบาลไทยไม่พร้อมที่จะเจรจากับสหรัฐ โดยไม่ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง

หากเป็นเช่นนี้แล้ว การเจรจาของไทยกับสหรัฐน่าจะยังขยับไปข้างหน้าได้ยาก เพราะมีภาวะ “คาราคาซัง” ในสิ่งที่เป็นปัญหากับฝ่ายอเมริกันในเรื่องของคดีความ

กระทรวงซื้ออาวุธ

ขณะที่เรื่องนี้ ปัญหาดังกล่าวยังไม่ยุติลง และไม่เห็นลู่ทางในการเจรจากับสหรัฐ แต่รัฐบาลไทยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาประกาศซื้อเครื่องบินรบจากสวีเดน และเรือรบจากจีน

อย่างไรก็ตาม ผู้นำทหารที่ต้องการซื้ออาวุธเคยประกาศชัดเจนมาแล้วว่า โครงการซื้ออาวุธของพวกเขาไม่อยู่ในกรอบของสิ่งที่ต้องนำไปเจรจากับทางสหรัฐ หรือมีนัยว่า สังคมไม่ต้องมายุ่งกับโครงการซื้ออาวุธเหล่านี้ และไม่ต้องนำเรื่องการซื้ออาวุธไปผูกโยงกับการเจรจากับทรัมป์

การเสนอของผู้นำทหารด้วยทัศนะเช่นนั้น จึงต้องการยืนยันประการเดียวว่า พวกเขาต้องการซื้อตามความต้องการของพวกเขาเท่านั้น โดยไม่ต้องรับรู้กับปัญหาสำคัญของประเทศคือ ปัญหากำแพงภาษีที่หลายฝ่ายในรัฐบาลพยายามแก้ไข ทั้งที่ปัญหานี้เป็นเรื่องที่จะกำหนดอนาคตของสังคมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทัศนะของผู้นำทหารในการจัดซื้อเช่นนี้ ซึ่งดูจะได้รับการตอบสนองจากท่าทีของรัฐมนตรีกลาโหมอีกด้วย จึงไม่เพียงเป็นการมองปัญหาแบบแยกส่วนเท่านั้น หากยังไม่ตระหนักว่า กองทัพเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลในการแก้ปัญหาของประเทศ อีกทั้ง รัฐมนตรีกลาโหมและบรรดานายพล “นักจัดซื้อ” เหล่านี้ ดูจะไม่ยอมรับรู้ถึงปัญหากำแพงภาษีที่อาจขยายตัวเป็นจุดเริ่มต้นของ “วิกฤตเศรษฐกิจไทย” ในยุคปัจจุบันได้ไม่ยาก

กล่าวคือ ถ้าจำเป็น (ย้ำว่า “ถ้าจำเป็น”) และมีงบประมาณมากตามที่ได้ประกาศไว้ รัฐบาลน่าจะต้องคิดใหม่ เพื่อรองรับต่อการเจรจากับทางทำเนียบขาว กล่าวคือ รัฐบาลไทยควรทำข้อเสนอว่า ไทยมีความต้องการที่จะจัดซื้อเครื่องบินรบรุ่นใหม่จากสหรัฐ (Gen 4.5) อันจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนของรัฐบาลไทยให้ทางผู้นำสหรัฐเห็น เพื่อใช้เป็นข้อต่อรองหนึ่งของการเจรจา เพราะจนถึงปัจจุบัน ไทยยังไม่ได้ “บัตรคิว” ในการไปเจรจา

แต่ขณะที่การเจรจาปัญหากำแพงภาษียังไม่ขยับคืบหน้า พร้อมกับเวลาที่ทำเนียบขาวผ่อนการเก็บภาษีนำเข้าอัตราใหม่ในช่วง 90 วันนั้น กำลังหมดลงเรื่อยๆ แต่ในทางกลับกัน ดูเหมือนผู้นำกระทรวงกลาโหมและผู้นำทหารจะช่วยสร้างปัญหาให้กับประเทศไทยได้มากขึ้นอย่างไม่เชื่อ โดยไม่ยอมนำเอาการจัดซื้ออาวุธเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจา ทั้งๆ ที่การ “ซื้ออาวุธอเมริกัน” เป็นสิ่งที่ทรัมป์ชอบที่สุด แบะอยากได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง

