เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
bg-single

สุรชาติ บำรุงสุข | รัฐบาลทหารแบบเลือกตั้ง : ข้อคิดสำหรับปี 2563

26.12.2019

“การปกครองของทหารไม่ว่าจะโดยความเป็นองค์กรหรือโดยตัวผู้นำทหาร ถือเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดของระบอบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย”

Paul Brooker, Non-Democratic Regimes (2009)

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นคณะรัฐประหารยุคใหม่ที่อยู่ในอำนาจเป็นระยะเวลายาวนานในการเมืองไทยอย่างไม่น่าเชื่อ

เพราะว่าที่จริงแล้วแทบจะไม่มีใครคาดคิดเลยว่า คณะรัฐประหาร คสช. จะมีชีวิตอยู่ได้นานตั้งแต่การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2562

เนื่องจากโดยเปรียบเทียบแล้ว รัฐบาลทหารยุคหลังๆ มักจะอยู่ในอำนาจไม่นานนัก…

แต่วันนี้ คสช.ยังอยู่กับการเมืองไทยในอีกรูปแบบหนึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

แม้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันดังกล่าวก็ใช่ว่าคณะรัฐประหารชุดนี้จะสิ้นสุดบทบาททางการเมืองไป

หากเป็นเพียงการเลือกตั้งที่อยู่ภายใต้การควบคุมโดยกติกาที่รัฐบาลทหารเป็นผู้กำหนดขึ้น

การเลือกตั้งจึงเป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมเพื่อให้รัฐบาลทหารที่มาจากการยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม 2557 สามารถอยู่ต่อไปในอำนาจได้ โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับแรงต่อต้านมากเกินไป

หรืออีกนัยหนึ่งการเลือกตั้งในวันดังกล่าวไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นการเลือกตั้งในความหมายแบบสากล ที่เป็นเครื่องมือของการแข่งขันทางการเมืองที่ “เสรีและเป็นธรรม”

หากแต่การเลือกตั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำให้การ “สืบทอดอำนาจ” ของรัฐบาลทหารมีความชอบธรรม เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล

นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบกับรัฐบาลทหารในอดีต ความแตกต่างประการหนึ่งที่สำคัญก็คือ ไม่แต่เพียงว่ารัฐบาลทหารในยุคก่อนจะไม่อยู่ในอำนาจนานแล้ว ผู้นำทหารในอดีตทำการยึดอำนาจด้วยภารกิจหลัก 2 ประการคือ

1) ล้มล้างทั้งรัฐบาลเก่าและยกเลิกกติกาเดิม

และ 2) สร้างกติกาใหม่ด้วยการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วจึงถอยออกจากการเมือง

รัฐประหารในเงื่อนไขเช่นนี้จึงเป็นเสมือนปุ่ม “reset” กดปุ่มนี้จะเป็นล้างโปรแกรมเก่า ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้รัฐบาลทหารจะเป็นผู้ควบคุมการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองด้วยการเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในระยะที่ไม่นานมากเกินไป และมีความคาดหวังว่าการเลือกตั้งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารจะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่อย่างที่กลุ่มชนชั้นนำและผู้นำทหารต้องการ

ซึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องการคือ การจัดตั้ง “ระบอบพันทาง” (hybrid regime) หรืออาจจะเรียกว่า “ระบอบทหารที่มาจากการเลือกตั้ง” ที่เปิดโอกาสให้ระบอบทหารจากการรัฐประหารสามารถคงอยู่ในอำนาจได้หลังการเลือกตั้ง

รัฏฐาธิปัตย์ทหาร

รัฐบาลทหารในอดีตโดยเฉพาะในยุคหลังจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปี 2516 ตระหนักดีว่า ยิ่งอยู่ในอำนาจนาน ก็ยิ่งเป็นผลร้ายทั้งต่อรัฐบาลทหาร

