
จับตาตัวแปรเลือกตั้งสมัยหน้า | ลึกแต่ไม่ลับ

ไม่มีใครประสบชัยชนะทุกครั้งไป “พรรคประชาชน” แพ้ 2 ครั้งติดต่อกัน จากศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี ต่อด้วยศึกเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จังหวัดพิษณุโลก กอปรกับระยะหลังๆ ผลงานในสภา ไม่ค่อยมีอะไรเฉียบแหลมเป็นชิ้นเป็นอัน
จึงเป็นปฐมเหตุหนึ่ง เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน เรียกประชุมแกนนำและสมาชิกปรับจูนโมเมนตัม จัดทัพใหม่เสริมใยเหล็กเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
ประกอบด้วย ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค 1. “น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล” รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย 2. “นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล” ฝ่ายกิจการสภา 3. “นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ฝ่ายกิจกรรมพิเศษ 4. “นายรังสิมันต์ โรม” ฝ่ายกิจการทั่วไป 5. “นายชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร” ฝ่ายต่างประเทศ 6. “พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ” ฝ่ายกิจการภายนอก และ 7. “นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง” ฝ่ายกฎหมาย
แต่งตั้งรองเลขาธิการพรรค 12 คน 1. “นายปิยรัฐ จงเทพ” รองเลขาธิการพรรค สัดส่วน กทม.และปริมณฑล 2. “นายเจษฎา เอี่ยมปุ่น” สัดส่วนภาคกลาง 3. “นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์” สัดส่วนภาคตะวันออก 4. “นายวิจักษณ์ พฤกษ์สุริยา” สัดส่วนภาคใต้ 5. “นายวิสา บุญนัดดา” สัดส่วนภาคเหนือตอนบน 6. “นายคริษฐ์ ปานเนียม” สัดส่วนภาคเหนือตอนล่าง 7. “วีรนันท์ ฮวดศรี” สัดส่วนภาคอีสานตอนบน 8. “นายพนา ใจตรง” สัดส่วนภาคอีสานตอนล่าง 9. “นายณธนภัทร ฤทธิ์เนติกุล” สัดส่วนเครือข่ายชาติพันธุ์ 10. “นายเซีย จำปาทอง” สัดส่วนเครือข่ายแรงงาน 11. “นางลลิตา สิริพัชรนันท์” สัดส่วนสำนักงาน 12. “นายพีรัช สงเคราะห์” สัดส่วนสำนักงาน
หัสเดิมพรรคก้าวไกล เป็นพรรคการเมืองอันดับ 1 ที่ชนะศึกเลือกตั้ง แต่ยอดคงเหลือ ส.ส.อยู่ 148 ที่นั่ง ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาคนละ 10 ปี จำนวน 11 คน มี 5 คนที่โดนร่างแห ต้องโทษเว้นวรรค และไม่ได้ชิงลาออก จึงไม่สามารถขยับปาร์ตี้ลิสต์ลำดับถัดไปขึ้นมาทดแทนได้ ยอด ส.ส.คงเหลือ 2 ระบบ 143 ที่นั่ง
แม้ ส.ส.พรรคก้าวไกล จะหาบ้านหลังใหม่หลบภัยคือ “พรรคประชาชน” ได้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีงูเห่ามาเป็นของแสลง แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคมีผลผูกพันต่อองค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยจะส่งผลต่อการพิจารณาคดีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาในชั้น ป.ป.ช.ว่า ส.ส. 44 คนที่ร่วมลงลายมือชื่อเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2564 อันเป็นห้องเครื่องคดียุบพรรคก้าวไกล จะโดนเช็กบิลตามไปด้วยหรือไม่
ในจำนวน 44 คน ปรากฏว่ามี ส.ส.ปัจจุบันที่ย้ายมาอยู่พรรคประชาชน ต้องลุ้นระทึกกันมากถึง 30 คน
แม้สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 จะเหลือเวลาราชการอยู่อีกยาวไกลเกือบ 3 ปีจะครบเทอม แต่ยุทธจักรการเมืองมันลักลั่นไม่มีใครคาดเดาอะไรถูก อาจจะเจอทางตันวันนี้วันพรุ่งได้ ด้วยประการดังกล่าว ช่วงนี้มีข่าวขว้างก้อนหินถามทาง มี “พรรคการเมืองใหม่” จุติขึ้นมามากมายหลายพรรค เมื่อไม่กี่วันก่อนมือมืดทำตัวเป็นกาคาบข่าวเก่ามาปล่อย เล่นเอาคอการเมืองครางฮือให้ดูชมเล่นๆ ว่า มีพรรคการเมืองใหม่ ทรงระดับลูกพระยาหลานนาหมื่น ประกอบด้วย ปลัด ฉ.-พลเอก ด. และพลตำรวจเอก ป.