แต่การประกาศซื้ออาวุธเช่นนี้ ตอบปัญหาประการเดียวว่า ผลงานที่โดดเด่นของกระทรวงกลาโหมในยุคปัจจุบันมีเรื่องเดียว คือ เรื่อง “ซื้ออาวุธ” จนบางที อยากจะขอเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “กระทรวงจัดหายุทโธปกรณ์” พร้อมกันนี้ กองทัพอาจจะต้องตั้งเหล่าใหม่ให้กับบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในแต่ละเหล่าทัพว่าเป็น “เหล่าจัดซื้อ” ซึ่งต้องถือว่าเป็นเหล่าที่มีอำนาจมากที่สุดและทรงพลังที่สุดของกองทัพไทย (และรวยที่สุดด้วย!)

ด้านกลับของปัญหา

แต่ในอีกด้าน ถ้าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าอาจกำลังก้าวเข้าสู่ “โหมดวิกฤต” ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรทำอย่างมาก คือ การปรับเกลี่ยงบประมาณของประเทศทั้งหมด ซึ่งรวมถึงงบประมาณทหารด้วย เพื่อเตรียมรับกับสภาวะวิกฤตข้างหน้า ดังเช่นบทเรียนในปี 2540 อีกทั้งต้องตระหนักเสมอว่า งบประมาณทหารคือ งบของประเทศ ไม่ใช่งบของผู้บัญชาการเหล่าทัพ

บางที ในภาวะวิกฤตที่จะเกิดขึ้นจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกนั้น รัฐบาลไทยควรประวิงเวลาการจัดหายุทโธปกรณ์ออกไปก่อน เพราะไทยไม่ได้เผชิญกับภัยคุกคามทางทหารขนาดใหญ่จากรัฐข้าศึก จนต้องจัดหายุทโธปกรณ์หนักอย่างเร่งด่วน

อีกทั้ง เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันไม่ได้อยู่ในภาวะที่ดีแต่อย่างใด การจัดซื้ออาวุธที่มีมูลค่าสูง จะทำให้เกิดแรงต้านในสังคม ไม่ต่างจากเมื่อมีการจัดซื้อเรือดำน้ำครั้งก่อน แต่ในครั้งนั้น รัฐบาลไม่ต้องสนใจมาก เพราะไม่ใช่รัฐบาลเลือกตั้ง แต่รัฐบาลปัจจุบันมาจากการเลือกตั้ง จะไม่สนใจเสียงวิจารณ์เลย ดูจะเป็นเรื่องแปลกอย่างมากๆ สำหรับพรรคการเมืองในระบบการเลือกตั้ง และควรคิดต่ออีกด้วยว่า การจัดซื้อเช่นนี้จะ “ลดโอกาส” ในการเจรจากับสหรัฐหรือไม่

นอกจากนี้ ถ้าคนใหญ่แถวทุ่งดอนเมืองไม่คิดมากแล้ว อยากให้กลับเรียนรู้ปัญหาและบทเรียน “การจัดซื้อเอฟ-18 กับวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540” ซึ่งจบลงด้วยการคืนโครงการจัดซื้อเครื่องบินดังกล่าวทั้งฝูงให้แก่สหรัฐ เพราะรัฐบาลไม่สามารถแบกรับโครงการจัดซื้อเครื่องบินรบที่มีมูลค่าสูงได้ และทั้ง ฝ่ายการเมืองเอง ก็ควรต้องเรียนรู้บทเรียน 2540 ไม่แตกต่างกันในฐานะ “ผู้กำกับด้านนโยบาย”

ท้ายบท

สุดท้ายนี้ เราอาจต้องคิดใหม่ทั้งหมด เพราะสงครามทางอากาศในยูเครนกลายเป็น “สงครามโดรน” เช่นที่ยุทธนาวีในทะเลดำ ก็กลายเป็นภารกิจของ “โดรนโจมตีทางทะเล” … สงครามยูเครนกำลังชวนให้นักการทหารทั่วโลกต้องคิดถึงเรื่องความต้องการด้านยุทโธปกรณ์ใหม่ (อย่างน้อยเกือบทั้งหมด) อีกทั้ง ภาพของสงครามยูเครนยังชวนให้เราต้องคิดเรื่อง “ยุทธศาสตร์ทหารใหม่” ไปด้วย