และที่สำคัญมีผลต่อสถาบันกองทัพโดยตรงอีกด้วย

เพราะหากเกิดความล้มเหลวของรัฐบาลทหารในการบริหารประเทศแล้ว ย่อมมีผลกระทบต่อกองทัพโดยตรงไม่มากก็น้อย

แต่จะปฏิเสธว่าความล้มเหลวเช่นนั้น ไม่มีผลกระทบต่อสถาบันกองทัพเลยนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เพราะรัฐบาลทหารดำรงอยู่ได้ด้วยการค้ำจุนของกองทัพ และบุคลากรหลายคนในรัฐบาลทหารก็มาจากกองทัพ จนมีคำเรียกรัฐบาลทหารในวิชารัฐศาสตร์ว่า “นักการเมืองในเครื่องแบบ” (politician in uniform) คือการเปลี่ยนจากผู้นำทหารเป็นนักการเมือง

ความจริงทางการเมืองที่ปฏิเสธไม่ได้ในกรณีนี้คือ กองทัพมีสถานะเป็น “เครื่องมือหลัก” ของการยึดอำนาจ และดำรงสถานะเป็น “เสาหลัก” ของรัฐบาลทหาร

เพราะหากจินตนาการถึงสภาวะที่รัฐบาลทหารไม่มีกองทัพเป็นเครื่องค้ำประกันและเป็นเครื่องมือในการควบคุมทางการเมืองแล้ว

ชีวิตของรัฐบาลทหารเช่นนี้คงสั้นอย่างแน่นอน

สมมุติฐานที่ไม่ต้องการการพิสูจน์ในสภาวะเช่นนี้ก็คือ กองทัพเป็น “แกนกลาง” ของรัฐบาลทหาร และไม่มีรัฐบาลทหารใดสามารถอยู่รอดได้โดยปราศจากการสนับสนุนของกองทัพ ฉะนั้น ในทางรัฐศาสตร์จึงถือว่า รัฐประหารคือจุดสูงสุดของการแทรกแซงทางการเมืองของทหาร

นอกจากนี้ คงต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ด้วยความเป็นรัฐบาลทหารที่ได้อำนาจมาจากการรัฐประหารนั้น ทำให้มีข้อจำกัดในตัวเองอย่างมาก

ไม่ว่าจะมองในบริบทการเมืองภายในหรือภายนอกก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีสถานะที่เป็นรัฐบาลทหารนั้น ไม่มีความชอบธรรมในตัวเองตั้งแต่แรกเริ่มของการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว

ฉะนั้น ความสำเร็จในการยึดอำนาจของกองทัพจึงเป็นคนละประเด็นกับความชอบธรรมทางการเมือง เงื่อนไขเช่นนี้ทำให้เกิดความพยายามในการสร้างภาพรัฐบาลทหารว่าเป็น “รัฏฐาธิปัตย์” ที่มีอำนาจอธิปไตยทางการเมืองอยู่ในมือ

เพื่อให้เกิดความเชื่อว่าอำนาจอยู่ในมือของคณะรัฐประหารเป็นอำนาจที่ชอบธรรมในตัวเอง ทั้งที่อำนาจนี้มาจากโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้นำกองทัพจึงต้องสร้างวาทกรรมตอบโต้ว่า ทหารมีความจำเป็นต้องยึดอำนาจเพื่อรักษาความสงบ (วาทกรรมนี้ใช้ทั้งในรัฐประหาร 2549 และ 2557)

และถ้ามีการรัฐประหารในอนาคตก็จะยังคงมีการใช้วาทกรรมนี้ต่อไป เพราะกลุ่มอนุรักษนิยมยังคงตอบรับเรื่อง “ทหารเป็นผู้รักษาความสงบทางการเมือง”