สืบไปสืบมาเป็นข่าวเก่าค้างสต๊อก ที่ถอดรหัสแล้วน่าจะหมายถึง “ปลัดฉิ่ง-ฉัตรชัย พรหมเลิศ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย “เสธ.แดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” อดีตผู้บัญชาการทหารบก และ “ป.แป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เคยทรงพลังและมีอิทธิลมากช่วงที่ดำรงอยู่ในตำแหน่งในช่วงเวลาเดียวกัน ถ้ามาจับมือกันตั้งพรรคการเมือง ขณะนั้นน่าจะป๊อปปูลาร์มากพอสมควร แต่พอเกษียณอายุราชการ ข่าวก็หายวับเข้ากลีบเมฆ ถูกหยิบขึ้นมาปั่นกระแสดูอีกครั้ง
ปล่อยกันเป็นตุเป็นตะ ลำดับถัดมาเมื่อไม่กี่วันมานี้เองว่า “เสี่ยมาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทนทู่ซี้อยู่บ้านหลังเก่าไม่ไหวกะเขาแล้วเหมือนกัน ตัดสินใจตอบรับนั่งหัวหน้าพรรคใหม่ ที่มี “2 ส.” เป็นโต้โผแม่ทัพซ้ายขวา คือ “สาธิต ปิตุเตชะ” อดีต ส.ส.หลายสมัยจากระยอง กับ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ส.ส.ตรังผู้ยืนยง ชูนโยบายอนุรักษนิยมเต็มรูปแบบ โดยระดมเอาอดีต ส.ส.ผู้มีชื่อเสียง ตัวกลั่นๆ จากพรรคแม่ธรณีบีบมวยผมมารวมทัพทุกภาค
รับประกันซ่อมฟรีว่า ได้ที่นั่งไม่น้อยกว่า 50 เสียง
อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้า ไม่ว่าสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จะอยู่ครบเทอมหรือไม่ สนามเลือกตั้งเมื่อรวบรวม วิเคราะห์สถานการณ์ดูแล้ว จะไม่มีพรรคการเมืองใดชนะแลนด์สไลด์ เหมือนที่ไทยรักไทย-เพื่อไทย ทำสถิติไว้ และกุมเสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เฉลี่ยพื้นที่กันหลายพรรค โดยมี “เพื่อไทย-ประชาชน-ภูมิใจไทย” เป็นตัวยืน
และคาดว่าจะมี “พรรคใหม่” ระดับแถวหน้า แจ้งเกิดขึ้นมาได้ 1 พรรค แม่น้ำหลายสายพลิกข้ามสายไหลมาหลอมรวม กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้า
“แม่น้ำหลายสาย” ที่ว่า จะไหลมาบรรจบกัน จาก “พลังประชารัฐ” กลุ่มภาคเหนือ ใต้เงาปีก “วราเทพ รัตนากร” ภาคตะวันออก “ศิริลัทธยากร” เป็นต้น “รวมไทยสร้างชาติ” ก็มีหลายบ้านใหญ่ ที่แตะมือกันไว้แล้ว เช่นเดียวกับประชาธิปัตย์ ทั้งจังหวัดสงขลา-นครศรีธรรมราช-พัทลุง
ขณะนี้จาก “เพื่อไทย” ของดีมีชาติตระกูลที่ชอกช้ำใจ ถูกมองไม่เห็นหัว พรรคไม่ค่อยให้ความสำคัญ ก็มาร่วมแจมด้วยจากหลายบ้านใหญ่ เป็น “ขุนพลอีสาน” ในหลายจังหวัด
สรุปแล้ว เลือกตั้งสมัยหน้า ไม่มีพรรคการเมืองไหนโดดเด่นมาก ชนะเลือกตั้งดุจภูเขาถล่ม มี 3 พรรค เพื่อไทย-ประชาชน-ภูมิใจไทย เป็นตัวยืน มี “น้องใหม่” หนึ่งพรรค มาร่วมชิงพื้นที่
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022