แต่หลายครั้งสำหรับกองทัพไทย เกิดสภาวะกลับหัวกลับหาง กล่าวคือ ยุทธศาสตร์ทหารถูกลดรูปเหลือเพียง “ยุทธศาสตร์ของการจัดหายุทโธปกรณ์” ที่เชื่อว่า “อาวุธกำหนดยุทธศาสตร์” ทั้งที่ในความเป็นจริงทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติแล้ว ยุทธศาสตร์ต่างหากที่กำหนดความต้องการยุทโธปกรณ์ของรัฐ แต่พอฝ่ายการเมืองที่กระทรวงนี้ผันแปรตัวเองเข้าร่วมขบวนเป็นฝ่ายจัดซื้อไปด้วยแล้ว การจัดซื้อจึงกลายเป็น “ยุทธศาสตร์หลัก” ของงานกลาโหมไทยไปโดยปริยาย … ถ้า “ยุทธศาสตร์ภาคใต้” ต้องรอ สมช. แล้ว บางที “ยุทธศาสตร์ทหารไทย” อาจต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายแก่ๆ หรือบางครั้ง อาจต้องรอเป็นชาติหน้าตอนดึกๆ ไปเลย !

หมายเหตุ: บทความนี้จะไม่วิจารณ์เรื่อง “เงินทอน” ปัญหา “ส่วนต่าง” และบทบาท “พ่อค้าอาวุธ” แต่อาจคาดคะเนจากบทเรียนเดิมๆ ได้ไม่ต่างจากทุกครั้งที่มีการจัดซื้อยุทโธปกรณ์มูลค่าสูงได้ว่า การจัดซื้อจะตามมาด้วยเรื่องของ “ความอื้อฉาวของอาวุธ” หรือที่วงการสื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า “arms scandals” อย่างแน่นอน และบทเรียนจากทั่วโลกคือ ไม่มี “scandals” เรื่องอาวุธใดที่จะไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมือง !



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

‘สีกากอล์ฟ’ กับ ‘สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร’
แพทองธาร พร้อมผลักดันสื่อสารภาพลักษณ์พุทธศาสนาให้ทันสมัย เข้าใจง่าย เข้าถึงคนรุ่นใหม่
ลอย ชูโมเดล การพลิกฟื้นเศรษฐกิจของอาร์เจนตินา ยุทธวิธีของ ปธน. Javier Milei ที่ไทยควรเรียนรู้
ICSI
ICSI คืออะไร สามารถเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้ไหม?
เจ้าอาวาสกับอำนาจเหนือพื้นที่วัด : โครงสร้างที่ต้องสังคายนาใหม่ (1)
วัคซีนเรืองแสงสุดโรแมนติก แพร่ผ่านการกุ๊กกิ๊กกันและกัน
การปกครองเปลี่ยน-แฟชั่นปรับ : แฟชั่นสมัยคณะราษฎร-สงคราม (13) เมื่อสำนักพระราชวังตักเตือน “เจ้าชาย-เจ้าหญิง” ให้แต่งกายตามรัฐนิยม
ดาวกับดวงวันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม 2568
พาณิชย์เดินหน้า…จัดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังโลก ยกระดับมันสำปะหลังไทย ขยายตลาดส่งออก ดันเศรษฐกิจฐานรากเติบโต
“รองฯตี๋ ”สั่งสืบ 8 รวบแก็งแว้น ย่านตลาดบางปะกอก เหตุรวมตัวมั่วยา ส่งเสียงดังก่อความรำคาญ กำชับท้องที่กวดขัน คาดโทษหากเกียร์ว่าง
ปักธง เทียนวรรณ เปิดโฉม บุรุษรัตน์ สามัญชน จาก ‘ศรีบูรพา’
ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (74)