ความท้าทายในโลกสมัยใหม่

แต่ในโลกสมัยใหม่ “รัฏฐาธิปไตย” ของรัฐบาลเผด็จการทหาร เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับ และถูกท้าทายอย่างมากจากฝ่ายต่างๆ อีกทั้งความท้าทายอย่างสำคัญมาจากความเปลี่ยนแปลงของ “ภูมิทัศน์” ทางการเมืองทั้งภายในและภายนอก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นโลกสมัยใหม่ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยกระแสโลกาภิวัตน์ที่เป็น “เสรีนิยม” และปัจจัยของเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่บีบรัดรัฐบาลเผด็จการทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ดังเช่นตัวอย่างของอาหรับสปริงในปี 2553-54 หรือในอาหรับสปริงครั้งที่ 2 ในปี 2562 เป็นต้น

ดังนั้น แม้รัฐบาลทหาร คสช. และบรรดาผู้สนับสนุนจะสร้างภาพว่า ประชาคมระหว่างประเทศ “เข้าใจดี” ถึงการยึดอำนาจของทหารในไทย แต่ประเด็นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ประสบความสำเร็จในการโฆษณาชวนเชื่อเท่าใดนัก

นอกจากนี้ คงต้องยอมรับความจริงในบริบทการเมืองภายในว่า รัฐบาลทหารไม่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลทหารไม่เป็นที่ยอมรับในประชาคมการเมืองไทย และที่สำคัญรัฐบาลทหารไม่บรรลุความสำเร็จในภารกิจตามที่ได้ประกาศไว้เป็นเหตุผลในการรัฐประหาร เช่น การสร้างความปรองดอง หรือการปฏิรูปประเทศอย่างที่ถูกโฆษณาไว้

ในสภาวะเช่นนี้รัฐบาลทหารพยายามทานกระแสต่อต้านที่มักจะชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวในทางนโยบาย ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่สำคัญ

รัฐบาลทหารจึงพยายามสร้างจุดขายใหม่ทางการเมืองด้วยการโฆษณาว่า การคงอยู่ของรัฐบาลทหารมีส่วนโดยตรงในการทำให้เกิดความสงบในสังคม แม้การขายประเด็น “ความสงบภายใต้รัฐบาลทหาร” อาจจะเป็นสินค้าทางการเมืองที่ขายได้ดีสำหรับชนชั้นกลางสายอนุรักษนิยม และบรรดา “กองเชียร์ทหาร” ก็จริง

แต่ก็ยังคงมีคำถามตามมาว่า ความสงบเช่นนี้คือการใช้อำนาจบังคับของกองทัพใช่หรือไม่

และถ้าใช่แล้ว… ความสงบภายใต้ “อำนาจปืน” ของรัฐบาลทหารจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยในอนาคตได้จริงเพียงใด

และความสงบเช่นนี้เป็นความสงบที่แท้จริงที่สังคมพึงปรารถนาหรือไม่ หรือเราควรเชื่อว่า สังคมไทยต้องรักษาความสงบทางการเมืองด้วยอำนาจปืน และให้กองทัพเป็น “ผู้ปกครอง” ต่อไปในศตวรรษที่ 21?

ดังนั้น น่าจะถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยควรจะต้องยอมรับความจริงว่า อำนาจปืนไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในการปรองดอง

และขณะเดียวกันความสงบทางการเมืองของประเทศจะต้องไม่ใช่การพันธนาการผู้เห็นต่างภายใต้อำนาจปืนและการจับกุมคุมขัง

และบรรดาผู้สนับสนุนรัฐทหารควรจะตระหนักว่า ถ้าอำนาจปืนที่ใช้อย่างไม่มีขีดจำกัดแล้ว

สุดท้ายอำนาจนี้คือเงื่อนไขของ “สงครามกลางเมือง” ดังเช่นที่เห็นมาแล้วในหลายประเทศ

สังคมไทยไม่มีสงครามกลางเมือง?

ผู้นำทหารในวันนี้อาจจะเชื่อมั่นว่า สงครามกลางเมืองไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะไทยก้าวพ้นยุคสงครามเย็นที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลคือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) มีกองกำลังติดอาวุธเป็นของตนเอง และมีขีดความสามารถในการทำสงครามกับรัฐ

แต่สังคมไทยปัจจุบันไม่มีเงื่อนไขเช่นนั้น ผู้นำทหารและบรรดาปีกอนุรักษนิยมจึงไม่กลัวปัญหาสงครามเช่นในยุคสงครามเย็น และกลายเป็นโอกาสที่เปิดให้พวกเขาใช้นโยบายแบบสุดโต่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงว่า นโยบายเช่นนั้นจะกลายเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ที่ผลักให้ประชาชนไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามหรือไม่

ในมุมมองของฝ่ายอนุรักษนิยมนั้น ฝ่ายตรงข้ามในภาวะปัจจุบันเป็นเพียงพรรคฝ่ายค้านที่ไม่มีกองกำลังในแบบของ พคท. ให้ทหารต้องกังวลแต่อย่างใด

หรือเสียงคัดค้านในสังคมที่ดังขึ้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำทหารจะนำมาใส่ใจ เพราะสุดท้ายแล้ว เสียงของผู้เห็นต่างเหล่านี้จะถูกลดทอนลงด้วยปฏิบัติการ ปจว. ของทหาร และทั้งผู้เห็นต่างทั้งหลายในปัจจุบันก็ไม่มี “ฐานที่มั่นในชนบท” เป็นแหล่งพักพิงอีกต่อไป ผลสืบเนื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ความขัดแย้งที่เกิดอย่างยาวนานทำให้การเมืองไทยเสมือนติดอยู่ใน “เขาวงกต” ของปัญหา และจนบัดนี้พวกเราทั้งหลายยังหาทางออกจากเขาวงกตนี้ไม่ได้

ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่จะยังคงเป็นปัญหาให้สังคมการเมืองไทยต้องขบคิดกันต่อไปว่า แล้วเราจะทำอย่างไรกับความขัดแย้งที่กำลังลงรากหยั่งลึกมากขึ้นในสังคมไทย

หรือเราจะต้องอยู่ในเขาวงกตนี้ไปอีกนานเท่าใด

อีกทั้งยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า การยึดอำนาจไม่ใช่เครื่องมือของการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างที่บางคนคาดหวังไว้ อีกทั้งรัฐบาลทหารเองก็ไม่มีขีดความสามารถในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างแท้จริง

และในทางกลับกัน แทนที่รัฐบาลทหารจะช่วยแก้ปัญหา ก็กลับกลายเป็น “คู่ขัดแย้ง” เสียเอง

แต่ว่าที่จริงแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินความคาดหมายที่ทหารจะกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย เพราะในทางอุดมการณ์แล้ว ทหารไทยไม่เคยยอมรับเรื่องประชาธิปไตย และมักจะยืนตรงข้ามกับประชาธิปไตยเสมอ

อีกทั้งยังมองประชาธิปไตยด้วยสายตาของความกลัวและความหวาดระแวง เพราะความสำเร็จของการพัฒนาประชาธิปไตยจะเป็นปัจจัยที่ทำให้กองทัพต้องลดบทบาททางการเมืองลง

กองทัพกับชนชั้นกลาง

อย่างไรก็ตาม ในทางการเมืองเราอาจอธิบายได้ว่า กองทัพเป็นเพียงองคาพยพนึ่งของ “ขบวนอนุรักษนิยมไทย”

และผู้นำทหารก็คือ ตัวแทนหนึ่งของของปีกขวาไทย อันทำให้ความหวังว่า กองทัพจะทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” เพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งที่ดำรงอยู่อย่างลึกซึ้งในสังคมไทยนั้น จึงเป็นเพียงภาพลวงตา

และในทางอุดมการณ์แล้ว ยิ่งเห็นได้ชัดว่า โอกาสที่ทหารจะเป็น “ผู้เปิดวาล์ว” เพื่อระบายแรงกดดันของความขัดแย้งดังกล่าว ยิ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เพราะผู้นำทหารได้ตัดสินใจชัดเจนที่จะยืนกับกลุ่มการเมืองปีกขวา และรับเอาชุดความคิดแบบ “อุดมการณ์ต่อต้านการเมือง” (Antipolitics Ideology) ที่มีทิศทางต่อต้านประชาธิปไตยเป็นกระแสหลัก เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กองทัพไทยจึงมีสถานะเป็นตัวแทนทางชนชั้นของกลุ่มอนุรักษนิยม และมีทิศทางการเมืองแบบ “ขวาจัด” (ต่างกับในละตินอเมริกาที่ กองทัพถูกมองว่าเป็นตัวแทนของชนชั้นกลาง)

แต่ในขณะเดียวกันก็น่าสนใจอย่างมากว่า ชนชั้นกลางไทยในยุคหลังสงครามเย็น ที่แม้ในช่วงต้นจะยังคงมีทิศทางที่เป็นเสรีนิยมดังจะเห็นได้จากการลุกขึ้นสู้ในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 แต่เมื่อความขัดแย้งเกิดจนนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549 แล้ว

เริ่มเห็นได้ชัดว่า ชนชั้นกลางส่วนหนึ่งหันกลับไปเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับฝ่ายอนุรักษนิยมและเสนานิยม ชนชั้นกลางสายอนุรักษนิยมเช่นนี้จึงกลายเป็นพลังที่เข้มแข็งในการต่อต้านประชาธิปไตย และมีส่วนโดยตรงต่อการค้ำจุนระบอบทหารในปัจจุบัน

ถ้าเช่นนั้นในปี 2563 เราควรทำอย่างไรให้ชนชั้นกลางไทยปีกขวาเหล่านี้กันกลับมาเป็นพลังเสรีนิยมอีกครั้งเหมือนเช่นในปี 2535

หรือว่าพวกเขาไปไกลเกินกว่าจะเรียกร้องให้กลับสู่กระแสประชาธิปไตยแล้ว

ดังนั้น การสร้างประชาธิปไตยไทยอาจจะต้องยอมละทิ้งชนชั้นกลางปีกขวา และให้ความสนใจกับชนชั้นกลางที่ก้าวหน้ามากกว่า และโดยเฉพาะกับชนชั้นกลางที่เป็นคนรุ่นใหม่ อีกทั้งยังเห็นมากขึ้นว่า ชนชั้นกลางที่เป็นคนรุ่นใหม่ไม่ได้ยึดติดอยู่กับ “วาทกรรมอนุรักษนิยม-จารีตนิยม” มาก คนเหล่านี้จึงน่าจะเป็นพลังของความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะยาว

และที่สำคัญ พวกเขาไม่ตอบรับที่จะเป็น “กองเชียร์รัฐประหาร” เช่นคนรุ่นพ่อแม่ของพวกเขา!



เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต

สำรวจเมือง ‘จมบาดาล’
เหรียญพระสุนทรีวาณี มงคล ‘เจ้าคุณศรี (สนธิ์)’ วัดสุทัศนเทพวราราม
กระดอเย็น
ความฝัน ความรัก ของ ‘โชต้า’ จากกอนโดมาร์ถึงลิเวอร์พูล
เกร็ดน่ารู้ ‘ที่สุด’ กีฬาซีเกมส์ ไทยนับถอยหลังเป็นเจ้าภาพ
ตลาดซื้อขายที่ดินเงียบ
ผ่าสเป๊ก ‘Volvo EX30 Cross Country’ EV ตัวเล็กจอมลุย-ออปชั่นเทียบรุ่นใหญ่
จดหมาย
เดินตามดาว | ศรินทิรา
สลัดทูน่าอะโวคาโด
ดาวกับดวง วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2568
ขอแสดงความนับถือ